ผู้จัดการออนไลน์ - เผยเจ้าหน้าที่ กกต.สารภาพสร้างหลักฐานเท็จเพื่อปรักปรำว่า “ชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ” พยานปากเอกคดี “ยงยุทธ” ทุจริตการเลือกตั้งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อมุ่งหวังทำลายความน่าเชื่อถือของพยาน และโยงว่าการกล่าวหา “ยงยุทธ” เป็นการกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้าม และมีการเตรียมการไว้เพื่อใส่ร้ายพรรคพลังประชาชน
จากกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนการทุจริตเลือกตั้งจังหวัดเชียงราย โดยมี พ.ต.อ.สุวรรณ เอกโพธิ์ รองผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 เป็นประธานกรรมการ และต่อมา กกต.ได้เรียก นายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน นางละออง ติยะไพรัช และนายอิทธิเดช แก้วหลวง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เชียงราย มารับทราบข้อกล่าวหา และชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ในระหว่างที่มีการสอบสวนอยู่นั้น กกต.ได้มีมติรับรองการเลือกตั้งของนายยงยุทธไปก่อน และต่อมา นายยงยุทธ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา
จากนั้นระหว่างการสอบสวน นายยงยุทธได้ร้องเรียนต่อ กกต.ให้เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการสอบสวน เนื่องจากกล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้ามกลั่นแกล้งจัดฉาก กกต.จึงมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนใหม่โดยมี นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน นายอิศระ หลิมสิริวงษ์ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน พ.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เสงี่ยมศักดิ์ และ พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ เป็นกรรมการ
และต่อมาคณะกรรมการสอบสวนชุดนายสุวิทย์ ได้สรุปผลสอบสวบสวนเสนอ กกต.โดยมีความเห็นว่า นายยงยุทธ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง พร้อมเสนอให้ใบแดงนายยงยุทธ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2551 ต่อมา กกต.ได้ส่งสำนวนการสอบสวนและคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อให้วินิจฉัยและมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีการเลือกตั้ง ได้มีคำสั่งประทับรับฟ้อง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2551
ดิสเครดิตพยาน อ้าง “ชัยวัฒน์” เป็นสมาชิก ปชป.
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ ได้เบิกความต่อศาล ว่า เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย แต่ทนายความของนายยงยุทธ ได้ถามค้าน และได้ยื่นเอกสารการตรวจสอบสมาชิกพรรคการเมือง และอ้างว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เลขทะเบียน 471040033 วันที่สมัครสมาชิก 20 กันยายน 2547 (ดูเอกสารประกอบ 1)
ทำให้ต่อมา นายยงยุทธได้ให้ทนายความไปร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามให้ดำเนินคดีต่อนายชัยวัฒน์ในข้อหาเบิกความเท็จต่อศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง กรณีให้การว่าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างหลักฐานเอกสารที่ทาง กกต.รับรองว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียว
และในวันที่ 14 พฤษภาคม นายยงยุทธได้นำเอกสารชิ้นดังกล่าว ซึ่งลงนามโดย พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน เพื่อยืนยันว่านายชัยวัฒน์ซึ่งให้การว่าตัวเองเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ขึ้นเบิกความต่อศาลฎีกาเป็นการเบิกความเท็จ เพื่อชี้ให้เห็นว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม คือ พรรคประชาธิปัตย์ (ดูเอกสารประกอบ 2)
พบพิรุธ! การลงนามเอกสาร
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบหลักฐานการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ของนายชัยวัฒน์ จากการลงนามของ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ที่ทนายของนายยงยุทธมายื่นต่อศาล ลงวันที่ 8 พฤษภาคม นั้น มีข้อน่าสังเกต คือ ในวันที่ 8 พฤษภาคมดังกล่าว พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ในฐานะผู้รับมอบอำนาจของ กกต.ทำหน้าที่ซักถามพยานผู้ร้องอยู่ในศาล ซึ่งใช้เวลาการไต่สวนตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.จะลงนามเอกสารที่นายสาคร ทนายความของนายยงยุทธ ยื่นถามต่อ กกต.เพื่อสอบถามสถานภาพการเป็นสมาชิกพรรคของนายชัยวัฒน์ในวันเดียวกันได้อย่างไร
นอกจากนั้น ยังพบพิรุธว่า เมื่อตรวจสอบลายเซ็นของ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ที่ลงนามในจดหมายราชการที่ตอบทนายความของ นายสาคร ลงวันที่ 8 พฤษภาคม และลายเซ็นของ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ ที่เซ็นไว้ท้ายคำให้การพยานคำร้องของศาลในวันที่ 8 พฤษภาคมเช่นเดียวกันนั้น มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด (ดูเอกสารประกอบ 3 และ 4)
จนท.สมรู้ร่วมคิดสร้างหลักฐานเท็จ
ต่อมา นายชัยวัฒน์ ได้พยายามรวบรวมหลักฐานเพื่อตรวจสอบเอกสารที่ นายยงยุทธ อ้างว่า ตนเองเป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าว และตรวจสอบในเว็บไซต์ของ กกต.พบหลักฐานชัดเจนว่า ตนเองเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2547 จริง แต่ต่อมาได้เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2548
ทำให้เชื่อได้ว่า เอกสารที่อ้างว่า ลงนามโดย พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ เพียงพรรคเดียว โดยไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคไทยรักไทย ในภายหลัง และนายยงยุทธนำมาอ้างในศาลนั้น น่าจะเป็นเอกสารเท็จ และเป็นการสมรู้ร่วมคิดของเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน กกต.ที่รับผิดชอบการจัดเก็บข้อมูลการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เปลี่ยนแปลง และปกปิดข้อมูล เฉพาะในส่วนข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ นายยงยุทธ นำมาเป็นหลักฐานอ้างว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองตรงข้าม และมีการจัดฉากมาใส่ร้ายป้ายสีเพื่อปรักปรำนายยงยุทธ (ดูเอกสารประกอบ 5 และ 6)
นอกจากนั้น ในการเบิกความในชั้นศาล นายถวิล อินทรักษา ประธานคณะอนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องคัดค้านและปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจาก กกต.ให้เป็นที่ปรึกษา ผู้รับมอบอำนาจ ร่วมกับ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ และ พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ ไม่ได้ทำหน้าที่ซักค้านเพื่อเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแต่อย่างใด และในวันนั้น พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ได้เห็นเอกสารเท็จที่ถูกระบุว่า ลงนามโดยตัวเอง ซึ่งนายยงยุทธ นำมาอ้างในศาล เพื่อยืนยันว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
สารภาพแล้ว จนท.ทำหลักฐานเท็จ
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ (11 มิ.ย.) พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ ได้รับสารภาพต่อนายสมชัย จึงประเสริฐ และ นายสุเมธ อุปนิสากร กกต.ว่า เป็นผู้ปลอมลายเซ็น ของ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ในจดหมายตอบทนายความของ นายยงยุทธ ลงวันที่ 8 พฤษภาคม ดังกล่าว เนื่องจากได้รับคำสั่งจาก พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ซึ่งขณะนั้นกำลังอยู่ในศาลไม่สามารถลงนามด้วยตัวเองได้
คำสารภาพของ พ.ต.ท.กฤษณ์ ในวันนี้ เป็นการยืนยันว่า เอกสารที่นายยงยุทธนำมาใช้กล่าวหานายชัยวัฒน์ว่าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็นเอกสารเท็จที่เกิดจากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ กกต.
พบสายงานขึ้นตรง “สมชัย-สดศรี”
เมื่อตรวจสอบสายงานบังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดครั้งนี้ พบว่า พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน พ.ต.ท.กฤษณ์ ณ เชียงใหม่ และ พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ ล้วนแล้วแต่ขึ้นตรงต่อนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกพรรคการเมืองจากสำนักกิจการพรรคการเมือง ที่ พ.ต.อ.ณัฐศักดิ์ นานาวัน ใช้เป็นเอกสารแนบ อ้างว่า นายชัยวัฒน์ เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียวนั้น ขึ้นตรงต่อ นางสดศรี สัตยธรรม
กรณีการสร้างหลักฐานเท็จดังกล่าว นอกจากนายชัยวัฒน์จะได้รับความเสียหายเพราะถูกแจ้งความกล่าวหาว่าเบิกความเท็จต่อศาลแล้ว ความเสียหายยังตกอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของนายชัยวัฒน์ และถือว่านายยงยุทธมีส่วนรู้เห็นในการสร้างเอกสารเท็จเพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลด้วย และในส่วนของกกต.จะต้องสอบสวนทางวินัยและอาญาและแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่และขบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (ดูเอกสารประกอบ 7)
ซ้ำรอยคดียุบพรรค-สัมพันธ์ลึก
ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวไม่แตกต่างกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคไทยรักไทย เนื่องจากพรรคไทยรักไทย ว่าจ้างพรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย รับจ้างพรรคไทยรักไทยจัดหาผู้สมัครรับเลือกตั้งเพื่อช่วยเหลือพรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทยร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงาน กกต.แก้ไขข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย เพื่อให้ครบ 90 วัน
นอกจากนั้น เมื่อตรวจสอบในเชิงลึก กลับพบว่า ภรรยาของนายถวิล คือ นางนิภา อินทรักษา ยังเป็นกรรมการบริษัท ดี.ที.ซีอินดัสตรีส์ จำกัด(มหาชน) ร่วมกับ พล.ต.ท.ปานสิริ ประภาวัต นายตำรวจซึ่งมีความใกล้ชิด นางพจมาน ชินวัตร
และในระหว่างที่คดีของนายยงยุทธอยู่ในศาลนั้น นายถวิลยังได้รับการเสนอชื่อจากรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ให้เป็น 1 ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ร่วมกับ นายไสว พราหมณี อดีต ส.ว.นครราชสีมา, นายกุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา, นายบุญปลูก ชายเกตุ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.), นายอุดม มั่งมีดี อดีตผู้พิพากษาที่ตัดสินจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล
และจากหลักฐานการปลอมแปลงเอกสารดังกล่าว ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกรณีที่ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนเสนอยุติคำร้องการทุจริตการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนกว่า 700 เรื่องนั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคพลังประชาชนเช่นเดียวกับกรณีนี้หรือไม่