“สนธิ” มาตามสัญญาเปิดโปงความชั่วช้าของคน กกต.สมคบกันเป็นขบวนการสร้างหลักฐานเท็จช่วยเหลือ “ยุทธ ตู้เย็น” ให้พ้นผิด และยกคำร้องทุจริต 700 สำนวนให้พรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก แฉใช้หน่วยงานฝ่ายสืบสวนที่ “สมชัย จึงประเสริฐ” รับผิดชอบกับ ข้อมูลพรรคการเมืองภายใต้การดูแลของ “สดศรี สัตยธรรม” เป็นกลไกสำคัญ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
วันนี้ (11 มิ.ย.) ที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อเวลา 20.30 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แฉหลักฐานการทุจริตภายในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่สมคบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชั่วบางคน และนักการเมืองและลิ่วล้อในระบอบทักษิณเพื่อช่วยเหลือพรรคพลังประชาชนในการโกงการเลือกตั้ง แต่ฟ้ามีตาถูกจับได้และประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอดีต กกต.ในยุคสามหนาห้าห่วง
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อรับรู้ข้อมูลที่กำลังเล่าให้ฟังในวันนี้แล้ว จึงเข้าใจดีว่าทำไมพวกเราจึงมีความชอบธรรมที่ต้องออกมาขับไล่ให้ออกไป
นายสนธิ ได้เริ่มกล่าวถึงการการซื้อเสียงของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่จังหวัดเชียงราย และมี นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนันในจังหวัดเชียงรายเป็นพยานให้กับฝ่ายตำรวจที่นำโดย พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันกุล ทำคดีโดยหลักฐานทั้งภาพถ่าย พยานบุคคลพร้อมสรรพ
นายสนธิ ได้ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติของ กกต.ตั้งแต่เริ่มต้นว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบคดีนี้อย่างเต็มที่ กลับปล่อยให้ นายยงยุทธ ไปเป็น ส.ส.และได้เป็นประธานสภาผู้แทนฯ และมีการร้องให้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ แต่เมื่อจำนนต่อหลักฐานก็ต้องชี้ความผิดและให้ใบแดง และส่งต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อดำเนินคดี
นายสนธิ ลำดับเหตุการณ์ให้ฟังอีกว่า จากนั้นนายยงยุทธได้ต่อสู้คดี ขณะที่ฝ่าย กกต.ก็ได้ตั้ง นายถวิล อินทรักษา ที่ทำหน้าที่เปรียบเหมือนหัวหน้าทนายความของ กกต.ในศาลฎีกาก็ไม่ได้แสดงบทบาทในการซักค้านฝ่ายนายยงยุทธ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีแต่อย่างใด
“ต่อมาก็ถึงบางอ้อ เมื่อทราบมาว่านายถวิลผู้นี้กำลังถูกเสนอชื่อโดยรัฐบาลพรรคพลังประชาชนให้เป็นประธาน ป.ป.ท. รวมทั้งภรรยาก็เป็นกรรมการบริษัทร่วมกับ พล.ต.ท.ปานศิริ ประภาวัตร นายตำรวจที่ใกล้ชิดดับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตรด้วย ขณะที่ นายอุดม มั่งมีดี ที่เคยตัดสินให้ผมติดคุก 2 ปี ก็ได้รับการแต่งตั้ง มีการปูนบำเหน็จกันเต็มที่” นายสนธิ ระบุ
นายสนธิ ได้ชี้ให้เห็นถึงแนวทางการต่อสู้คดีของนายยงยุทธ โดยกล่าวหาว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้เห็นว่าเขาถูกกลั่นแกล้งโดยพรรคประชาธิปัตย์
นายสนธิ เปิดโปงอีกว่า หลักฐานที่อ้างว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นเอกสารเท็จที่ทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนที่ขึ้นตรงกับ นายสมชัย จึงประเสริฐ ระบุว่านายไชยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.47 แล้วนำเอกสารนี้ไปอ้างต่อศาลฎีกาฯ อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบซ้ำพบว่า นายชัยวัฒน์ได้เป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี 2548-2550 ด้วย เอกสารเท็จดังกล่าวที่นายยงยุทธไปอ้างต่อศาลฎีกาจึงเป็นเอกสารเท็จ นายยงยุทธต้องรับผิดชอบ
นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธในการลงนามรับรองเอกสารโดยนายตำรวจนายหนึ่งที่ทำงานฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.ที่ลงนามในวันที่ 8 พ.ค.51 ซึ่งเป็นไปไม่ได้เนื่องจากวันดังกล่าว นายตำรวจคนดังกล่าวต้องซักค้านคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ในศาลตลอดทั้งวัน และต่อมามีนายตำรวจอีกคนหนึ่งได้ยอมรับสารภาพแล้วว่าได้รับคำสั่งให้ปลอมลายเซ็นในเอกสารเพื่อช่วยเหลือนายยงยุทธ
นายสนธิ กล่าวว่า การสมคบการทุจริตของคนใน กกต.ในครั้งนี้มันมีความหมายกว้างกว่านี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ กกต.ฝ่ายสอบสวนเคยยกคำร้อง 700 คำร้องภายใน 1 เดือน เพื่อช่วยเหลือพรรคพลังประชาชน ซึ่ง กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนอยู่ในความรับผิดชอบของนายสมชัย จึงประเสริฐ นั่นเอง
“สมมติว่า ใน 700 คำร้องยกคำร้องให้พรรคพลังประชาชน 140 คำร้อง ถ้าเป็นอย่างนั้นพรรคพลังประชาชนได้รับเลือกตั้งไม่ถึง 150 คนอย่างแน่นอน กระบวนการทุจริตเหมือนกับในยุค 3 หนา โดยประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยในเรื่องการแก้ไขข้อมูลพรรคการเมือง ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของนางสดศรี สัตยธรรม นั่นเอง” นายสนธิระบุ
นายสนธิ ย้ำว่า เมื่อเป็นแบบนี้จึงมีเหตุผลสนับสนุนว่าพวกเราต้องสู้ไม่ถอย ยอมไม่ได้ และ นายสมชัย และนางสดศรี ต้องรับผิดชอบ และยืนยันว่าในวันจันทร์นี้เวลา 10.00 น.ตนเองจะร่วมเดินทางไปให้กำลังกกต. 3 คน ขณะเดียวกันจะไปขับไล่ นายนายสมชัย และนางสดศรี ด้วย
นายสนธิ ยังได้กล่าวถึงเรื่องความพยายามในการติดสินบนตุลาการ 2 ล้านบาทว่า ทราบมาว่า ทนายที่เอาเงินไปให้ คือ ทนายความที่เคยฟ้องตนเอง และกระทำเหิมเกริมที่คิดว่าทุกอย่างซื้อได้ด้วยเงิน