xs
xsm
sm
md
lg

นักธุรกิจหวังเหตุการณ์ไม่ยืดเยื้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – นักธุรกิจ นักบริหาร นักการเงิน แสดงความเห็นหลากหลาย กรณี พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาเคลื่อนไหว คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล “ประสาร” ชี้ ถ้าเหตุการณ์รุนแรงขึ้นกระทบเศรษฐกิจแน่ ส่วนบิ๊กใบโพธิ์ยันถ้าไม่มีปัจจัยอื่นแทรกคงไม่รุนแรง “ภัทรียา” มั่นใจคงไม่แรงเกินไป “พิพัฒ” ย้ำ คราวนี้พันธมิตรไม่วางมือง่ายๆแน่ ฟากเขยเจริญ ยอมรับ เหตุการณ์บั่นทอนความเชื่อมั่น

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณี การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ออกมาค้ดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลว่า ปัจจัยทางการเมืองในขณะนี้มีความร้อนแรงขึ้น ภายหลังจากที่มีม็อบออกมา โดยหากความขัดแย้งมีความรุนแรงขึ้น และคงจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะกระทบขนาดไหน ต้องดูว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

"จากที่ดูขณะนี้ความขัดแย้งเกิดมาจากที่ไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครฟังใคร เห็นได้จากการขว้างปาสิ่งของใส่กัน ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนไม่ชอบก็คือความรุนแรงและความไม่สงบ เพราะจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและดำเนินชีวิตในช่วงต่อๆไป"นายประสารกล่าว

สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงวานนี้ ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยเรื่องการเมือง แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากว่าการขึ้นลงของหุ้นมาจากหลายปัจจัย

นางกรรณิการ์ ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การชุมนุมทางการเมืองอาจไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นหากเป็นการชุมนุมในระยะสั้นๆ ซึ่งก็หวังว่าความขัดแย้งต่างๆคงจะได้จบลงได้โดยเร็ว และคงจะไม่มีผลกระทบมากหากไม่มีปัจจัยอื่นๆ แทรกแซง

กระทบความเชื่อมั่นระยะสั้น

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปัจจัยทางการเมืองในเรื่องการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรในการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ซึ่งตราบใดที่การชุมนุมไม่มีเหตุการณ์รุนแรงหรือมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเชื่อว่าไม่น่ากระทบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากนัก โดยหวังว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงและเชื่อจะมีการดูแลควบคุมเหตุการณ์ดังกล่าวได้

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเซียพลัส ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อบรรยากาศการในช่วงสั้นๆเท่านั้น ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงซึ่งที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาเป็นเรื่องธรรมดาที่ปรับฐานบ้าง

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในเรื่องการชุมนุมนั้น ก็จะต้องมีการติดตามว่าเหตุการณ์จะยืดเยื้อแค่ไหน และจะมีความรุนแรงหรือไม่ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวก็จะยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุน และเชื่อว่าจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้รักษาความปลอดภัย คงจะมีการปรับแผนการรักษาความปลอดภัยไม่ให้ กลุ่มชุมนุมคัดค้าน และกลุ่มผู้สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาอยู่ใกล้กัน เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งหากมีการชุมนุมคนละจุดเชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ผลกระทบต่อจากการชุมนุมดังกล่าว สะท้อนให้เห็นแล้วจากบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากวานนี้ (26 พ.ค.) ซึ่งถ้าทุกคนยังยืนอยู่ภายใต้จุดยืนของตัวเองอยู่เช่นนี้ ก็เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนต่อไปอีก และหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เชื่อว่าจะลามต่อไปยังภาคเศรษฐกิจของประเทศด้วย

ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวน่าจะมีการหาทางออกที่เป็นความถูกต้องชอบธรรม อาจจะให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจด้วยการลงประชามติว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว แทนที่จะให้รัฐสภาเป็นผู้ตัดสินโดยใช้ข้ออ้างว่าได้รับการเลือกสรรและเป็นตัวแทนของประชาชนแล้ว ซึ่งหากผลออกมาว่าประชาชนต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญแล้ว ก็อาจจะใช้เวลาหลังจากนี้ไปอีก 1 ปีในการแก้ไข ไม่ใช่ทำทันที เพราะหากทำทันทีจะทำให้ทุกฝ่ายมองว่าเป็นการฟอกตัว ดังนั้น เรื่องนี้ควรทำให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด และในขณะที่เป็นรัฐบาลอยู่ ก็ใช้เวลามาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจของประเทศก่อน

สำหรับมุมมองต่างชาติเอง มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่างชาติเขาดูอยู่ แต่คงไม่กังวลมากนัก เนื่องจากการประท้วงเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ในประเทศอื่นๆ ก็มีเช่นกัน แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเช่นการปฏิวัติ แน่นอนว่าในสายตานักลงทุนต่างชาติเขารับไม่ได้แน่นอน

เครือสหพัฒน์ยันไม่กระทบความเชื่อมั่น

นายบุญฤทธิ์ มหามนตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า การรวมตัวของกลุ่มพันธมิตรในครั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากนัก แต่หากจะให้คาดเดาว่าเหตุการณ์จะบานปลายหรือไม่นั้นไม่สามารถตอบได้ อย่างไรมองว่าภาครัฐควรหันมาใส่ใจในเรื่องปากท้องประชาชนให้มากขึ้น เพราะเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข ส่วนในแง่ประชาชนในเวลานี้ผมเชื่อว่าเขาต้องการให้ใส่ใจในเรื่องของความเป็นอยู่ ค่าครองชีพมากกว่าจะมาใส่ใจด้านการเมือง

“พิพัฒ”ระบุพันธมิตรฯ ไม่วางมือง่ายๆ

นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า เปิดเผยว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้คงไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภค แต่หากเป็นนักลงทุนจากต่างประเทศอาจจะมีผลกระทบบ้าง ซึ่งวานนี้ (26 พค.51) เปิดมาตลาดหุ้นก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามมองสถานการณ์แล้วคิดว่าพันธมิตรคงจะยุติในช่วงหนึ่ง และคาดว่าพันธมิตรคงจะไม่ยอมวางมือง่ายๆ เพราะครั้งนี้เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ แต่ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของตัวบุคคล ผมว่ารัฐควรใส่ใจปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชน หันมาแก้ปัญหาราคาสินค้าและต้นทุนวัตถุดิบแทนการแก้รัฐธรรมนูญ

นายนิทัศน์ ตั้งแสงประทีป ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและวางแผน บริษัท สิทธินันท์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วุ้นเส้น ต้นสน กล่าวว่า จากสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่เกิดขึ้นครั้งนี้ น่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น มองว่าจะไม่เลวร้ายหรือรุนแรงกับการชุมนุมในครั้งที่ผ่านมาๆ คิดว่าจะไม่เกิดเหตุบานปลายขึ้น คิดว่าน่าจะมีจุดที่ทั้งสองฝ่ายจะสามารถคุยกันได้

ทั้งนี้ทางฝั่งของผู้ประกอบการ มองว่ายังคงวางตัวเป็นกลาง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว และในแง่ทางการดำเนินธุรกิจแล้ว ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไร หากเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ไม่ได้มีการส่งออกไปยังต่างประเทศมากนัก จึงไม่กังวลว่าจะกระทบกับเรื่องของการส่งออกหรือ ทั้งนี้เชื่อว่าในส่วนของการส่งออกเอง สำหรับธุรกิจอื่นๆเชื่อว่า ต่างชาติก็น่าจะเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ในแง่ของตลาดหลักทรัพย์แล้ว อาจจะมีผลกระทบบ้างเล็กน้อย

“หากสถานการณ์ยังคงมีการชุมนุมขึ้นต่อไป คาดว่าน่าจะมีใครสักคนออกมาเพื่อพูดให้แง่คิดสำหรับทั้งสองฝ่ายว่าควรจะหาข้อตกลงร่วมกันได้อย่างไร เพื่อไม่ให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน ทั้งนี้มองว่าสื่อเองก็มีส่วนสำคัญ จึงอยากจะให้นำเสนอข่าวแบบไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้” นายนิทัศน์กล่าว

เขย "เจริญ" ยอมรับการเมืองหลอน

นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีซีแคปปิตอล แลนด์ จำกัด ธุรกิจในเครือกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เปิดเผยว่า การเมืองและเศรษฐกิจในขณะนี้มีผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจริง ราคาน้ำมันเป็นปัญหาหลัก แม้ต้นปีความเชื่อมั่นด้านการเมืองจะกลับมา แต่ปัญหาการเมืองในช่วงเดือนนี้ กลับบั่นทอนความเชื่อมั่นอีกครั้ง โดยส่งผลกระทบมาถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และความเชื่อมั่นของการลงทุนในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การซื้อขายที่ดินในบางทำเลชะลอตัว และไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้

ส่วนทิศทางตลาดอสังหาฯนับจากนี้ไป การเมืองยังเป็นปัจจัยลบที่สำคัญอยู่ ปัญหาราคาน้ำมันก็ยังมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นต่อ ถึงแม้มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลจะถูกนำไปใช้ แต่ก็ช่วยได้เพียงกระตุ้นให้คนที่มีความต้องการซื้อบ้านอยู่แล้วตัดสินใจเร็วขึ้น แต่สำหรับคนที่ไม่มีความพร้อมมาตรการนี้ยังช่วยสนับสนุนได้ไม่มากนัก ผู้ประกอบการที่จะสามารถผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก จะต้องใช้ความชำนาญในตลาดที่ตัวเองมีอยู่ และจะต้องสามารถวิเคราะห์ความต้องการตลาดที่มีจำกัดได้อย่างแม่นยำ และทำสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการในช่วงนี้ จึงจะอยู่รอดได้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของบริษัท ทีซีซี แคปปิตอล แลนด์ ก็ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยลบในช่วงนี้มาแล้ว ทำให้พิถีพิถันการคัดเลือกทำเลที่มีศักยภาพจริงเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยง โดยเราประเมินว่า ผู้ประกอบการที่เน้นการสร้างคอนโดมิเนียมเป็นหลัก จะสามารถพลิกวิกฤตราคาน้ำมันในช่วงนี้ให้เป็นโอกาสได้ เพราะการที่แนวโน้มราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคจะหันมาให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้ามากขึ้น

สอดคล้องกับมุมมองของนายอธิป พีชานนท์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมอาคารชุดไทย ที่ยอมรับว่า ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่เศรษฐกิจของประเทศค่อนข้างขยายตัวยาก เนื่องจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบมีหลายปัจจัย ทั้งเรื่องราคาน้ำมัน ปัจจัยเงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบจาการาคาน้ำมัน และปัจจัยลบทางด้านการเมือง ซึ่งแนวโน้มปีนี้ยังไม่นิ่ง และอาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ปัจจัยต่างๆดังกล่าวจะกระทบต่อการขยายการลงทุนทั้งในประเทศและนักลงทุนภายนอกประเทศ เพราะขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและการเมือง และในขณะเดียวกันก็จะส่งผลต่อผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งเกิดความกังวลจากผลกระทบต่างๆ ทำให้ชะลอการตัดสินใจลงทุนและการใช้จ่าย ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศมีสภาพคล้ายกับปี2550 ที่ผ่านมา

สำหรับในส่วนของลงทุนต่างชาติที่มองสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจในประเทศปีนี้ คาดว่าจะชะลอการลงทุนไม่กล้าเข้ามาในประเทศ และอาจจะปรับแผนไปลงทุนไปยังประเทศข้างเคียง เช่น จีน เวียดนาม และมาเลเซีย เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนกลุ่มนี้มีทางเลือกมากกว่านักลงทุนในประเทศที่จะต้องดำเนินธุรกิจต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการขยายตัวทางธุรกิจ

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า การชุมนุมประท้วงรัฐบาล ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเข้าไปอีก อย่างไรก็ตาม ปัญหาการชุมนุมประท้วงก็เป็นเรื่องเดิมๆ เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อผู้กู้เงินซื้อบ้าน แต่จะกระทบต่อตลาดหุ้นมากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น