xs
xsm
sm
md
lg

ฝรั่งยังเทขายหุ้นไทยดิ่ง โบรกฯลดน้ำหนักลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน- ต่างชาติยังเทขายหุ้นต่อเนื่องอีก 3.6 พันล้านบาท ด้าน "โกลด์แมนแซคส์" ปรับลดน้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทยจากเดิมลงทุนปานกลาง "ปกรณ์" เชื่อการเมืองไทยไม่น่ากังวล ชี้หากฝรั่งเข้าใจระบอบการปกครอง หันกลับเข้าลงทุน "ภัทรียา" ชี้ต่างชาติขายระยะสั้น ด้านบล.เอเซียพลัส ปรับลดเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เหลือ 901.68 จุด จากเดิม 1,051.96 จุด เหตุน้ำมันแพง ดันเงินเฟ้อ –ดอกเบี้ยขาขึ้น กดดันเศรษฐกิจ กำไร บจ.ลดลง

ภาวะการณ์ลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 มิ.ย.) ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปัจจัยลบรุมเร้านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ กดดัชนีตลาดหุ้นปิด 806.86 จุด ลดลง 3.36 จุด หรือลดลง 0.41% ปรับตัวสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 814.42 จุด ปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 803.52 จุด มูลค่าการซื้อขาย 21,611.19 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,688.63 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 334.41 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,354.22 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า จากปัจจัยทางการเมืองเรื่องการการชุมนุมประท้วงนั้นไม่อยากให้นักลงทุนกังวล เพราะ ว่าถือเป็นเรื่องธรรมดาของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายแตกต่างกันได้ และการแสดงความคิดเห็นนั้นมีหลายวิธี ตราบใดที่การแสดงออกไม่ผิดต่อกฎหมายและสันติโดยจะคลื่คลายในทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ จากการที่มีแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศออกมาต่อเนื่องส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงนั้น เพราะนักลงทุนยังไม่เข้าใจในเรื่องการปกครองของประเทศไทย โดยเชื่อว่าหากนักลงทุนมีความเข้าใจแล้วเชื่อว่าจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเหมือนที่ผ่านมา
"ไม่อยากให้นักลงทุนกังวลในเรื่องการชุมนุมประท้วง ซึ่งถือว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดาในการปกครองระบบประชาธิปไตยที่กลุ่มคนในประเทศสามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาการประท้วงก็ไม่ใช่ไม่เคยเกิด แต่เชื่อเหตุการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น " นายปกรณ์ กล่าว

***เชื่อต่างชาติขายระยะสั้น
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้ปรับตัวลดลง 4-5% จากสิ้นปี2550ที่858 จุด ซึ่งแรงขายของนักลงทุนต่างชาติประเมินว่าน่าจะเป็นระยะสั้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ต่างชาติจะขายสุทธิ แต่ในช่วงที่มีข่าวผลประกอบการไตรมาสแรกออกมาโตสูงถึง 30% นักลงทุนกลุ่มนี้ก็กลับเข้ามาซื้อ ส่วนกรณีการแทรกแซงของภาครัฐเรื่องค่าการกลั่นนั้น
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประทศก็ไม่อยากเห็นการแทรกแซงด้านนโยบาย แต่บางครั้งก็เข้าใจมุมมองของภาครัฐเห็นว่าจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือบางกลุ่มธุรกิจ เมื่อเป็นเช่นนี้ควรจะมีการอธิบายเหตุผลและวิธีการอย่างชัดเจน และมีกระบวนการที่โปร่งใส
"ส่วนตัวเชื่อว่าเมื่อมีแรงขายออกมาระยะหนึ่ง ค่าP/Eปรับตัวลดลงต่ำ ผลอตอบแทนจากเงินปันผลผลปรับตัวสูงขึ้น เชื่อว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนปกติ ซึ่งหากดูวันต่อวันในช่วงเปิดตลาดก็มีนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนแล้ว" นางภัทรียากล่าว
สำหรับดัชนีที่ปรับตัวลดลงมานั้นตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะมีการรับมือ เพราะตามแผนในเดือนมิถุนายนนี้ จะร่วมเดินทางไปกับเครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน เพื่อให้ข้อมูล(โรดโชว์) ในต่างประเทศที่สิงคโปร์ ลอนดอน และนิวยอร์ค โดยจะใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกับผู้ลงทุนต่างประเทศอีกที โดยเชื่อว่าสถานการณ์การเมืองจะเป็นเพียงเหตุการณ์ระยะสั้นคงจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น โดยรัฐบาลคงมีวิธีการดูแลปัญหาเรื่องนี้ เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

**ASPลดเป้าดัชนีปีนี้
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP กล่าวว่า บริษัทได้มีการปรับลดประมาณการดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ลดลงอยู่ที่ 901.68 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,051.96 จุด และปรับลดค่าP/E จาก 14 เท่า เหลือ 12เท่า เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคม 2551 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 7.6%สูงสุดในรอบ9 ปี จากแรงกดดันของราคาสินค้าทั้งในหมวดอาหารและที่ไม่ใช่หมวดอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนด้านน้ำมัน ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังต้นทุนการผลิตทุกภาคเศรษฐกิจ โดยพบว่าราคาน้ำมันดูใบได้ปรับตัวสูงขึ้น 50% จากสิ้นปี 2550 และสูงถึง 130%จากปี2549
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับสูงต่กไป คาดว่าเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือปี2551มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2 หลักใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่ 10.6%ในเดือนมิถุนายน 2541 การที่ต้นทุนน้ำมันปรับตัวสูงสุดรุนแรงนั้นได้กดดันเงินเฟ้อทั่วโลก และกดดันให้ผลตอบแทนสุทธิในตลาดเงินมีแนวโน้มติดลบผลักดันให้ธนาคารกลางหลายแห่งของโลกต้องหันมาใช้นโยบายเงินตึงตัวมากขึ้น
สำหรับประเทศไทยนั้นหากพิจารณาจากผลตอบแทนสุทธิ (RP-1วัน หลังหักเงินเฟ้อ)พบว่าติดลบสูงถึง 4.3% ถือว่าติดลบสูงมาก และเป็นการทำสถิติที่สูงสุดครั้งใหม่เช่นเดียวกับเงินเฟ้อ หากเทียบกับปี 2548 พบว่าติดลบเพียง 2.85% จากปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นสัญญาณยืนยันว่าดอกเบี้ยในประเทศกำลังเข้าสู่วงจรขาขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551 หลังจากที่คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.25%ติดต่อกัน 11 เดือน โดยคาดว่าดอกเบี้ยของไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.5%ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาน้ำมันสูงกดดันกำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มลดลง
ดังนั้น จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นและปัจจัยทางการเมืองคาดว่าจะกดดันให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมไม่สดใสเหมือนกับที่รัฐบาลได้มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งหากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในประเทศอย่างรวดเร็วนั้นมีความเป็นไปได้ที่อาจจะทำให้สำนักวิจัยทั้งของภาครัฐและเอกชนจะต้องมีการทบทวนตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจลง

**โกลด์แมนแซคส์ลดน้ำหนักหุ้นไทย
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลุยทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเนื่องจาก เนื่องจาก ปัจจัยลบหลายอย่างที่ส่งผลกระทบการลงทุน เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายภาคประชาชน อีกทั้งธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ทำให้ต้นทุนของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น และปัจจัยทางการเมือง รวมถึงการที่โกลด์แมนแซคส์แอนด์โค ลดคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทย จากปานกลาง เป็นลดน้ำหนักการลงทุน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4มิ.ย.)คาดว่าหากไม่มีปัจจัยลบใหม่เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 10-20 จุด เนื่องจากตลาดได้ซึมซับปัจจัยลบต่างๆพอสมควรแล้ว อีกทั้ง ผบ.ทบ.ได้ออกมาระบุจะไม่ใช้กำลังสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และยืนยันไม่มีปฎิวัติ โดยประเมินแนวรับที่ 800 จุด แนวต้านที่ระดับ 820 จุด
นางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีมิโก้ กล่าวว่า ในช่วงเปิดตลาดดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หลังจากนั้นมีแรงเทขายหุ้นออกมาต่อเนื่องทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จากการเมืองในประเทศที่จะยังไม่คลี่คลายในระยะสั้น อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่ม ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ธนาคารกรุงเทพ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว โดยจากดัชนีปรับลดลงมาอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้บริษัทอาจจะปรับลดเป้าหมายดัชนีปีนี้ลดลงจากเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1,000 จุด แต่ตัวเลขที่ชัดเจนต้องรอบทวิเคราะห์ของบริษัทก่อน
สำหรับ ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับลดลงได้ต่อ แต่อาจรีบาวน์กลับในบางช่วง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆโดยประเมินแนวรับที่ระดับ 800 จุด และแนวต้านที่ 820 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น