กระบี่ –นักลงทุนยังพาเหรดผุดโรงแรม รีสอร์ตทั่วแหล่งท่องเที่ยวในกระบี่ ทั้งอ่าวนาง หาดคลองม่วงและเกาะลันตา คาดโลว์ซีซันห้องพักเพิ่มอีก 500-2,000 ห้อง ส่งผลราคาที่ดินที่อยู่ติดริมทะเลราคาสูงลิ่วถึงไร่ละ 30 ล้านบาท ห่างทะเลไร่ละ 10 ล้านบาท
นายวัฒนา ธนาศักดิ์เจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดกระบี่ เปิดเผยถึงเศรษฐกิจและการลงทุนของจังหวัดกระบี่ ในปี 2551 ว่า โดยภาพรวมเศรษฐกิจของจังหวัดกระบี่ ในช่วงปี 2551 ในช่วงต้นปี ปัจจัยของน้ำมันที่ไม่แพงจนเกินไป ประกอบกับการท่องเที่ยวของกระบี่ได้รับความสนใจและผลผลิตภาคการเกษตร ทั้งปาล์มน้ำมัน และยางพารา มีราคาสูงขึ้น จึงทำให้ช่วงต้นปีเศรษฐกิจของกระบี่ค่อนข้างจะสดใส และราบรื่น
เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงกลางปี ปัญหาน้ำมันเริ่มมีปัญหา เนื่องจากสูงขึ้นผิดความคาดหมาย จากที่มีการคาดการณ์กันไว้ จึงทำให้ภาวะเศรษฐกิจของกระบี่ถดถอยลงไปเล็กน้อย เนื่องจากค่าขนส่งที่แพงขึ้น และยังส่งผลไปถึง ด้านอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นเหล็กหรือปูน ราคาได้ขยับขึ้นเป็นรายวัน จึงทำให้มีการชะลอการก่อสร้าง ขณะที่ราคาอาหารและเครื่องดื่ม ราคาก็สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้เศรษฐกิจค่อนข้างจะฝืดในส่วนของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้วก็ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจกระบี่ยังมีการขยายตัว แต่ขยายตัวไปในทางลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คือในต้นปี 51 มีการขยายตัวเต็มที่ โดยหลังจากกลางปีเป็นต้นไปคิดว่าเศรษฐกิจของกระบี่ขยายตัวลดลง หลังจากที่น้ำมันสูงขึ้น ราคาสินค้าแพงขึ้นก็ทำให้การลงทุนชะลอตามไปด้วย เช่นจาก 10 เปอร์เซ็นต์อาจจะเหลือประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโดยรวมแล้วก็ยังถือว่าค่อนข้างดี เนื่องจากมีภาคการเกษตรที่แข็งแกร่งคอยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจทรุด
ประธานหอการค้าจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงภาคการลงทุนด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ ในปี 51 ว่า หากมองเพียงการลงทุนด้านการท่องเที่ยวภายในกระบี่เพียงด้านเดียว พบว่า ยังน่าลงทุนกว่าจังหวัดอื่น ด้วยศักยภาพพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังมีสูงมาก และนักท่องเที่ยวยอมจ่ายในราคาที่สูงกว่าด้วย จึงทำให้กระบี่ยังน่าลงทุนที่สุด แต่อย่าเปรียบกับกระบี่วันนี้กับที่ผ่านมาเพราะสถานการณ์ต่างๆได้เปลี่ยนไปแล้ว นักลงทุนจะต้องมีข้อมูลที่ลึกและการแข่งขันก็สูงมากด้วย
นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกระบี่เอง ในปี 52 ก็คาดว่าจะขยายตัวไม่สูงกว่าปี 51 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ากระบี่ ประมาณ 1.9 ล้านคน สร้างรายได้ให้แก่จังหวัดเกือบ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่นักท่องเที่ยวไม่ขยายตัวมากนัก เนื่องมาจากปัจจัยน้ำมันที่แพงขึ้น ทำให้ผู้จับจ่ายใช้สอยระวังตัวมากขึ้นไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ประธานหอฯยังกล่าวถึงราคาที่ดินที่มีราคาแพงในจังหวัดกระบี่ ว่า ในปัจจุบันราคาที่ดินได้ขยับตัวสูงมากจนน่าตกใจโดยเพิ่มจากปีที่ผ่านมาหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ หากมองในการลงทุนเปรียบเทียบบาทต่อบาทก็จะต้องนำเม็ดเงินไปใช้ในการซื้อที่ดินถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากราคายังขยับตัวสูงต่อเนื่องก็จะไม่เอื้อต่อการลงทุนมากนัก ซึ่งผู้เกี่ยวข้องจะต้องหามาตรการพยุงราคาที่ดินไม่ให้กระโดดสูงไปกว่าที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ ที่ดินบริเวณชายทะเลบางแห่งราคาขยับสูงเป็นไร่ละ 10 ล้าน ส่วนที่อยู่ห่างออกไปราคาก็เริ่มที่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และนอกจากนี้ในส่วนของผู้ประกอบการ ที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไรไม่ควรทำ ควรจะซื้อแล้วลงทุนทำธุรกิจจะดีกว่า ซึ่งจะไม่เสียหาย แต่หากว่าซื้อเพื่อเก็งกำไร ตนเชื่อว่าจะไม่มีกำไรแน่นอน เพราะราคาจะไม่กระโดดไปมากกว่านี้อีกแล้ว เนื่องจากราคาที่เป็นอยู่ก็สูงมากแล้ว
ขณะที่นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก กรรมการสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อดีตนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวถึงสถานการณ์ด้านการลงทุนภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ ว่า การลงทุนด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ ยังมีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนตลอดเวลา ทั้งในพื้นที่เกาะลันตา อ.เกาะลันตา หาดอ่าวนาง ต.อ่าวนาง หาดคลองม่วง ต.หนองทะเล อ.เมือง โดยคาดว่าในช่วงกรีนซีซัน(โลว์ซีซัน)จะมีห้องพัก จากเดิมประมาณ 13,000 ห้อง เพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 500-2,000 ห้อง เงินลงทุน ไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาท แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการขยายโครงการ และเป็นทุนในประเทศทั้งหมด
สำหรับทำเลทองที่นักลงทุนสนใจ มีทั้งเกาะลันตา อ่าวนาง และคลองม่วง เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว เดินทางเข้าไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ประกอบกับปัจจุบันนี้ ก็มีโรงแรมระดับ 5 ดาว เกิดขึ้นแล้วหลายราย ทำให้นักลงทุนมองว่าอย่างไรการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวก็คงจะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ก็ยังมีตัวเลขสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 50 ที่ผ่านมา ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ เกือบ 2 ล้านคน มีเงินสะพัดในกระบี่ เกือบ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งตรงนี้ก็เป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนยอมควักกระเป๋าสร้างโรงแรม ที่พักเพิ่มมากขึ้น
ที่ดินชายทะเลพุ่งไร่ละ10-30ล้าน
นายอิทธิฤทธิ์ ยังกล่าวถึงราคาที่ดินในแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นทำเลทอง อย่าง บริเวณหาดอ่าวนาง ที่ติดชายทะเล ว่า ราคาเริ่มต้นไร่ละไม่น้อยกว่า 30 ล้าน หากอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก ราคาก็ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ส่วนที่เกาะลันตา และหาดคลองม่วง ราคาที่ดินไร่ละไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก แต่ก็ยังมีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุน อาจจะเป็นด้วยเหตุที่ราคาที่ดินแพงเกินไปนี้เอง จึงมีทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนน้อย จะมีก็แต่นักลงทุนที่เป็นทุนไทย ซึ่งก็มีที่ดินอยู่ในบริเวณดังกล่าวอยู่ก่อนแล้วจึงกล้าลงทุน
ในส่วนแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ แม้แต่ เกาะพีพี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง ถึงแม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปมาก แต่การลงทุนในธุรกิจที่พักแทบจะไม่มีเลยในช่วงนี้