กระบี่ - ภาคเอกชนกระบี่ ชี้ การรวมตัวของพันธมิตรฯเป็นการจี้ต่อมใต้สำนึกให้รัฐบาลทำงาน ไม่ใช่หวังแต่มุ่งแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด หากชุมนุมยืดยื้อจะส่งผลเสียภาคการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและอาจจะเป็นเงื่อนไขไปสูการปฏิวัติ
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลและร่วมลงชื่อขอให้ถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.บางคนที่ลงนามเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพุทธศักราช 2550 ว่า การที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมคัดค้านรัฐบาลกรณีดังกล่าวเป็นการบ่งบอกให้รัฐบาลได้รับรู้ว่าการกระทำของรัฐบาลวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ไม่ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างแท้จริง ตามนโยบายที่ได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่าจะทำเพื่อตัวเอง เพราะเท่าที่ติดตามการลงชื่อ ของ ส.ส.และ ส.ว.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 50 ล้วนเพื่อพรรคการเมืองของตัวเอง
ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า หากว่าการชุมคัดค้านรัฐบาลของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีความยืดยื้อ และเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้น ก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ไม่กล้าเข้ามาลงทุน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์จะสงบสุข เร็ว หรือช้านานแค่ไหน ซึ่งนอกจากจะกระทบกับนักลงทุนแล้วก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศด้วย หากการชุมนุมยืดยื้อและเกิดความรุนแรง เพราะถือว่าการชุมนุมเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและละเอียดอ่อน
จึงฝากให้รัฐบาลช่วยดูแลอย่าให้เกิดความรุนแรงขึ้น และว่าวันนี้ประชาชนเริ่มเข้าใจบ้านเมืองมากขึ้น รัฐบาลจะปิดหูปิดตาประชาชนไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งการออกมาชุมนุมของประชาชนเป็นตัวชี้วัดรัฐบาลได้อย่างดี
ด้าน นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า ตามที่ได้ติดตามข่าวการออกมาชุมนุมประท้วง ของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็มีการประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลที่พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็สามารถทำได้ตามกฎหมาย
แต่ที่น่าคิด ก็คือ เมื่อมีกลุ่มพันธมิตรฯออกมาชุมนุมคัดค้าน ก็ยังมีกลุ่มที่เห็นด้วยกับรัฐบาล พยายามทำร้ายกลุ่มพันธมิตร และยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งมองแล้วเหมือนกับว่าพยายามให้เกิดความรุนแรง และเกิดความจลาจล เพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่การปฎิวัติในที่สุด ซึ่งจะมีใครหนุนหลังกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดหรือไม่ ไม่อาจทราบได้
ประธานคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า หากว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 กลุ่ม ยังเกิดปะทะ และใช้กำลังทำร้ายกันกันอย่างนี้ เป็นการต้องการเอาชนะกันด้วยกำลัง ซึ่งทางที่ดี ผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะจัดให้กลุ่ม 2 กลุ่มนี้อยู่กันห่างๆ ไว้จะดีกว่า เพราะดูแล้วอีกกลุ่มมีแต่จะยั่วยุ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดผลดีกับใคร และว่าหากความรุนแรงเกิดขึ้นไปมากกว่านี้ ผลเสียก็จะเกิดกับประเทศไทย คนที่แพ้ก้คือคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่กลุ่ม 2 กลุ่ม 2 กลุ่มนี้ และว่า การชุมนุมยืดยื้อไม่น่ากลัวเท่ากับการแตกหัก จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มชุมนุมทั้ง 2 ด้วย อย่าให้ความสำคัญเพียงกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด และใครทำผิดก็ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลและร่วมลงชื่อขอให้ถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.บางคนที่ลงนามเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพุทธศักราช 2550 ว่า การที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมคัดค้านรัฐบาลกรณีดังกล่าวเป็นการบ่งบอกให้รัฐบาลได้รับรู้ว่าการกระทำของรัฐบาลวันนี้ไม่ได้ทำเพื่อประชาชน ไม่ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างแท้จริง ตามนโยบายที่ได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่าจะทำเพื่อตัวเอง เพราะเท่าที่ติดตามการลงชื่อ ของ ส.ส.และ ส.ว.แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 50 ล้วนเพื่อพรรคการเมืองของตัวเอง
ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า หากว่าการชุมคัดค้านรัฐบาลของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีความยืดยื้อ และเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้น ก็จะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ไม่กล้าเข้ามาลงทุน เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์จะสงบสุข เร็ว หรือช้านานแค่ไหน ซึ่งนอกจากจะกระทบกับนักลงทุนแล้วก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศด้วย หากการชุมนุมยืดยื้อและเกิดความรุนแรง เพราะถือว่าการชุมนุมเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและละเอียดอ่อน
จึงฝากให้รัฐบาลช่วยดูแลอย่าให้เกิดความรุนแรงขึ้น และว่าวันนี้ประชาชนเริ่มเข้าใจบ้านเมืองมากขึ้น รัฐบาลจะปิดหูปิดตาประชาชนไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งการออกมาชุมนุมของประชาชนเป็นตัวชี้วัดรัฐบาลได้อย่างดี
ด้าน นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า ตามที่ได้ติดตามข่าวการออกมาชุมนุมประท้วง ของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็มีการประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลที่พยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็สามารถทำได้ตามกฎหมาย
แต่ที่น่าคิด ก็คือ เมื่อมีกลุ่มพันธมิตรฯออกมาชุมนุมคัดค้าน ก็ยังมีกลุ่มที่เห็นด้วยกับรัฐบาล พยายามทำร้ายกลุ่มพันธมิตร และยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งมองแล้วเหมือนกับว่าพยายามให้เกิดความรุนแรง และเกิดความจลาจล เพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่การปฎิวัติในที่สุด ซึ่งจะมีใครหนุนหลังกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดหรือไม่ ไม่อาจทราบได้
ประธานคณะกรรมการหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวอีกว่า หากว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 กลุ่ม ยังเกิดปะทะ และใช้กำลังทำร้ายกันกันอย่างนี้ เป็นการต้องการเอาชนะกันด้วยกำลัง ซึ่งทางที่ดี ผู้ที่เกี่ยวข้องควรจะจัดให้กลุ่ม 2 กลุ่มนี้อยู่กันห่างๆ ไว้จะดีกว่า เพราะดูแล้วอีกกลุ่มมีแต่จะยั่วยุ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดผลดีกับใคร และว่าหากความรุนแรงเกิดขึ้นไปมากกว่านี้ ผลเสียก็จะเกิดกับประเทศไทย คนที่แพ้ก้คือคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่กลุ่ม 2 กลุ่ม 2 กลุ่มนี้ และว่า การชุมนุมยืดยื้อไม่น่ากลัวเท่ากับการแตกหัก จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มชุมนุมทั้ง 2 ด้วย อย่าให้ความสำคัญเพียงกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด และใครทำผิดก็ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด