พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ.ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมระบุว่าจะจำกัดสิทธิของสื่อรัฐในการ นำเสนอข่าวว่า สื่อมวลชนมีหน้าที่ในการเสนอข่าว ตนคิดว่าอย่างนั้น
“คงไม่มีใครมาบังคับอะไรน้องๆหรือสื่อมวลชนได้ สิ่งที่สื่อจะจัดส่งข่าวไปถึงประชาชน ถึงผู้ที่ได้รับข่าว ก็คงจะทำด้วยความหวังดีและความตั้งใจ ในสิ่งที่เป็นข่าว ซึ่งเป็นข้อจริงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมว่าคงไม่มีที่ไหน ที่จะมีใครมาบังคับสื่อได้”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการแทรกแซงการทำงานของสื่อ หรือไม่ ผบ.ทอ. กล่าวพร้อมหัวเราะว่า ตนไม่ทราบ แต่น้องๆ สื่อคงพิจารณาเองได้ว่า เป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถึงกระแสข่าวความเคลื่อนไหวของทหารช่วงนี้ เช่นข่าวที่ผู้นำเหล่าทัพไปพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษจนดูเหมือนจะมีนัยยะทางการเมือง ผบ.ทอ. กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีใครไปพบ อย่างวันก่อนมีข่าวว่าตนไปพบ แต่จริงๆไม่ได้ไปพบเพราะตนอยู่ภาคเหนือกลับมาเกือบ 21.00 น. อาจจะเป็นความคลาดเคลื่อน หรือเป็นการให้ข่าวของบางกลุ่มบางคนที่พยายามจะจับให้มีการเสี้ยมให้เกิดการกระพือข่าวขึ้นมาหรือเปล่าตนไม่ทราบ แต่บอกน้องๆ สื่อได้ว่า ตนไม่ได้พบพล.อ.เปรมและ ผบ.ทหารสูงสุดก็ไม่ได้ไปเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงนี้มีข่าวทหารเคลื่อนไหว จนรัฐบาลอาจจะเข้าใจผิดและหวาดระแวงทหาร พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า รัฐบาลโดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ท่านก็ไม่มีอะไร ท่านก็ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจทหารดี ถ้าจะมีอาจจะเป็นคนกลุ่มอื่นหรือเปล่าตนไม่ทราบ เพราะการปล่อยข่าวสามารถทำได้ทุกที่
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ากองทัพได้มีการวิเคราะห์หรือไม่ว่าทำไมข่าวลือทหารปฏิวัติถึงออกมามากในช่วงนี้ ผบ.ทอ.กล่าวว่า ก็มีการวิเคราะห์แต่ไม่อยากบอก ซึ่งส่วนหนึ่ง อาจจะมาจากการที่ช่วงนี้การเมืองมีความอ่อนไหวมาก เพราะว่าหลายๆ อย่างมันกระชับมาค่อนข้างเยอะ
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ว่าระหว่างนี้มีข่าวชนิดที่ว่าไม่เป็นมงคล ตนได้ไปกินข้าวกันระหว่าง 6 พรรคที่ภัตตาคารไพซาโน (วันที่ 7 พ.ค.)สงสารเจ้าของร้านมากคือแห่กันไปแน่นหนาแบบชนิดไม่น่าเชื่อ ไปกันแน่นหมด ขนาดข้างล่างกินไม่ได้ ต้องไปกินข้างบน และไปกินข้าวก็ตกลงกันเรียบร้อยว่าจะแบ่งปันกัน บอกว่ามาผูกมัดกันไว้เดี๋ยวยุ่ง รัฐบาลจะบริหารบ้านเมือง เพราะด่ากัน
“นู่นก็แพง ไอ้นี่ก็แพงยังจะแก้รัฐธรรมนูญ ผมก็บอกถ้าอย่างนั้นตกลงกันเสียว่า แก้รัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องของสภาฯ เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ เราอยู่ฝ่ายบริหาร ก็จะบริหารบ้านเมืองต่อไป เห็นพ้องต้องกันก็ตกลง แล้วให้สมาชิกเขาไปตกลงกันเอง ถ้าเขาพร้อมใจกันแก้ เขาก็แก้ ถ้าเขาไม่พร้อมใจ ก็แก้ไม่ได้ ก็เท่านั้น”
นายสมัคร กล่าวว่า คืนวันนั้นมีการปล่อยข่าว แม่ทัพนายกองเข้าไปอยู่ บ้านสี่เสาร์ ตี 1 ยังไม่ออกมา ทำข่าวจะเป็นจะตาย คือปลุกระดมกันไว้หมดข่าว นี่มันอะไรกันนักหนา คนนี้ก็ได้ฟังข่าว คนนี้ฟังข่าว รุ่งขึ้นตนก็กราบบังคมทูลฯ ขอเฝ้ารายงาน ทุก 3 เดือน ก็รับโปรดเกล้าฯ ให้เฝ้าฯ ออกข่าวไปแล้ว ตั้งแต่ตอนบ่าย จะโปรดเกล้าฯ ให้เฝ้าฯ ให้นายสมัครฯ ลาออก จะจัดการเรื่องจักรภพ เรื่องนี้ทั้งหลายทั้งปวง
“ผมเรียนไว้ตรงนี้ต้องใช้โอกาสนี้รายงานไว้ครับ มีคนปลุกปั่นเรื่องนี้ครับ ถามว่าใคร บอกได้ไหม บอกได้ครับ ไอ้หัวเถิกที่ผมบอกไว้นั่นละครับ ไอ้คนนี้ละครับ เอาข่าวออกมาแล้วปลุกปั่น เรียกคนโน้นไปพบเรียกคนนี้ไปพบ ตำรวจยังโดนเรียก ไปพบเลยครับ ตำรวจ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งให้พบ ให้คนโน้นคนนี้ไปพบ ไอ้หัวเถิกเป็นคนจัดการ”
นายสมัคร กล่าวว่าความเชยนี่ล่ะ ต้องเล่าให้ฟังไว้เลย ไม่รู้เลยว่าท่านเจ้าคณะรองวัดยานนาวา ท่านกับตนเองรู้จักกันมา และตนรู้จักท่านมาตั้งแต่ปี 2519 ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ตอนนั้นตนแวะไปที่ชิคาโก เมืองที่เคยเรียนหนังสือ ท่านขอร้องให้ช่วยทำเรื่อง 32 ปี ตนกับท่านเจ้าคุณ ท่านก็เป็นเจ้าคุณสามัญ เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นเจ้าคณะรอง แปลว่าอีกขั้นหนึ่งก็ขึ้นเป็นสมเด็จ คุ้นเคยกับท่านมา 32 ปี
“ไอ้หัวเถิกไปพูดกับท่านทำนองว่า ท่านเจ้าคุณ นายสมัครมาติดต่อจะปฏิสัมพันธ์ด้วย จะทำให้ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณจะขึ้นไปทางโน้นทางนี้ ให้ท่านเจ้าคุณระวังตัว ถ้าไม่เกิดอย่างนี้ ผมไม่กล้าเอามาพูดหรอกครับ เจ้าคนนี้ละครับแส่หมดเลยครับ นี่ละครับผมออกชื่อไว้ถ้าใครจะเดือดร้อนว่าใครจะหัวเถิกก็เอากันเถอะ คนนี้ละครับ ที่เสียหายทุกวันนี้ที่เป็นข่าว ที่ใครบอกว่าอย่าดึงฟ้าต่ำ ไอ้นี่ละครับดึงละครับ ปั่นป่วนไปหมด บ้านเมืองเรียบร้อยดี ไม่ว่าดี ล่อเข้าไปหมด ผมต้องพูดเอาไว้เลยให้มันรู้ว่าเป็นอะไรอย่างไร มันอะไรกันนักหนา คนรู้จักกันมายังกล่าวหาว่าจะเป็นตะพาน จะเข้าไปโน่น ไปเอาตรงนี้เพื่อจะไปตรงโน้น ไปกล่าวหาคนโน้นคนนี้ ผลประโยชน์ไปขัดกัน เรื่องรายการทางโน้นทางนี้ ฟัดทันทีเลยครับ จักรภพ เพ็ญแข โดนเลย”
นายสมัคร กล่าวว่า ตนจะให้ตำรวจเขาสอบให้จบเสียให้รู้แล้วรู้รอด กล่าวหาเลย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตนจะได้บอกตำรวจเขาเลย บอกคุณไปจัดการดำเนินการให้จบ ส่งอัยการว่าเขาว่าอย่างไร เป็นอย่างไร
“โดนเผากันหมดเลยครับ สุดท้ายที่ผมบอกคราวที่แล้วครับ ผมยังไม่นั่นหรอกครับ ต้องให้รู้เลยว่าคนอย่างนี้ที่เป็นคนทำลายสถาบัน คนทำสถาบันเสียหาย เอาคนโน้นไปขู่คนนั้น เอาคนนี้ไปขู่คนนั้นพูด โดนไป”
ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่นายจักรภพ เตรียมสั่งห้ามสื่อภาครัฐนำเสนอข่าวการปฎิวัติว่า เบื้องต้นคิดว่าสื่อของรัฐ หรือของเอกชนรายใดจะสนับสนุนหรือ เชียร์การปฏิวัติ ตนคิดว่าสื่อมวลชนย่อมรู้ดีว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อการปกครองในระบอบ แต่การที่นายจักรภพ จะออกระเบียบหรือนโยบายเพื่อจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อนายจักรภพ ต้องระวังเพราะถือว่า เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิ์สื่อในการนำเสนอข่าว และที่สำคัญ แทนที่นายจักรภพจะออกระเบียบกำหนดการทำงานของสื่อควรที่จะเฝ้าจับตาสื่อของรัฐ ที่ทำหน้าที่ในการเสนอข่าวทำนองจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงดีกว่า
“รัฐมนตรี จักรภพ คงเข้าใจไปว่า การนำเสนอข่าวปฏิวัตินั้นสื่อเป็นต้นเหตุ หากจะไล่เรียงดูจริงๆ แล้วต้นเหตุนั้นมาจาก นายกรัฐมนตรีเองที่ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวก่อนในการประชุมคณะรัฐมนตรี และบอกด้วยว่ามีกระบวนการอย่างไร ดังนั้นหากคุณจักรภพต้องการไม่ให้สื่อนำเสนอข่าวปฏิวัติ คงต้องไปบอกนายกรัฐมนตรีว่า อย่าพูดเรื่องปฏิวัติอีก”
“คงไม่มีใครมาบังคับอะไรน้องๆหรือสื่อมวลชนได้ สิ่งที่สื่อจะจัดส่งข่าวไปถึงประชาชน ถึงผู้ที่ได้รับข่าว ก็คงจะทำด้วยความหวังดีและความตั้งใจ ในสิ่งที่เป็นข่าว ซึ่งเป็นข้อจริงอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมว่าคงไม่มีที่ไหน ที่จะมีใครมาบังคับสื่อได้”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการแทรกแซงการทำงานของสื่อ หรือไม่ ผบ.ทอ. กล่าวพร้อมหัวเราะว่า ตนไม่ทราบ แต่น้องๆ สื่อคงพิจารณาเองได้ว่า เป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถึงกระแสข่าวความเคลื่อนไหวของทหารช่วงนี้ เช่นข่าวที่ผู้นำเหล่าทัพไปพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษจนดูเหมือนจะมีนัยยะทางการเมือง ผบ.ทอ. กล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีใครไปพบ อย่างวันก่อนมีข่าวว่าตนไปพบ แต่จริงๆไม่ได้ไปพบเพราะตนอยู่ภาคเหนือกลับมาเกือบ 21.00 น. อาจจะเป็นความคลาดเคลื่อน หรือเป็นการให้ข่าวของบางกลุ่มบางคนที่พยายามจะจับให้มีการเสี้ยมให้เกิดการกระพือข่าวขึ้นมาหรือเปล่าตนไม่ทราบ แต่บอกน้องๆ สื่อได้ว่า ตนไม่ได้พบพล.อ.เปรมและ ผบ.ทหารสูงสุดก็ไม่ได้ไปเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่าช่วงนี้มีข่าวทหารเคลื่อนไหว จนรัฐบาลอาจจะเข้าใจผิดและหวาดระแวงทหาร พล.อ.อ.ชลิต กล่าวว่า รัฐบาลโดยเฉพาะนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ท่านก็ไม่มีอะไร ท่านก็ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจทหารดี ถ้าจะมีอาจจะเป็นคนกลุ่มอื่นหรือเปล่าตนไม่ทราบ เพราะการปล่อยข่าวสามารถทำได้ทุกที่
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ากองทัพได้มีการวิเคราะห์หรือไม่ว่าทำไมข่าวลือทหารปฏิวัติถึงออกมามากในช่วงนี้ ผบ.ทอ.กล่าวว่า ก็มีการวิเคราะห์แต่ไม่อยากบอก ซึ่งส่วนหนึ่ง อาจจะมาจากการที่ช่วงนี้การเมืองมีความอ่อนไหวมาก เพราะว่าหลายๆ อย่างมันกระชับมาค่อนข้างเยอะ
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ว่าระหว่างนี้มีข่าวชนิดที่ว่าไม่เป็นมงคล ตนได้ไปกินข้าวกันระหว่าง 6 พรรคที่ภัตตาคารไพซาโน (วันที่ 7 พ.ค.)สงสารเจ้าของร้านมากคือแห่กันไปแน่นหนาแบบชนิดไม่น่าเชื่อ ไปกันแน่นหมด ขนาดข้างล่างกินไม่ได้ ต้องไปกินข้างบน และไปกินข้าวก็ตกลงกันเรียบร้อยว่าจะแบ่งปันกัน บอกว่ามาผูกมัดกันไว้เดี๋ยวยุ่ง รัฐบาลจะบริหารบ้านเมือง เพราะด่ากัน
“นู่นก็แพง ไอ้นี่ก็แพงยังจะแก้รัฐธรรมนูญ ผมก็บอกถ้าอย่างนั้นตกลงกันเสียว่า แก้รัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องของสภาฯ เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ เราอยู่ฝ่ายบริหาร ก็จะบริหารบ้านเมืองต่อไป เห็นพ้องต้องกันก็ตกลง แล้วให้สมาชิกเขาไปตกลงกันเอง ถ้าเขาพร้อมใจกันแก้ เขาก็แก้ ถ้าเขาไม่พร้อมใจ ก็แก้ไม่ได้ ก็เท่านั้น”
นายสมัคร กล่าวว่า คืนวันนั้นมีการปล่อยข่าว แม่ทัพนายกองเข้าไปอยู่ บ้านสี่เสาร์ ตี 1 ยังไม่ออกมา ทำข่าวจะเป็นจะตาย คือปลุกระดมกันไว้หมดข่าว นี่มันอะไรกันนักหนา คนนี้ก็ได้ฟังข่าว คนนี้ฟังข่าว รุ่งขึ้นตนก็กราบบังคมทูลฯ ขอเฝ้ารายงาน ทุก 3 เดือน ก็รับโปรดเกล้าฯ ให้เฝ้าฯ ออกข่าวไปแล้ว ตั้งแต่ตอนบ่าย จะโปรดเกล้าฯ ให้เฝ้าฯ ให้นายสมัครฯ ลาออก จะจัดการเรื่องจักรภพ เรื่องนี้ทั้งหลายทั้งปวง
“ผมเรียนไว้ตรงนี้ต้องใช้โอกาสนี้รายงานไว้ครับ มีคนปลุกปั่นเรื่องนี้ครับ ถามว่าใคร บอกได้ไหม บอกได้ครับ ไอ้หัวเถิกที่ผมบอกไว้นั่นละครับ ไอ้คนนี้ละครับ เอาข่าวออกมาแล้วปลุกปั่น เรียกคนโน้นไปพบเรียกคนนี้ไปพบ ตำรวจยังโดนเรียก ไปพบเลยครับ ตำรวจ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งให้พบ ให้คนโน้นคนนี้ไปพบ ไอ้หัวเถิกเป็นคนจัดการ”
นายสมัคร กล่าวว่าความเชยนี่ล่ะ ต้องเล่าให้ฟังไว้เลย ไม่รู้เลยว่าท่านเจ้าคณะรองวัดยานนาวา ท่านกับตนเองรู้จักกันมา และตนรู้จักท่านมาตั้งแต่ปี 2519 ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ตอนนั้นตนแวะไปที่ชิคาโก เมืองที่เคยเรียนหนังสือ ท่านขอร้องให้ช่วยทำเรื่อง 32 ปี ตนกับท่านเจ้าคุณ ท่านก็เป็นเจ้าคุณสามัญ เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นเจ้าคณะรอง แปลว่าอีกขั้นหนึ่งก็ขึ้นเป็นสมเด็จ คุ้นเคยกับท่านมา 32 ปี
“ไอ้หัวเถิกไปพูดกับท่านทำนองว่า ท่านเจ้าคุณ นายสมัครมาติดต่อจะปฏิสัมพันธ์ด้วย จะทำให้ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณจะขึ้นไปทางโน้นทางนี้ ให้ท่านเจ้าคุณระวังตัว ถ้าไม่เกิดอย่างนี้ ผมไม่กล้าเอามาพูดหรอกครับ เจ้าคนนี้ละครับแส่หมดเลยครับ นี่ละครับผมออกชื่อไว้ถ้าใครจะเดือดร้อนว่าใครจะหัวเถิกก็เอากันเถอะ คนนี้ละครับ ที่เสียหายทุกวันนี้ที่เป็นข่าว ที่ใครบอกว่าอย่าดึงฟ้าต่ำ ไอ้นี่ละครับดึงละครับ ปั่นป่วนไปหมด บ้านเมืองเรียบร้อยดี ไม่ว่าดี ล่อเข้าไปหมด ผมต้องพูดเอาไว้เลยให้มันรู้ว่าเป็นอะไรอย่างไร มันอะไรกันนักหนา คนรู้จักกันมายังกล่าวหาว่าจะเป็นตะพาน จะเข้าไปโน่น ไปเอาตรงนี้เพื่อจะไปตรงโน้น ไปกล่าวหาคนโน้นคนนี้ ผลประโยชน์ไปขัดกัน เรื่องรายการทางโน้นทางนี้ ฟัดทันทีเลยครับ จักรภพ เพ็ญแข โดนเลย”
นายสมัคร กล่าวว่า ตนจะให้ตำรวจเขาสอบให้จบเสียให้รู้แล้วรู้รอด กล่าวหาเลย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตนจะได้บอกตำรวจเขาเลย บอกคุณไปจัดการดำเนินการให้จบ ส่งอัยการว่าเขาว่าอย่างไร เป็นอย่างไร
“โดนเผากันหมดเลยครับ สุดท้ายที่ผมบอกคราวที่แล้วครับ ผมยังไม่นั่นหรอกครับ ต้องให้รู้เลยว่าคนอย่างนี้ที่เป็นคนทำลายสถาบัน คนทำสถาบันเสียหาย เอาคนโน้นไปขู่คนนั้น เอาคนนี้ไปขู่คนนั้นพูด โดนไป”
ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่นายจักรภพ เตรียมสั่งห้ามสื่อภาครัฐนำเสนอข่าวการปฎิวัติว่า เบื้องต้นคิดว่าสื่อของรัฐ หรือของเอกชนรายใดจะสนับสนุนหรือ เชียร์การปฏิวัติ ตนคิดว่าสื่อมวลชนย่อมรู้ดีว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อการปกครองในระบอบ แต่การที่นายจักรภพ จะออกระเบียบหรือนโยบายเพื่อจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อนายจักรภพ ต้องระวังเพราะถือว่า เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิ์สื่อในการนำเสนอข่าว และที่สำคัญ แทนที่นายจักรภพจะออกระเบียบกำหนดการทำงานของสื่อควรที่จะเฝ้าจับตาสื่อของรัฐ ที่ทำหน้าที่ในการเสนอข่าวทำนองจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงดีกว่า
“รัฐมนตรี จักรภพ คงเข้าใจไปว่า การนำเสนอข่าวปฏิวัตินั้นสื่อเป็นต้นเหตุ หากจะไล่เรียงดูจริงๆ แล้วต้นเหตุนั้นมาจาก นายกรัฐมนตรีเองที่ออกมาพูดถึงเรื่องดังกล่าวก่อนในการประชุมคณะรัฐมนตรี และบอกด้วยว่ามีกระบวนการอย่างไร ดังนั้นหากคุณจักรภพต้องการไม่ให้สื่อนำเสนอข่าวปฏิวัติ คงต้องไปบอกนายกรัฐมนตรีว่า อย่าพูดเรื่องปฏิวัติอีก”