xs
xsm
sm
md
lg

"สนธิ" ชี้รัฐบาลเถื่อนไร้ความชอบธรรม จี้รื้อ 700 สำนวนมัด พปช.โกง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กกต.ยอมรับมีการปลอมเอกสารการขอทราบการเป็นสมาชิกพรรคของพยาน คดี"ยุทธ ตู้เย็น" พร้อมตั้งกก.สอบสวนข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จใน 7 วัน ชี้มีโทษทั้งวินัย - อาญา ด้าน "สมชัย" ฉุนถูกถามจะรับผิดชอบอย่างไรเมื่อลูกน้องทำผิด เดือดท้าให้โละ กกต.ทิ้งไปเลย "สนธิ" ย้ำรัฐบาลหมักเป็นรัฐบาลเถื่อน ได้อำนาจมาจากการโกงเลือกตั้ง โดยการสมคบคิดกับ กกต.บางคน เรียกร้องตั้ง กก.อิสระรื้อ 700 คำร้องทุจริตมาตรวจสอบใหม่ พร้อมนัดสำแดงพลังไล่ "สมชัย" พ้นกกต. จันทร์นี้ ด้านรัฐบาลหุ่นเชิดจี้ "กรมกร๊วก" ขอศาลยกเลิกคุ้มครองชั่วคราว เอเอสทีวี โยงขนมกล่องละ 2 ล้านป้ายสีพันธมิตรฯ ทนาย เอเอสทีวี ลั่นฟ้องแน่"หมัก" หมิ่นศาลปกครอง

หลังจากที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาแฉว่า มีการปลอมแปลงเอกสารในคดี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชาชน และอดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เพื่อส่งให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ประกอบการพิจารณาคดี โดยมีการระบุว่า นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานคนสำคัญในคดีนี้ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆ ที่นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2547 แต่หลังจากนั้นคือช่วงปี 2548-2550 เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และ ล่าสุดนายชัยวัฒน์ ก็ยืนยันว่าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน

วานนี้ (12 มิ.ย.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง พร้อมด้วย นายธนิศร์ ศรีประเทศ ผอ.สำนักบริหารการสนับสนุนโดยรัฐ รักษาการ ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง นายกฤช เอื้อวงศ์ รอง ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง และนางสุนทรี ไพรหิรัญ ผอ.ฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบบริหารฐานข้อมูลพรรคการเมือง ได้นำเอกสาร ยืนยันการมีชื่อนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทย มาชี้แจง หลังถูกกลุ่มพันธมิตรฯ และทนายความของนายชัยวัฒน์ ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ของ กกต. กระทำการปลอมแปลงเอกสารการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์

อ้างปรับปรุงทะเบียนทำให้ผิดพลาด

ทั้งนี้ นางสดศรีได้มอบหมายให้ นายธนิศร์ ชี้แจงระบุว่า กกต.ได้มีการปรับปรุงการแจ้งทะเบียนการเป็นสมาชิกพรรคของแต่ละพรรค ช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งผ่านมา โดยได้มีการแจ้งให้พรรคการเมืองทำการแจ้งชื่อ พร้อมจำนวนสมาชิกของพรรคเข้ามาใหม่ทั้งหมด ไม่รวมถึงพรรคไทยรักไทย เนื่องจากว่าถูกยุบพรรคไปแล้ว ซึ่งปรากฏว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็แจ้งชื่อสมาชิกพรรคล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 50 มาเป็นซีดี ที่ลงนามโดย นายชินวรณ์ บุญเกียรติ นายทะเบียนสมาชิกพรรคขณะนั้น โดยยังมีชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคอยู่

นายธนิศร์ กล่าวอีกว่า และจากการสร้างระบบการจัดเก็บฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ของกกต. เพื่อป้องกัน และง่ายต่อการตรวจสอบการเป็นการสมาชิกพรรคของประชาชนเกิน 1 พรรค ทำให้ถ้าหากบุคคลใดมีชื่อเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดอยู่ก่อนแล้ว หากไปสมัครเป็นสมาชิกของอีกพรรคหนึ่ง เมื่อพรรคนั้นนำชื่อของบุคคลนั้นใส่เข้าไปในระบบฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคของตนเอง จะไม่สามารถบันทึกชื่อได้ แต่ที่มีชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ก็เนื่องจากเป็นฐานข้อมูลเดิม ก่อนที่จะมีการปรับปรุงระบบ และกกต.จะไม่นำมาใช้งาน เนื่องจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบพรรคไปแล้ว

เมื่อพรรคพลังประชาชนมีชื่อเสียงขึ้นมา หลังการยุบพรรคไทยรักไทย ก็ไม่ได้มีการโอนทะเบียนสมาชิกของพรรคไทยรักไทย มาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบ ก็ไม่ปรากฏชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน

ดังนั้นจึงขอยืนยัน ทางด้านกิจการพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่ในการดูแลระบบฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของแต่ละพรรคนั้น ไม่ได้มีการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคของแต่ละพรรคการเมืองได้

ส่วนกรณีการยื่นขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของนายชัยวัฒน์ ที่ถูกระบุว่า มีพิรุธนั้น นายธนิศร์ กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ด้านพรรคการเมืองในช่วงเย็น เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่า มีเจ้าหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต.ถือหนังสือเรื่องขอทราบสถานภาพการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองของ นายชัยวัฒน์ พร้อมกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พลังประชาชน และมัฌชิมาธิปไตย หรือไม่ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีในศาลฎีกา เป็นการด่วน ซึ่งหนังสือลงนามโดย พ.ต.อ. ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย 5 เจ้าหน้าที่ด้านกิจการพรรคการเมือง จึงทำการตรวจสอบให้จากระบบฐานข้อมูลใหม่ ก็ปรากฏว่าพบชื่อนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แต่เพียงพรรคเดียว โดยตามข้อมูลระบุว่า มีเลขประจำตัว 471040033 สมัครเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 47 และตนก็มีหนังสือแจ้งกลับไปยังผอ.สำนักสืบสวนฯ 5 ในวันเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนฯ ที่ถือเอกสารมาถาม เป็นผู้นำกลับไป

ต่อมาวันที่ 15 พ.ค. ก็มีหนังสือขอตรวจสอบ และคัดถ่ายสำเนาการเป็นสมาชิกพรรคของ นายชัยวัฒน์ มาจาก ผอ.สำนักสืบสวนฯ 5 อีก ครั้งนี้หนังสือดังกล่าวอ้างว่า ได้รับหนังสือจาก นายสาคร ศิริชัย ทนายความของ นายยงยุทธ ลงวันที่ 8 พ.ค. ขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกพรรค ของนายชัยวัฒน์ ว่า เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน หรือไม่ พร้อมทั้งขอหนังสือรับรองข้อเท็จจริงดังกล่าว และขอคัดถ่ายสำเนาการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อใช้ประกอบสำนวนคดีแพ่ง โดยคราวนี้มีการแนบหนังสือของทนาย นายยงยุทธมาด้วย

"ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมหนังสือของ ผอ.สำนักสืบสวน 5 ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค. สอบถามมาอีกอย่างหนึ่ง และครั้งนี้ถามอีกอย่างหนี่ง แต่ก็ไม่ได้คิด หรือระแวงว่าจะมีอะไร เพราะเห็นว่าหนังสือที่ถามมา ทั้งฉบับวันที่ 8 พ.ค. และฉบับหลังนี้ เป็นเอกสารลงชื่อถูกต้อง จึงได้มีหนังสือตอบกลับไปในวันที่ 21 พ.ค. ว่าตรวจสอบจากระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรคการเมือง และจากแบบแจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นในรอบปีปฏิทินที่ผ่านมา (แบบท.พ.6) ซึ่งเป็นข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 50 พบว่า นายชัยวัฒน์ เคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เลขประจำตัวสมาชิก B570713055754 เข้าเป็นสมาชิกพรรค เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 48 และพ้นจากสมาชิกภาพเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 50 เนื่องจากตุลาการรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรค และ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เลขประจำตัวสมาชิก 471040033 เข้าเป็นสมาชิกพรรคเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 47

อ้างหนังสื่อด่วนจึงไม่ผ่านขั้นตอน

ด้าน นางสุนทรี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่เป็นผู้ถือหนังสือขอตรวจสอบการเป็นสมาชิกของพรรค ของนายชัยวัฒน์ ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค. มาให้ด้านพรรคการเมืองตรวจสอบนั้น คือ ว่าที่ ร.ต.เอกลักษณ์ บุญรุ่ง พนักงานสืบสวนสอบสวน โดยระบุว่า ขอด่วน จึงทำให้หนังสือดังกล่าวไม่ผ่านขั้นตอนอำนวยการ แต่หนังสือฉบับลงวันที่ 15 พ.ค.นั้น ผ่านตามขั้นตอนถูกต้อง ซึ่งหลังการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสมาชิกพรรค ทั้งหมดแล้ว หากใครจะเข้าระบบ ต้องมีรหัสผ่าน ซึ่งที่ กกต.ก็สามารถเข้าระบบได้เพียง 3 คน แต่เหตุผลที่พบชื่อ นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกทั้ง 2 พรรค ก็เนื่องจากมีการนำรายชื่อนายชัยวัฒน์ ไปตรวจขสอบกับฐานข้อมูลเดิมก่อนพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ที่กกต.แยกเก็บไว้ และจะตรวจสอบให้เมื่อมีการร้องขอ

"จากการตรวจสอบ ยังพบว่าไม่เฉพาะนายชัยวัฒน์ เท่านั้นที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังปรากฏชื่อนางอร ฉางข้าวคำ นายเกรียงไกร ฉางข้าวคำ ลงสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 20 ก.ย. 47 เช่นกัน นอกจากนี้สำเนารายชื่อยังถูกเก็บเป็นไมโคร ฟิล์ม เพื่อป้องกันการถูกแก้ไขเช่นกัน" นางสุนทรี กล่าว

ยอมรับมีการปลอมลายเซ็นต์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า สำเนาเอกสารการขอตรวจสอบการคัดถ่ายสำเนาการเป็นสมาชิกพรรค ที่ทางสำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ได้ยื่นขอตรวจสอบกับทางด้านกิจการพรรคการเมือง ฉบับลงวันที่ 8 พ.ค. ที่อ้างว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนเป็นผู้ถือขึ้นไปตรวจสอบด้วยตัวเอง กับฉบับลงวันที่ 15 พ.ค. ที่ลงชื่อ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนฯ 5 มีความแตกต่างด้านลายเซ็นของ นายณัฐศักดิ์ และอาจจะเป็นมูลเหตุที่นายณัฐศักดิ์ ชี้แจงกับศาลว่า ลายเซ็นต์ดังกล่าวไม่ใช่ลายเซ็นตัวเอง

นางสดศรี กล่าวภายหลังชี้แจงว่า เหตุจำเป็นที่ต้องแถลงในวันนี้ ก็เพื่อชื่อเสียงเกียรติภูมิของกกต.ที่ไม่ได้ทำการใดที่ผิดกฎหมายเลย ทุกอย่างทุกขั้นตอน สามารถให้ตรวจสอบได้ จากฐานข้อมูลของที่เป็นฐานข้อมูลที่ถูกต้อง และไม่ได้มีการแก้ไข การกล่าวหา กกต.โดยปราศจากหลักฐาน เหตุผลใดๆทั้งสิ้น เราถือว่าเป็นการละเมิดต่อศักดิ์ศรี ทุกวันนี้ กกต.ทั้ง 5 คน ก็ทำงาน รับใช้ประชาชนอยู่แล้ว และยืนยอยู่ตรงกลาง จะต้องทำให้ถูกใจใครนั้น เราไม่เคยมีอยู่ในสำนึก เพราะถ้า กกต.ยืนอยู่กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่บ้านเมืองกำลังวิกฤตเช่นนี้ แน่นอนที่สุดเราก็จะอยู่ไม่ได้

เมื่อถามว่า จะมีการฟ้องร้องผู้ที่กล่าวหาหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ไม่เคยค้าความกับใคร ทุกวันนี้ กกต.โดนฟ้อง ตกเป็นจำเลยของสังคม กล่าวหาว่า กกต.เป็นพวกใครพวกหนึ่ง ก็ขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินแล้วกัน จะไม่นำเรื่องฟ้องร้องต่อศาล ถ้า กกต.ทำไม่ถูก ขอให้ประชาชนขับไล่ โดยชี้ให้ชัดว่า กกต.ทำผิดพลาด ทุจริต จุดไหน ไม่ใช่เล่นกันนอกเวที ซึ่งถ้าประชาชนเห็นว่า การดำเนินการของ กกต. ไม่ชอบ ก็ยินดีรับฟัง และพิจารณาตัวเอง

"ชัยวัฒน์"ยันไม่เคยสมัครพรรค ปชป.

วันเดียวกัน น.ส.รัศมี เพ็ญสุข ทนายความจากสภาทนายความแห่งประเทศไทยได้นำ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ พยานปากสำคัญในคดีที่ กกต.ยื่นต่อศาลฎีกาให้พิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ติยะไพรัช เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. เนื่องจากตรวจพบข้อมูลว่า มีการใส่ความว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชัยวัฒน์ ยืนยันว่า ไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เลย แต่เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และต่อมาก็ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ทั้งครอบครัว แต่ตอนที่เบิกความต่อศาล ทนายความฝั่งนายยงยุทธ ก็บอกว่ามีเอกสารจากสำนักงานกกต. ที่ระบุว่าตนและครอบครัวเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกเลย และขณะนี้ภรรยาของตนก็ยังมีบัตรสมาชิก พรรคพลังประชาชน

ดังนั้นจึงขอให้ กกต. ช่วยตรวจสอบว่า ตนเป็นสมาชิกพรรคประชาธฺปัตย์ได้อย่างไร เพราะคิดว่ากำลังถูกใส่ร้าย และที่ผ่านมาเป็นพยานให้กับ กกต.ก็ถูกนายยงยุทธฟ้องถึง 9 คดี รวมทั้งถูกข่มขู่จนไม่กล้ากลับบ้าน ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือตลอด

"ขอร้องให้กกต.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกระ-บวนการทำเอกสารของเจ้าหน้าที่ กกต. เพราะสงสัยว่า ทำไมผมและครอบครัวถึงมีข้อมูลว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์"

จี้เอาผิดคนปลอมแปลงเอกสาร

ด้าน น.ส.รัศมี กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซต์ ของสำนักงานกกต. ก็ปรากฎว่านายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 6 ม.ค.48 และเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 47 ซึ่งถือว่า มีข้อมูลไม่ตรงกับหนังสือของสำนักงาน กกต. ที่ลงวันที่ 8 พ.ค. 51 ที่ลงนามโดย พ.ต.อ. ณัฐศักดิ์ นานาวัน ผอ.สำนักสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย 5 ที่ระบุว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียว ซึ่งมีความน่าสงสัยว่า การจัดทำเอกสารของเจ้าหน้าที่ กกต. มีข้อพิรุธน่าสงสัย และส่อว่าจะเป็นการทำเอกสารที่เป็นเท็จ ไม่ถูกต้อง โดยอาจมีการปกปิดข้อมูลบางส่วน อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ผู้คัดค้าน และเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. มาตรา 57 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 9, 12 ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

นอกจากนี้ยังมีข้อน่าสงสัยอีกว่า ในวันที่ 8 พ.ค. ที่เป็นวันออกเอกสารของ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ซึ่งปรากฎว่าเป็นผู้ลงนามในเอกสาร ได้รับมอบหมายจาก กกต.ให้เป็นผู้ว่าความแทน กกต.และอยู่ที่ศาลฎีกา ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 แต่กลับปรากฎว่า มีการออกหนังสือให้ทนายความฝ่ายนายยงยุทธ ดังนั้นการออกเอกสารดังกล่าวจึงไม่น่าจะถูกต้อง และผู้นำหนังสือดังกล่าวไปยื่นเท็จต่อศาล ก็อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 และถือว่าละเมิดอำนาจศาล

"หากตรวจสอบการจัดทำเอกสาร และพบว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่คนนั้น รวมถึงผู้ที่มีส่วนร่วมในการคบคิดการกระทำความผิดด้วย"

"ณัฐศักดิ์"ระบุถูกปลอมลายเซ็น

ขณะเดียวกันในช่วงบ่าย กกต.ได้มีการประชุมโดยมีการเรียกเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสำนวนนายยงยุทธ มาชี้แจง โดยนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. กล่าวว่า พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ยืนยันว่า ไม่ได้เซ็นชื่อในเอกสารขอทราบการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ ที่ทำถึงด้านกิจการพรรคการเมือง เนื่องจากวันที่ 8 พ.ค. ที่ระบุว่า มีหนังสือไปนั้น ตัวเอง ชี้แจงอยู่ที่ศาลตลอดทั้งวัน

ส่วนว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ. เชียงใหม่ พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นฝ่ายเลขาของอนุฯสอบสวนด้วย ก็แจ้งว่าป่วย จึงไม่ได้เข้าชี้แจงด้วย

สั่งตั้งกก.สอบให้เวลา 7 วัน

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวภายใน 7 วัน หากพบว่ามีการปลอมแปลงลายเซ็นจริง ก็มีโทษทั้งทางวินัยและอาญาฐานะละเมิดอำนาจศาล นำหลักฐานเท็จไปยื่น ส่วนที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.กฤษณ์ ไปสารภาพกับนายสมชัย ว่าเป็นผู้ปลอมรายเซ็นต์พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นั้น ถือว่าเป็นการบอกกล่าวด้วยวาจา ซึ่งตนก็ไมได้คุยกับ นายสมชัย

"เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องภายในองค์กร ที่มีพนักงานจำนวนมาก ผมก็พูดไม่ได้ว่าพนักงานทุกคนเป็นคนดีทั้งหมด ยอมรับว่ามีคนที่ทำให้องค์กรเสื่อมเสีย ซึ่งกรณีดังกล่าว หากมีการปลอมแปลงเอกสารรายชื่อผอ. โดยผู้ใต้บังคับบัญชาจริง ในหน่วยงาน ราชการก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็คิดว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลถึงรูปคดีของนายยงยุทธ เพราะในการสอบสวนของ กกต. ช่วงนั้นก็พบว่านายชัยวัฒน์ มีชื่อเป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทยอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่นายชัยวัฒน์ อาจจะถูกมองว่าเป็นฝ่ายพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง

"สมชัย" ยอมรับมีการเซ็นชื่อแทน

ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวว่า ว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ได้มาชี้แจงว่า เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะปลอมแปลงเอกสาร แต่เรื่องดังกล่าวมีการต่อสู้กันในชั้นศาล โดยฝ่ายนายยงยุทธ ต่อสู้ในประเด็นเรื่องนายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่นายชัยวัฒน์ ก็อ้างว่าไม่ได้เป็น ทำให้นายถวิล อินทรรักษา หัวหน้าชุด ที่ได้รับมอบหมายจาก กกต.ที่ให้ไปชี้แจงต่อศาลในคดีดังกล่าว ต้องการได้เอกสารยืนยัน ประกอบกับทนายของนายยงยุทธ ก็ได้สอบถามมาด้วยเช่นกัน เพื่อนำไปเป็นหลักฐานในชั้นศาล ซึ่งในวันดังกล่าว พ.ต.อ. ณัฐศักดิ์ อยู่ที่ศาลฎีกาทั้งวัน นายถวิล จึงให้พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ หาเอกสารมา ซึ่งพ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ จึงได้โทรศัพท์ประสานกับว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ให้ดำเนินการโดยเร็ว ทำให้ พ.ต.ท.กฤษณ์ ทำเอกสารขึ้นมาเอง แต่มีข้อผิดพลาดคือ แทนที่จะลงชื่อตนเอง กลับไปลงชื่อ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ และเซ็นต์แทน ซึ่งในทางราชการถือว่า ไม่ถูกต้อง

นายสมชัย ยังกล่าวด้วยว่า ตนไม่ทราบว่า ทำไมหนังสือสอบถามของทนายนายยงยุทธ ถามถึงการที่นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชนหรือไม่ แต่เมื่อไปถึงด้านกิจการพรรคการเมือง กลับเป็นอีกคำถามหนึ่ง ซึ่งคงต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนว่า มีจุดประสงค์ หรือเหตุผลอย่างไร

อ้างเซ็นแทนเพราะรีบ ไม่ได้รีดทรัพย์

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจาก พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ได้ทราบว่ามีการปลอมลายเซ็นของตนเองนั้น ก็ได้มีการแจ้งให้ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการด้านสืบสวนสอบสวนได้ทราบ เพื่อให้รายงานต่อ นายสมชัย ซึ่งในการประชุมทางวิชาการครบรอบ 10 ปีของ กกต.ที่โรงแรมอิมพีเรียล เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ได้พยายามที่จะขอเข้ารายงานเรื่องที่ที่เกิดขึ้นให้ นายสมชัย ทรายด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่มีจังหวะ เช่นเดียวกับว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ ก็ได้พยายามที่จะขอพบ และได้มีโอกาสชี้แจงสั้นๆว่า

"ที่มีการลงชื่อแทนนั้นไม่ได้มีเจตนาคิดร้ายอะไร แต่ทนายฝ่ายนายยงยุทธ มาขอให้รีบดำเนินการ และขณะนั้นก็ไม่มีคนอยู่ จึงรีบเซ็นให้ไป ไม่มีเจตนาไปเรียกทรัพย์อะไรเขา"

"สมชัย" ดึง 4 กกต.ร่วมรับผิดชอบ

นายสมชัย กล่าวด้วยว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าใจผิดว่า ตนเป็นหัวหน้างานสืบสวนสอบสวน แต่จริงๆแล้ว คดีนี้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาสอบแทนตำรวจสันติบาล ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ประกอบด้วย นายสุวิทย์ ธีระพงษ์ นาย อิสระ หลิมศิริวงษ์ และพ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ เป็นกรรมการร่วม โดยมีว่าที่ พ.ต.ท.กฤษณ์ และพ.ต.ต. ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ ผอ.ฝ่ายสืบสวน และวินิจฉัย 10 เป็นเลขานุการคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการชุดนี้ ขึ้นตรงต่อ กกต. ไม่ได้ขึ้นตรงกับตน

"ผมไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาด้านการสืบสวนสอบสวนโดยตรงอีกแล้ว จะย้ายใครสักคนยังไม่ได้เลย ต้องผ่านกรรมการฯเพราะนับแต่เลือกตั้งส.ส.มา กกต.มีมติให้กกต.ทุกคนเข้ามาดูแล และกำกับสั่งการได้ทั้งหมด หากรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน"

เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ที่ทำผิด เป็นคนในบังคับบัญชาของตัวเองโดยตรงจะรับผิดชอบอย่างไร นายสมชัย กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "คุณอยากให้รับผิดชอบอะไรก็ตาม ว่ามาเลย ผมเห็นด้วยที่จะให้ยุบกกต. ยุบไปทั้งหมดเลย ไม่ต้องมีมันแล้ว ผมไม่กลัวม็อบพันธมิตรฯ จะมากดดัน ผมกลัวผู้สื่อข่าวจะมาไล่ทุกวันมากกว่า"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการจะตอบเอกสารกับบุคคลภายนอกสำนักงานกกต.นั้น กกต.เคยมีมติออกมาแล้วว่า จะต้องมีลายเซ็นของผู้บริหารระดับสูง ตั้งแต่รองเลขาธิการ กกต.ขึ้นไป ดังนั้นการตอบคำถามจากระดับ ผอ.สำนัก จึงถือว่าไม่ถูกต้อง

"สุเมธ"ชี้ เอกสารผิดปกติ

ด้าน นายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ไปคัดสำนวนคดีนี้ จากศาลฎีกา ซึ่งก็พบว่า เอกสารที่เบิกความในศาลนั้น เป็นหนังสือของกกต.จริง ๆ แต่มีความผิดปกติ ส่วนจะเป็นการปลอมแปลงเอกสารหรือไม่นั้น ตนมองว่าอาจเป็นเอกสารผิดปกติ ซึ่งขณะนี้เจ้าของเรื่อง กำลังตรวจสอบอยู่ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ส่วนจำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการปลอมแปลงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเรื่อง แต่การพิจารณาเรื่องนี้น่าจะสรุปผลก่อนศาลตัดสินพิจารณาคดี ทั้งนี้ไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวจะส่งผลต่อคดีของนายยงยุทธ หรือไม่

สำหรับกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ มองว่ามีหนอนบ่อนไส้ในสำนักงาน กกต. ที่เป็นคนปลอมแปลงหนังสือนี้ นายสุเมธ กล่าวว่า "ไม่ทราบเรื่องนี้ เพราะต้องสอบสวนกันก่อน แต่คิดว่าสถานที่ทุกแห่งมีทั้งคนดี และคนไม่ดี คงไม่มีคนดี 100%"

ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะเดินทางมาให้กำลังใจ กกต.นั้น ก็อยากขอร้องอย่ามาเลย เพราะกกต. ทุกคนต้องมีความเป็นกลางเป็นที่ประจักษ์ หากมา อาจถูกมองว่ากกต.ไปเข้าข้างฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้

สำหรับการที่กลุ่มพันธมิตรฯโจมตี นางสดศรี และนายสมชัย นั้นตนคิดว่าเป็นแค่ความเห็นของกลุ่มพันธมิตรฯ ส่วนตัวเชื่อว่า กกต.ทุกคนทำหน้าที่อย่างสุจริต และมีเอกภาพในการทำงาน แม้มีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ก็ต้องเคารพความเห็นนั้น

"ผมเชื่อว่า กกต.ทุกคนสุจริต แต่ความคิดเห็นในข้อกฎหมายอาจจะมีต่างกันบ้าง ก็เหมือนเวลาเป็นศาล เมื่อไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเราเคารพในความคิดเห็นแต่ละคน ผมเองบางทีก็ไม่เห็นด้วยกับ กกต.ทั้ง 4 ท่าน แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ ว่าเห็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แต่อยู่ที่คนมองว่า จะสุจริตหรือไม่มากกว่า และเราก็ไม่ได้ทำงานเพื่อหวังเอาใจใคร"

"สนธิ"จี้รื้อ 700 คำร้องที่ถูกโละ

เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วานนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ ตอกย้ำถึงความไม่ชอบธรรมของพรรคพลังประชาชน โดยยกคำตัดสินของตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่า พรรคไทยรักไทย เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบ-ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเมื่อแปลงร่างเป็นพรรคพลังประชาชน เมื่อถูกร้องเรียน จนอนุกรรมการสอบสวนของ กกต. สรุปว่า เป็นนอมินีของพรรคไทยรักไทย แม้ไม่มีกฎหมายเอาผิดได้ แต่เมื่อเป็นพวกเดียวกัน ก็ต้องถูกยุบไปด้วย

นายสนธิ ย้ำถึงเรื่องการสร้างหลักฐานเท็จ ในฝ่ายสืบสวน และฝ่ายกิจการพรรคการเมืองของ กกต. ซึ่งฝ่ายสืบสวนสอบสวน เป็นคนของนายสมชัย จึงประเสริฐ เพื่อช่วยเหลือ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ให้พ้นผิดจากคดีทุจริตเลือกตั้ง ดังนั้นย่อมเชื่อได้ว่า คำร้องทุจริตการเลือกตั้งที่ถูกยกทั้ง 700 คำร้องไปก่อนหน้านั้น เท่ากับว่า พรรคพลังประชาชน เข้ามาบริหารประเทศด้วยการโกงการเลือกตั้ง และนี่คือเหตุผลที่เราต้องไปที่กกต. เพื่อขับไล่ นายสมชัย

นายสนธิ ยังกล่าวถึงการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพิกถอนหมายจับ นายสุนัย มโนมัยอุดม ว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบ ปรากฎการณ์แบบนี้ถึงบอกว่าชาติกำลังจะล่มสลาย ทหารถูกแทรกแซง ขณะที่ตำรวจรับใช้ระบอบทักษิณ ออกหมายจับนายสุนัย คตส.กระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ถูกซื้อ มีแต่ศาลเท่านั้นที่ส่วนใหญ่ ยังซื้อไม่ได้

"ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่ชนะก็ต้องตาย อย่ายอมเด็ดขาด ยอมไม่ได้ เพราะรัฐบาลเถื่อนมาจากการโกงการเลือกตั้ง และนึกไม่ถึงว่า กกต.จะช่วยเหลือพรรคการเมืองโกงการเลือกตั้ง เวลานี้เราอยู่ในประเทศไหนกันแน่ " นายสนธิระบุ พร้อมทั้งเรียกร้องให้กกต. ตั้งคณะกรรมการอิสระ ตรวจสอบคำร้องที่ถูกยกทั้งหมด 700 คำร้องขึ้นมาพิจารณาใหม่

แฉ"ยงยุทธ" รวมหัวกกต.แก้ข้อมูล

นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากแนวทางในการต่อสู้คดีใบแดง ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่พยายามใส่ร้ายป้ายสีพรรคประชาธิปัตย์ ว่าอยู่เบื้องหลัง การจัดฉากเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของพยานปากสำคัญ คือนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ ว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า สมคบกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ และเจ้าหน้าที่ของกกต. เพื่อสร้างหลักฐานเอาผิดกับนายยงยุทธ ซึ่งเรื่องนี้ ทางพรรคไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้เจ้าหน้าที่ของพรรคประสานกับกกต.และค้นข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองในเว็บไซต์ ของกกต.หลายครั้ง พบแต่นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพียงพรรคเดียว ตามที่นายยงยุทธ กล่าวหาจริง ซึ่งนายยงยุทธ ได้ยื่นเอกสารดังกล่าวต่อสู้ในชั้นการพิจารณาของศาลฏีกาแผนกคดีการเลือกตั้ง ทางพรรคจึงไม่ละความพยายาม เพราะมั่นใจที่นายชัยวัฒน์ ยืนยันมาตลอดว่าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย

ดังนั้นเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พรรคจึงได้ค้นข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลของกกต.อีกครั้ง ก็พบว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เลขที่ B570713055754 ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค.48

นายศิริโชค กล่าวต่อว่า ทางพรรคขอให้นายยงยุทธ แสดงความรับผิดชอบเนื่องจากมีการสมคบกันกับเจ้าหน้าที่ของกกต. สร้างหลักฐานเท็จเพื่อนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาล และยังมีการเข้าไปแก้ไขข้อมูลในระบบฐานข้อมูลของพรรคการเมืองของกกต. ทำให้ไม่สามารถค้นข้อมูลความเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ของนายชัยวัฒน์ได้ แต่พอมีการสืบพยานในชั้นศาลเป็นที่เรียบร้อย เกรงว่าจะมีความผิด ก็มีการแก้ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลพรรคการเมืองของ กกต. กลับไปเหมือนเดิม แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการตัดแต่งพันธุกรรมข้อมูล เหมือนที่เคยพบในอดีต อันเป็นเหตุให้อดีต กกต.ทั้ง 3 คนต้องคำพิพากษาจำคุกมาแล้ว

ปชป.เตรียมเอาเรื่อง กกต.

ดังนั้น ทางพรรคจึงขอเรียกร้องให้กกต. ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริง หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ กกต.ระดับสูงเกี่ยวข้องด้วย ก็ต้องดำเนินการเอาผิดทางวินัยและอาญา กับกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

นายศิริโชค กล่าวว่า มีข้อสังเกตถึงกระบวนการตรวจสบการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ของนายชัยวัฒน์ มีการทำเรื่องร้องไปที่กกต. เมื่อวันที่ 8 พ.ค.51 และสำนักสอบสวนของกกต. ที่มีนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านการสืบสวนสอบสวน เป็นผู้กำกับดูแล ได้ตอบกลับมาภายในวันเดียวกัน แต่แจ้งเพียงว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่ภายหลังกลับมีการตรวจสอบพบการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ซึ่งตรงนี้เรามีหลักฐานชัดเจน และพยานเป็นเจ้าหน้าที่

เมื่อถามว่า หากพบว่านายสมชัย มีส่วนเกี่ยวข้องในการเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลจะดำเนินการเอาผิดด้วยหรือไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า คงต้องหารือกันภายในพรรคก่อน เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก มีผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมดว่ามีความชอบธรรมหรือไม่

พันธมิตรฯย้ำบุก กกต.จันทร์นี้

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรฯ กล่าวถึง กรณี นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีดีเอสไอ จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 2,000 ล้านบาท กรณีพนักงานสอบสวน ขอออกหมายจับโดยมิชอบว่า เป็นแบบอย่างการต่อสู้ของอารยะขัดขืน เพราะการออกหมายจับ นายสุนัย ครั้งนี้ มีพิรุธ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามที่จะเช็กบิล ล้างแค้นกลุ่มที่จะมาจัดการกับระบอบทักษิณ จึงอยากเรียกร้องข้าราชการ ซึ่งเป็นกลไกในการพัฒนาบ้านเมือง และรักในความเป็นธรรม ส่งข้อมูลมาให้กับกลุ่มพันธมิตรฯได้ตลอดเวลา

นายสุริยะใส กล่าวว่า สำหรับอารยะขัดขืนชุดที่ 1 นั้น ประสบความสำเร็จเกินคาด ได้รับความร่วมมือสูงมาก ทั้งข้อมูลภายในหน่วยราชการว่า ใช้อำนาจกดขี่อย่างไรบ้าง เช่น กรณี กกต. ที่มีความไม่ชอบมาพากลในการเอื้อประโยชน์ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่เราได้รับข้อมูลทันทีที่ประกาศออกไป

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้า เราจะเริ่มยุทธวิธีเดินหน้า ล่าข้อมูล เมกะโปรเจกต์ ซึ่งหลายโครงการที่รัฐบาลนี้กำลังเร่งนำเข้า ครม. เพื่อขออนุมัติ เช่น กรณี รถเอ็นจีวี ของ ขสมก.โครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง และโครงการรับจำนำประกันราคาข้าว ซึ่งมีมูลค่าโครงการตั้งแต่ 10 ล้าน ถึง หมื่นล้านบาท เชื่อว่า รัฐบาลจะเร่งอนุมัติ เพื่อถอนทุนทางการเมือง โดยรัฐบาลอาจจะชิงลาออก หรือยุบรัฐบาลหนี เพื่อเอางบประมาณในส่วนนี้มาเป็นกระสุนในการเลือกตั้งครั้งหน้า

นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า ในเย็นวันนี้ หรือวันเสาร์ อาจจะมีมาตรการอารยะขัดขืน ชุดที่ 2 ออกมาส่วนจะเป็นเรื่องอะไร ขอให้ติดตาม และวันที่ 16 มิ.ย. กลุ่มพันธมิตรฯ จะเดินทางไปที่ กกต. อย่างแน่นอน ซึ่งได้มีการประสานตำรวจเรียบร้อยแล้ว

"เจิมศักดิ์"จวกคูปอง"หมอเลี้ยบ"

เวลา 19.30 น. วานนี้ บนเวทีพันธมิตรฯ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว.กทม. ขึ้นมาดำเนินรายการ"รู้ทันประเทศไทย" โดยวิพากษ์วิจารณ์ถึงการออกคูปองช่วยคนจนของรัฐบาลตามแนวคิดของนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง ว่า รัฐบาลต้องบอกประชาชนให้ได้ว่า คนไหนใครคือคนจน เพราะคนเรามีรายได้อยู่หลายประเภท ดังนั้นจะแบ่งอย่างไรว่าใครมีเกณฑ์รายได้ต่ำกว่ามาตรฐาน ตนถามว่าหรือจะให้หัวคะแนนของพรรคการเมืองลงไปบอกหรือชี้เลยคนในพื้นที่คนไหนจน หรือไม่จน และจะมีการบอกว่าให้คนไหนได้หรือไม่ได้คูปอง ซึ่งจะมีปัญหาว่าจะมีการเล่นพรรคเล่นพวก

ดังนั้นรัฐบาลต้องกำหนดว่า คูปองดังกล่าวต้องระบุว่า ซื้อสินค้าอะไรได้บ้าง หรือจะบอกว่า ให้ซื้ออะไรก็ได้แทนเงิน ซึ่งตรงนี้จะเป็นปัญหา เพราะอาจจะมีบริษัทหลายบริษัท และค่ายมือถือเข้าร่วมกิจกรรมด้วย เพื่อเป็นการระบายสินค้า ดังนั้นรัฐบาลต้องดูว่า คูปองให้ซื้ออะไรได้บ้าง

"ผมถามว่า คูปองนี้จะเอาไปให้ใคร และซื้ออะไรได้บ้าง ต้องดูตรงนี้ เพราะบางพื้นที่ก็บอกว่า ให้ซื้อเฉพาะร้านนี้ร้านเดียว และถ้าร้านนั้นร้านเดียว ก็จะขายดีร้านเดียว และถ้าร้านนั้นอาจจะร้านที่สนับสนุนหรือเป็นหัวคะแนนของพรรคการเมือง ก็จะได้ประโยชน์"

นายเจิมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คูปองดังกล่าวปลอมง่ายกว่าธนบัตร เพราะหากจะป้องกันการปลอมต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการป้องกันการปลอมสูงมาก ซึ่งการที่บอกว่าจะแจกให้ประชาชน 10 ล้านคน คนละ 400 บาท ต่อเดือน เป็นเวลา 6- 12 เดือน ซึ่งหากแจกจริง จะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 4 พันล้านบาท 1 ปีก็ใช้งบ 4 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 5 หมื่นล้านบาท

"ดูแล้วเหมือนกับและไม่ต่างจากการที่ นพ.สุรพงษ์ และนายสมัคร ซ่อนเงื่อน เหมือนกับการพิมพ์เงินแจกเอง 5 หมื่นล้านบาท เพื่อแจกประชาชน ผมจะบอกพี่น้องว่าถ้าเงินมันเพิ่ม โอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ก็จะเกิด ซึ่งจะหนักหนาสาหัส เงินฟ้อแปลว่าข้าวของจะมีราคาแพง ซึ่งเรื่องนี้กำลังจะมีการเล่นแร่แปรธาตุ เพราะถ้าหากคูปอง อันนั้นแพร่หลาย คนก็จะเอาไปซื้ออะไรก็ได้ และมันก็จะกลายเป็นธนบัตรประเภทหนึ่ง ดังนั้นตอนนี้ บริษัททั้งหลายกำลังตาเป็นมัน และจะขอให้มาซื้อสินค้าของตัวเอง เพราะมีเม็ดเงินถึง 5 หมื่นล้านบาท" นายเจิมศักดิ์ กล่าว และว่าการทำเช่นนี้ก็ไม่ได้แก้ปัญหาความยากจนเลย แต่เพื่อหวังผลหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่ายอมให้เขาพิมพ์แบงก์แบบนี้ออกมาใช้หาเสียงล่วงหน้า

"หมัก"พล่านหาทางปิดเอเอสทีวี

ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อขับไล่รัฐบาลว่า นั่น เป้าหมายเทียม คือ ขับไล่รัฐบาล หรือให้มีการยุบสภา แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯได้ประโยชน์จากการชุมนุมที่ยืดเยื้อ ซึ่งมีอยู่ 2 คน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ได้บริวารจากการเผยแพร่ลัทธิจำลอง และนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ได้รับเงินบริจาค เพื่อไปอุดหนุนเกื้อกูล การออกอากาศของ เอเอสทีวี ทั้งๆ ที่เอเอสทีวีอยู่ในช่วงของการ คุ้มครองของศาลปกครอง โดยกรมประชาสัมพันธ์ เป็นโจทย์ฟ้องว่า กระทำผิดกฎหมาย ดังนั้นจะต้องไม่มีการออกอากาศด่าใครทั้งสิ้น แต่ขณะนี้ถือว่าทำผิดเงื่อนไข ดังนั้นกรมประชาสัมพันธ์คงจะต้องดำเนินการ เพื่อขอให้เพิกถอนการคุ้มครองโดยเร็ว

โยงเงิน 2 ล้านป้ายสีพันธมิตรฯ

ร.ท.กุเทพ ยังกล่าวถึง กรณีเงิน 2 ล้านบาทในกล่องขนมที่มอบให้กับเจ้าหน้าที่ศาลฎีกา ว่าเป็นเพียงประเด็นที่พยายามจะก่อกระแสขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่า รัฐบาลไปทำอะไรที่ไม่ชอบมาพากล ซึ่งเรารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่มีความผิดปกติอย่างมาก เพราะถ้าหากการกระทำดังกล่าวเป็นการหวังผลให้มีการแทรกแซงการทำงานของศาลนั้น ก็ถือว่าโง่เต็มที โดยเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น โดยสามัญสำนึกแล้ว ยิ่งไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่น่าจะเป็นการพยายามสร้างกระแสให้เห็นว่ามีการแทรกแซง เพื่อเพิ่มความชอบธรรมในการชุมนุมเท่านั้น

ฟ้องแน่!"หมัก"หมิ่นศาล

นายสุวัตร์ อภัยภักดิ์ ทนายความ ของสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี และบริษัท ไทยเดย์ จำกัด ได้กล่าวถึงกรณีที่มีการพยายามจะปิด เอเอสทีวี ว่า เราฟ้องคดีเมื่อวันที่ 31 ม.ค.49 และขอบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ซึ่งตอนนั้นเขาจะปิดไม่ให้เราส่งสัญญาณทันที คดีอาญาไปแจ้งที่ สน.ชนะสงคราม กรมประชาสัมพันธ์ มีคำสั่งไปที่การสื่อสารแห่งประเทศไทย ตอนนั้นว่า ห้ามไม่ให้เราใช้สัญญาณดาวเทียม และอินเทอร์เน็ต ตนก็ฟ้องทันทีในวันที่เขามีคำสั่ง แล้วก็มีการไต่สวนบรรเทาทุกข์ชั่วคราวในวันที่ 2 ก.พ.49 ซึ่งศาลก็มีคำสั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราว แต่กรมประชาสัมพันธ์ อุทธรณ์คำสั่ง ตอนนั้นเราฟ้องไปที่ศาลปกครองกลาง เมื่อคำสั่งขึ้นไปถึงศาลปกครองสูงสุด ยืนคำสั่งเดิมให้คุ้มครองเอเอสทีวีต่อไป เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ การจะปิดโทรทัศน์หรือสื่อทำไม่ได้

นายสุวัตร์ กล่าวว่า จนกระทั่งเมื่อวันที่ 31 ม.ค.51 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เอเอสทีวี ชนะคดี และให้กรมประชาสัมพันธ์ จ่ายค่าเสียหายในระหว่างมีคำสั่งห้ามแพร่ภาพชั่วคราวช่วง 6 วัน ได้วันละสองหมื่น ดังนั้น ทุกขั้นตอนดำเนินงานของเอเอสทีวี ไม่ผิดกฎหมาย คำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค.51 กรมประชาสัมพันธ์ยังอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด แต่บัดนี้ยังไม่มีคำพิพากษา

"แต่การที่คุณสมัคร ออกมาพูดในรายการสนทนาประสาสมัครซ้ำๆ ว่า เอเอสทีวีช่องนี้ด่ารัฐบาลอยู่เรื่อยเลย ศาลยังคุ้มครอง-อยู่นะ ศาลยังคุ้มครองอยู่นะ พูดซ้ำๆ กันถึง 6 ครั้ง เหมือนพยายามชี้ให้เห็นว่า นี่ด่ารัฐบาลแล้วศาลยังคุ้มครองอยู่ได้ยังไง เป็นการละเมิดอำนาจศาลนะ เดี๋ยวสัปดาห์หน้า ผมจะลากนายกฯ ขึ้นศาลปกครอง ในข้อหาละเมิดอำนาจศาล จะบอกว่าศาลปกครองตัดสินไม่ยุติธรรมใช่ไหม คุณกำลังดูถูกศาลอย่างนี้ใช่ไหม ผมเตรียมทำคำร้องแล้ว เดี๋ยวเจอกันแน่" นายสุวัตร์กล่าว

นายสุวัตร์ ระบุด้วยว่า ในตอนนี้เขาไม่มีทางปิดเอเอสทีวีได้ ถ้าเขาทำได้ทำไปนานแล้ว เอเอสทีวี คือ หนามยอกอก เขาอยากจะปิดตั้งแต่ยุคพ่อเขาแล้ว ยุคลูก ก็ยังปิดไม่ได้ เพราะเอเอสทีวี ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดกระจายภาพในประเทศไทยเลย ถ้าจะปิดเอเอสทีวีก็ต้องไปปิดซีเอ็นเอ็น อย่างไรก็ตาม จำได้ไหมตอนที่แบนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ครั้งแรก ชาวบ้านมาดูรายการที่สวนลุมพินีกันมากมาย รัฐบาลปวดหัวเลย แล้วตอนนี้ถ้าคิดจะปิดเอเอสทีวี คิดให้ดี
กำลังโหลดความคิดเห็น