xs
xsm
sm
md
lg

แก่นไทยแท้ แนวทางธรรมาธิปไตย แก้ไขเหตุวิกฤตชาติ

เผยแพร่:   โดย: ป.เพชรอริยะ

เหตุวิกฤตชาติที่แท้จริง คือความเป็นมิจฉาทิฐิของเหล่าพวกผู้ปกครอง โดยเข้าว่า ถ้ามีรัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พี่น้องรู้ไหมว่า มีที่ประเทศไทย ประเทศเดียวในโลกเท่านั้นที่หลงผิดๆ อย่างซ้ำซากว่า รัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย

ผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมีปัญญา
ควรจะได้ล่วงรู้สภาพการณ์ที่แท้จริง คือความเป็นไป ความมีอยู่ ของระบอบการเมืองไทยคือระบอบเผด็จการ 2 ขั้ว 2 ลักษณะ ระหว่างเผด็จการรัฐประหาร (การเรียกว่าปฏิวัติ เป็นมิจฉาทิฐิ โปรดกรุณาเรียกให้ถูกต้องว่า “รัฐประหาร รัฐประหาร” ประเทศไทยไม่เคยมีคณะปฏิวัติ และทำการปฏิวัติโดยเนื้อหาที่แท้จริง

เริ่มแรกโดยทีเดียวคณะรัฐประหารโดย คณะราษฎร์ ล้มรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัฐกาลที่ 7 เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 คณะนี้ได้สร้างรัฐธรรมนูญแบบเผด็จการขึ้นมา แล้วก็มีรัฐบาลชุดแรกภายใต้รัฐธรรมนูญ คือรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นรัฐบาลได้ไม่นานก็ถูกคณะรัฐประหารโดย พระยาพหลพลพยุหเสนา กล่าวโดยย่อจากนั้นเป็นต้นมา ต้นแบบแห่งเผด็จการ 2 ขั้ว 2 ลักษณะ คือ “เผด็จการโดยรัฐประหาร กับ เผด็จการโดยรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง” สลับกันเรื่อยมาเป็นวงจรอุบาทว์ ครอบงำ ทำลายประเทศชาติมาตลอดยาวนาน 76 ปี ภายใต้ความเข้าใจผิด เห็นผิด คิดผิด ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยถูกครอบงำโดยระบอบเผด็จการมิจฉาทิฐิ 2 ขั้ว 2 ลักษณะมานาน 76 ปี แล้วครับท่านพ่อแม่น้องที่เคารพ

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทั้งหลายครับ พวกผู้ปกครอง พวกเขาไม่ยอมรับความจริง พวกเขายอมรับความจริงไม่ได้ ถ้าพวกเขายอมรับความจริงได้ พวกเขาจะต้องปฏิบัติ คือ

หนึ่ง พวกผู้ปกครองจะต้องเผาตำราทิ้ง ทั้งรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ ที่เรียนกันอยู่ทุกวันนี้ให้หมดสิ้นไป เพราะมันทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างต่อเนื่อง ทำลายประเทศของตนเองอย่างโง่เขลา เบาปัญา และร้ายกาจที่สุด

สอง พวกผู้ปกครองจะแก้ปัญหาประเทศชาติได้

สาม เริ่มต้นโดย การผลักดัน สถาปนาระบอบโดยธรรม หรือ เรียกว่า สถาปนาหลักการปกครอง จากนั้นจึง คิดแก้ไข ร่าง ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ นี้คือแนวทางที่ถูกต้อง

พี่น้องครับ ที่ พูดได้อย่างนี้เพราะผู้เขียน ไม่ได้อิงประโยชน์ กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เชื่อไหมครับว่า คณะผู้ปกครองของลัทธิเผด็จการนั้น จะแบบไหนก็ตามจะทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะพวกเขาไม่มีปัญญา เพราะพวกเขาเป็นพวกมิจฉาทิฐิ นั่นเอง

จะเป็นความหวังของประเทศไทยหรือไม่?


เมื่อวันศุกร์ ที่ 6 มิ.ย. 51 รายงานข่าวจากโรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ว่าเมื่อเวลา 09.00 น. วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับกลุ่มองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนได้จัดสัมมนาหัวข้อ "ทางเลือก ทางรอด ก่อนชาติล่มสลาย" โดยมี นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภา

นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ กล่าวตอนหนึ่งว่า …ที่แม้จะมีการยุบพรรคเลือกตั้งใหม่ ก็ได้คนของพรรคการเมืองเก่ากลับเข้ามา ไม่มีความหวังให้ประเทศชาติ จึงต้องการให้เวทีนี้สะท้อนทางเลือก และอยากเห็นสังคมเป็นแบบธรรมาธิปไตย ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์สูงสุด...

นอกจากนี้ ผู้ร่วมสัมมนาที่ประกอบด้วยภาคส่วนต่าง ๆ ยังได้ประกาศหลักการภายใต้กรอบปฏิญญาว่าด้วยการปฏิวัติสังคมไทย ไปสู่สังคมธรรมาธิปไตย ที่ถือเป็นแนวทางร่วมกันสำหรับประชาชน เราเริ่มเห็นเด่นชัดขึ้นแล้ว จากข่าว ดังกล่าว ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ความหวังของชาติ และประชาชน และผู้นำที่จะนำไปสู่สังคมธรรมาธิปไตย เริ่มฉายแววให้เห็นแล้ว นั่นก็คือ ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ นั่นเอง (ผู้เขียน ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่ได้พิจารณาจากแนวคิด)

ข้าพเจ้าจะนำพาท่านทั้งหลายเข้าสู่ สัจธรรม ปัญญาอันยิ่งใหญ่ อันเป็นแก่นแท้ของชาติ ในหลายมุมมอง (View Point) ซึ่งมันได้ดำรงอยู่ในแกนเดียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสภาวกฎธรรมชาติ ที่มันดำรงอยู่อย่างเป็นเอกภาพและดุลยภาพ บนความสัมพันธภาพระหว่าง ด้านเอกภาพ กับด้านความแตกต่างหลากหลาย ดังนี้

1. สัมพันธภาพของกฎธรรมชาติ พระพุทธองค์ทรงเรียกสภาวะนี้ว่าสภาวะบรมธรรม หรือนิพพาน หรือ อสังขตธาตุ กับด้าน สังขตธาตุ เป็นธรรมฝ่ายปรุงแต่ง ได้แก่ สิ่งไม่มีชีวิต พวกแร่ธาตุต่างๆ และ สิ่งมีชีวิต อันมีความแตกต่างหลากหลาย ธรรมชาติมันดำรงอยู่อย่างดุลภาพอย่างนี้

2. สัมพันธภาพของชีวิต ชีวิตคนเรา หรือ รูป กับ นาม, กาย กับ จิต หรือที่เรียกว่า ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป 1 และนาม 4 ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรืออีกอย่างหนึ่งเรียกว่า จิต, เจตสิก, รูป, นิพพาน ก็ดำรงอยู่ระหว่างเอกภาพและความแตกต่างหลากหลาย แต่ที่เราผู้มิได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถึงที่สุด ก็เพราะเขายังยึดมั่นว่าขันธ์ 5 ว่าเป็นอัตตาตัวตน นั่นเอง โดยพบแต่ด้านความแตกต่างหลากหลาย อันเป็นสภาวะปรุงแต่งเพียงด้านเดียว จึงไม่มีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงว่าธรรมชาตินั้น ดำรงอยู่อย่างเอกภาพและดุลยภาพ

วันนี้เช่นเคย ขอนำท่านไปพิสูจน์สัจธรรม ความจริงที่ดำรงอยู่รอบตัวเรา รอบด้าน ที่ได้เสนอตั้งเป็นหลักไว้คือ “สัมพันธภาพระหว่างเอกภาพ กับ ความแตกต่างหลากหลาย” ว่ามีอะไรบ้าง ตั้งใจอ่านกันให้ดีเถอะ เพราะความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ เราสามารถนำไปแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้เป็นผลสำเร็จได้ พิจารณาได้ดังนี้

1. สัมพันธภาพระหว่างดาวฤกษ์ กับ ดาวเคราะห์ หรือดวงอาทิตย์ กับบริวาร ก็ตั้งอยู่บนสัมพันธภาพระหว่างเอกภาพ กับ ความแตกต่างหลากหลาย โดยมีดวงอาทิตย์เป็นด้านเอกภาพ หรือเป็นศูนย์กลางของดาวเคราะห์ อันเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

2. สัมพันธภาพของครอบครัว พ่อแม่ เป็นด้านเอกภาพ บุตรหลานเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย แม้แต่ลูกแฝด ก็ยังมีความแตกต่างหลากหลาย

3. ความสัมพันธภาพระหว่างครู กับนักเรียน ครูเป็นด้านเอกภาพ นักเรียนเป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย เราจะเห็นได้ว่า โดยหลักการแล้ว นักเรียนจะต้องตั้งใจฟังครู ขณะเดียวกันครู ก็ต้องสนใจนักเรียนทุกคน จึงจะเกิดผลไปในทางที่ดี แต่ถ้านักเรียนบางส่วนใจลอย มัวแต่พูดคุยกัน ไม่ได้ตั้งใจฟังครู ครูเองก็ไม่สนใจนักเรียน การเรียน การสอน ก็ไม่ได้ผล

4. สัมพันธภาพระหว่างผู้ใหญ่บ้าน กับ ครอบครัว ผู้ใหญ่บ้านเป็นด้านเอกภาพ ครอบครัวต่างๆ เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

5. สัมพันธภาพระหว่างตำบล กับ หมู่บ้าน ตำบลเป็นด้านเอกภาพ หมู่บ้านต่างๆ เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

6. สัมพันธภาพระหว่างอำเภอ กับ ตำบล ระหว่าง จังหวัด กับ อำเภอ และประเทศชาติ กับ จังหวัด ก็เป็นไปในลักษณะทำนองเดียวกัน

7. สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง กับ วิธีการปกครอง หรือระหว่างหลักการปกครอง กับ หมวด, มาตรา ต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ หลักการปกครองเป็นด้านเอกภาพ ส่วนวิธีการปกครองได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย

เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความสัมพันธภาพระหว่าง จุดมุ่งหมาย กับ หนทาง หรือมรรคา เป็นเรื่องประหลาดที่สุด อันว่าประเทศไทยเราตลอดระยะเวลา 76 ปี มีรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิมามากถึง 18 ฉบับ ซึ่งไม่เคยมีหลักการปกครอง หรือไม่มีระบอบฯ ซึ่งก็คือไม่มีจุดมุ่งหมายแม้แต่ฉบับเดียว นี่คือเหตุแห่งมิจฉาทิฐิ ที่ครอบงำทำลายชาติมายาวนาน

พูดง่ายๆ ว่า เรามีแต่หนทาง หรือมรรคา แต่ไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็หมายความได้ว่าเรามีแต่ด้านความแตกต่างหลากหลาย เพียงด้านเดียว จึงหาเอกภาพไม่ได้ จึงเป็นผลร้าย เกิดความขัดแย้งขึ้นในประเทศชาติอย่างต่อเนื่องเสมอมา รัฐธรรมนูญบ้านเราลอกเลียนแบบจากประเทศตะวันตก ขาดความเป็นแก่นแท้ของชาติ จึงมีแต่ความผิดพลาดอย่างซ้ำซากมายาวเกินไปแล้ว

อันตรายของประเทศ อยู่ที่ปัญหาพื้นฐานของประเทศที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานถึง 76 ปี และต่อไปอีกกี่ปี ประเทศไทยเราจัดสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง กับวิธีการปกครองยังไม่ถูกต้อง ต่อปัญหานี้นักวิชาการ นักการเมือง ใครที่คิดจะโต้แย้ง เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ผู้เขียนพร้อมที่จะทำความเข้าใจกับทุกๆ คน ด้วยสุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ

มีข้อสังเกตว่า บรมธรรม ธรรมาธิปไตยเป็นความดีสูงสุด พระพุทธเจ้าเป็นความดีสูงสุด สาวกต่างเคารพต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดเอกภาพ กับ สาวกอันมีความแตกต่างหลากหลาย ศาสนาดำรงอยู่ได้ 2551 ปีแล้ว แต่ถ้าด้านเอกภาพไม่ดี หรือไม่มี ด้านความแตกต่างหลากหลายก็จะพลอยเลวร้ายไปด้วย เช่น เมื่อ จิตโกรธ กาย วาจา ก็จะไม่ดีไปด้วย, ห้องเรียนไม่มีครู นักเรียนก็เหลวไหล, ดวงอาทิตย์พินาศ ดาวเคราะห์ก็พินาศด้วย, ระบอบการเมืองไทย ไม่มีหลักการปกครอง ก็ย่อมพินาศอย่างซ้ำซากนั่นเอง กลับมาสู่ความถูกต้องอันได้พิสูจน์แล้ว โดยพวกเราเจริญรอยตามพระปฐมบรมราชโอการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” หวังว่าพวกเราพสกนิกรทั้งหลาย จะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง เลิก ละทิ้งแนวทางมิจฉาทิฐิกันเสียที กลับมาสู่แก่นแท้ อันเป็นรากฐานที่แท้จริงของชาติ คือ หลักธรรมาธิปไตย 9 ที่ได้เสนอมาแล้วเป็นลำดับๆ

**************

(ติดต่อผู้เขียนโดยตรง ได้ที่อีเมลที่ถูกต้องคือ)

p_ariya_@hotmail.com

กำลังโหลดความคิดเห็น