xs
xsm
sm
md
lg

จวก"หมัก"เลิกประชามติ สูญเงินเปล่า-แตกแยกหนัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (28 พ.ค.) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการ

อภิปรายทางวิชาการเรื่อง"วิเคราะห์ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550" จัดโดยศูนย์

ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีนักวิชาการเข้า

ร่วม ได้แก่ ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ รศ.ตระกูล มีชัย

อาจารย์คณะรัฐศาตร์ จุฬาฯ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่

ดร.เจษฎ์ โทณวนิก นักวิชาการอิสระ และ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา เป็นผู้ดำเนินรายการ

ศ.ดร.นันทวัฒน์ กล่าวว่า ตนวิตกกังวลในหลายประเด็น เพราะการแก้รัฐ

ธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ ขอย้อนเมื่อก่อนการปฏิวัติ ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงมี

ปัญหาทางการเมืองเยอะ กระแสแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มีเยอะ ครั้งหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิน

วัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยบอกจะให้มหาวิทยาลัย ยื่นข้อเสนอว่าจะแก้ประเด็นไหนได้

บ้าง รัฐธรรมนูญปี 2540 เห็นอยู่แล้วว่ามีปัญหาแน่ และยังรอให้มีการแก้ไขอยู่ และเมื่อ

มาดูรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ก็มีปัญหามากพอสมควร มีเสียงคัดค้านในหลายประเด็น แต่ที่

แปลกคือ เมื่อมีการลงประชามติรัฐธรรมนูญปี 50 แล้วเสียงของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็

เงียบไป
เมื่อมีการเลือกตั้ง มีพรรคเดียวที่หัวหน้าพรรคเสนอตั้งกรรมการขึ้นมาศึกษา

ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่พอจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ข้อเสนอนี้เงียบไปอีก ตนได้เคย

เสนอผ่านไปยังฝ่ายต่างๆว่า ควรมีคณะกรรมการขึ้นมาศึกษารัฐธรรมนูญปี 50

**แนะตั้งกก.ศึกษารธน.ก่อนแก้ไข
ศ.ดร.นันทวัฒน์ กล่าวว่า ตนคิดว่ารัฐบาลต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษา

เพราะหากมีคณะกรรมการขึ้นมาดู คงไม่เกิดกระแสคัดค้านรุนแรงขนาดนี้ รัฐบาลได้ตั้ง

เป้าหมายชัดเจนคือ จะแก้มาตรา 237 ก่อน ส่วนตัวเห็นด้วยในการแก้ไขทั้งฉบับ เพราะ

คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ที่รัฐธรรมนูญปี 50 สมบูรณ์ เพราะมีเวลาในการร่างที่จำกัด และอยู่

ในสภาวะที่เกิดการปฏิวัติด้วย
การจะแก้รัฐธรรมนูญ ต้องตัดการเมืองออก แก้โดยไม่มีใครเกี่ยวข้อง ตั้งแต่

มีการเขียนรัฐธรรมนูญมา เราลองแล้วทุกรูปแบบตั้งแต่ให้ทหารเขียน ทหารเลือกมาเขียน

หรือเอาคนนอกมาเขียน ไม่ว่าอย่างไหนเราก็เห็นแล้วว่า รัฐธรรมนูญมีปัญหาทุกรูปแบบ

แต่รูปแบบที่เป็นนักวิชาการแท้ๆ ยังไม่มี ตนยังคิดว่าถ้าผู้เขียนรัฐธรรมนูญเป็นนัก

วิชาการจริงๆ จะเป็นไปได้หรือไม่ ส่วนสภาจะไปรับแก้ไขต่อไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ศ.ดร.นันทวัฒน์ กล่าวต่อว่า ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องมีผู้นำที่มีทั้งความรู้

และบารมี วันนี้ยังไม่เห็นใครที่มีความเป็นผู้นำในการแก้รัฐธรรมนูญได้อย่างแท้จริง

ตอนต้นรัฐบาลบอกจะแก้ มาตรา 237 มาตราเดียว ซึ่งตนไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ถ้าแก้ทั้ง

ฉบับเห็นด้วย
ต่อมาจึงได้พ่วงมาตรา 309 เข้าไป แต่เมื่อมีการคัดค้านจึงเกิดการแก้ไขทั้ง

ฉบับในวันนี้
"หลังการเลือกตั้งน่าจุดประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ ฝ่ายที่ได้รับและไม่ได้รับ

เลือกตั้ง ก็โทษรัฐธรรมนูญทั้งหมด ทำไมได้รับเลือกตั้งมาแล้วไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้น

มาศึกษาทันที เพราะเมื่อไม่ตั้งขึ้นมาศึกษาอยู่ๆ จะมาแก้เลย เป็นเหตุให้สังคมยอมรับได้

ยาก ยกเว้นแต่ตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลาง และไม่ควรรีบเร่งในการแก้ไข เพราะจะมี

ปัญหาว่า รัฐธรรมนูญปี 51 ไม่ได้ดีไปกว่ารัฐธรรมนูญ ปี 50 เลย ที่เคยทำการศึกษามาว่า

รัฐธรรมนูญปี 40 มีปัญหา ทำไมเรายังวิ่งกลับไปหาอีก ทำไมไม่แก้รัฐธรรมนูญปี 40 ให้ดี

ให้ละเอียด เพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดและแท้จริงถาวร" ศ.

ดร.นันทวัฒน์กล่าว
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล กล่าวว่า คิดว่าการพูดถึงเรื่องนี้ในปัจจุบันมีความ

สำคัญ ตนจะไม่เติมเชื้อไฟให้เกิดความเกลียดชังมากขึ้น และเห็นว่าคนที่เห็นต่างไม่ใช่

คนที่ต้องฆ่ากัน เราควรคิดถึงทางออกของสังคมไทย เพราะตกอยู่กับความขัดแย้งมาพอ

สมควร ปฏิเสธไม่ได้ว่าการให้ความเห็นจะมีส่วนต่อการสนับสนุน หรือลดทอนฝ่ายที่

เคลื่อนไหวอยู่ขณะนี้
การเมืองกับวิชาการ บางครั้งก็แยกออกจากกันได้ ตนแยกออกเป็น 4 ประเด็น

คือ
1.มุมมองจาก 2 ขั้วต่อการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะคิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

มาจากจุดยืนทางการเมืองค่อนข้างสูง ขั้วแรกคือ พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ นัก

วิชาการบางส่วน กลุ่มนี้คิดว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นการยกเลิก แก้ไขเพราะมีความขัด

แย้งต่อผลประโยชน์ เช่น แก้บางมาตรา แก้ให้มีผลประโยชน์ได้เสีย หรือการแก้เพื่อให้

ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
ขั้วที่สองคือ พรรคพลังประชาชน นักวิชาการบางส่วน และกลุ่มแนวร่วม

ประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) โดยอ้างว่า ใช้สิทธิของส.ส.ในการแก้รัฐธรรมนูญ

ตามมาตร 291 ขจัดการสืบทอดอำนาจ ของคณะรัฐประหาร ขจัดการแทรกแซงของ

ระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งหมายถึงระบอบการปกครองแบบข้าราชการ เพื่อข้าราชการ

หรือ ระบบอุปถัมภ์
สังเกตุได้ว่า 2 ขั้วนี้ อยู่กันคนละโลก ต่างคนต่างมอง ตนเห็นว่าการแก้ไขรัฐ

ธรรมนูญ ถูกมองจากจุดยืนทางการเมืองมาก จึงทำให้คำอธิบายทางวิชาการบางครั้งเห็น

ว่าดีแล้ว แต่พอเข้าไปอยู่ทางการเมืองก็ถูกบิดเบือน
2. ตำแหน่งแทนที่ความขัดแย้งในครั้งนี้ มีความขัดแย้งสืบเนื่องมา ช่วง 3 ปี

หลังมี 5 เรื่องสำคัญ คือ 1.ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ปี 2548
2. ช่วงรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 3.การลงประชามติรับรัฐธรรมนูญ 4.การ

เลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.50 และ 5. การยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 51
นี่คือ 5 จุดสำคัญที่เป็นปมขัดแย้งทางการเมือง ที่มีผลสืบเนื่องกัน
3. สงครามตาบอดคลำช้าง เห็นต่างคือศัตรู เป็นเรื่องของคนตาบอด 2 กลุ่ม

ฝ่ายหนึ่งปิดตาบอกว่า รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เลวสุด เป็นเผด็จการทุนนิยม ทุนนิยม

สามานย์ ฝ่ายที่สองไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร เป็นเผด็จการ มองไม่เห็นด้านลบของ

รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีการแทรกแซงองค์กรอิสระ ปัจจุบันสังคมไทยอยู่ในสภาวะ

แบบนี้
4. พวก สองไม่เอา คือไม่เอาอะไรเลย มีข้อเสนอคือ เราเผชิญหน้าความขัด

แย้งที่เกิดขึ้นอย่างไร 1. ด้วยจำนวนมือข้างมากในสภา คือ พรรคพลังประชาชน ที่จะ

แก้ไขรัฐธรรมนูญ การคัดค้านเกิดขึ้นสูง เพราะคนไม่วางใจในการแก้ของพรรคพลัง

ประชาชน
2.แก้ด้วยจำนวนเท้านอกสภา คือ แบบพันธมิตรฯ การทำรัฐประหาร เป็น

การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้น้อยมาก หรือไม่แก้ปัญหาอะไรเลย และไม่สามารถนำสังคม

ไปสู่ความสมานฉันท์ ได้เลย

** ชี้ชัดแก้ไขเท่ากับล้มล้างรธน.
รศ.ตระกูล มีชัย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 50 ตนวิจารณ์ตลอดว่า บางเรื่องตน

เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่เมื่อดูร่างที่เสนอเข้าสู่สภา และพยายามติดตามจากสื่อก็ยังไม่

รู้วาประเด็นจริงๆ ที่ต้องการแก้คือ อะไร สิ่งที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี บอก

ให้ลงประชามติ เป็นทางออกจริงหรือ การตัดสินใจของประชาชน จะด้วยเหตุผลอะไรก็

ตาม ปัญหาคือ ใช่เหตุผลที่แท้จริงหรือ แล้วรัฐบาลจะนำมาแก้ไขหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนี้

ตนยืนยันได้เลยว่า ลงประชามติครั้งนี้รัฐบาลชนะแน่ แต่อยากถามว่า มันใช่ทางออก

แล้วหรือ หากสมมติว่า มีนักวิชาการทุกมหาวิทยาลัย ทำเป็นข้อเสนอมาให้รัฐบาลจะ

เอาหรือไม่ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบแก้ เพราะถ้าไม่แก้ใน 60 วัน ข้าวราคาจะตกหรือ น้ำมัน

จะถูกลง หรือเพราะกลัวคนที่อยู่เบื้องหลังจะมีปัญหา จะตีตนไปก่อนไข้ทำไม ไปคิดเอง

ว่าศาลจะตัดสินอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่รีบ ทุกคนถอยออกหมด สิ่งสำคัญคือ ใครจะเป็น

คนห้าม ที่ไม่ใช่การทำรัฐประหาร
"หากเราปล่อยให้ทุกฝ่ายชนกัน ก็จะเกิดเหตุการที่รุนแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์

พฤษภาทมิฬ แต่ปัญหาคือ กลุ่มพลังอื่นๆ คือ กลุ่มพลังทางปัญญา และกลุ่มพลังความคิด

เงียบหายไปหมดเลย หากหาทางออกไม่เจอ ก็ต้องปล่อยไปให้ชนกัน การเผชิญหน้าก็

จะขยายไปเรื่อย ๆ ก็แก้ไม่ได้ มันมืดบอดทางปัญญา และความคิดที่จะแก้ไข

สถานการณ์การเมืองไทย ดูจากสื่อมวลชนก็เห็นชัดว่า แบ่งเป็น 2 ทาง ผมพยายามหา

ทางที่ 3 คือ มีการตั้งคณะกรรมการศึกษา แต่เพราะมีเสียงตอบรับน้อย นี่คือปัญหา ผมดู

จากสาระในร่างแก้ไข เห็นว่าเนื้อหาที่เสนอมาไม่ใช่เป็นการแก้ไข แต่เป็นการล้มล้างรัฐ

ธรรมนูญ แต่เป็นการจองล้างจองผลาญกัน ของ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ทำรัฐประหาร ส่วน

อีกกลุ่มที่พยายามใช้เสียงในสภา ถ้าปล่อยให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบนี้ เรื่องก็ไม่จบ

หรือพันธมิตรฯ จะกดดันให้รัฐบาลลาออก เรื่องก็ไม่จบเช่นกัน" ร ศ.ตระกูล กล่าว

**ทำประชามติก็ไม่มีความหมาย
รศ.ตระกูล กล่าวว่า ปัญหาการเมืองกับการแก้รัฐธรรมนูญ น่าจะยุติได้ถ้ามี

กลุ่มทางปัญญาของไทยมาพูดคุยกันอย่างจริงจัง ไม่มีฝ่าย ไม่มีพวก หาทางออกทางการ

เมือง เสนอต่อสาธารณชนว่า มีทางออกอย่างนี้หรือจะรอให้ถึงจุดแตกหัก เพราะจะเกิด

การนองเลือด เราคงไม่อยากให้มีการเลือดตกยางออกกันอีก ประชาชนโดยทั่วไป ยัง

ขาดความรู้ความเข้าใจในรัฐธรรมนูญอยู่ ซึ่งกลุ่มทางปัญญาต้องรวมตัวกัน และเสนอ

ความคิดออกมา ให้สื่อมวลชนช่วยเผยแพร่เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
"ผมขอร้องคุณสมัคร เลิกความคิดการลงประชามติว่า จะแก้หรือไม่แก้รัฐ

ธรรมนูญ เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ถ้าจะแก้ แก้อะไร แก้ผ้าหรือ แก้ผ้ายังรู้ว่าแก้

อะไร แก้ตรงไหน เสียดายเงิน 2 พันล้าน ถ้าอยากจะใช้เงินจริงๆ เอามาให้ผู้มีปัญญาไม่

ใช่แต่นักวิชาการเท่านั้น ให้มาศึกษาและหาประเด็นที่ตกผลึก หาข้อยุติที่ยอมรับได้

แล้วนำมาให้ความรู้กับประชาชน แต่หากตกลงไม่ได้ ค่อยทำประชามติ เช่น จะให้มีสภา

เดียว หรือ 2 สภา อย่าดันทุรังออกเสียงประชามติ เพราะไม่ใช่แค่เสียเงินอย่างเดียว แต่

สร้างความแตกแยกหนักขึ้นไปอีก ยืนยันว่าบทบาทราชกการ ยังถูกครอบงำจากผู้มี

อำนาจทางการเมืองที่จะใช้อิทธิพลบอกให้ประชาชนกากบาทรับ " รศ.ตระกูล กล่าว

**แนะถอยคนละก้าวเพื่อเดินต่อ
ดร.เจษฎ์ โทณวนิก กล่าวว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เป็นขั้วทางความคิดหรือไม่ แต่

เป็นทิษฐิ เพราะการเมืองต้องมีขั้วอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ายอมรับในความเห็นต่างได้หรือไม่

แล้วจะเปิดใจในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยได้อย่างไร
เรื่องรัฐธรรมนูญเราเข้าใจหรือยังว่ามันคืออะไร การเสนอทำประชามติ คือ

การทำปาหี่อย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่ถอยคนละก้าว สังคมไปไม่ได้ ตนไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญ

ฉบับไหนจะดี เพราะหากดูเรื่องดี เรื่องไม่ดี ตนเห็นว่ากฎหมายทุกฉบับเป็นปัญหาได้ทั้ง

นั้น คนที่คิดว่าควรแก้ไข การที่จะแก้มันต้องใช้คนรู้มาแก้
"การที่บอกว่า ไม่เอารัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยให้เหตุผลว่า มาจากรัฐประหาร

ถ้าคิดอย่างนั้นก็ต้องดูตั้งแต่เริ่มแรก ไม่เช่นนั้นรัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ สภาก็อยู่ไม่ได้

ทุกกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญ 50 ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าหยิบยก

ขึ้นมาพูด อย่ามาบอกให้ ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งมา และรัฐบาลอยู่ต่อ เพราะนี่คือการเกลียด

ตัวกินไข่ ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง หากองค์กรที่มาจากการรัฐประหารได้หมดวาระไปแล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับมา โดยมีเงื่อนไขของการแก้รัฐธรรมนูญทั้งหมด หรือ ตลอดจนตี

กลับสำนวนของ คตส. ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีองค์กรขึ้นมาตรวจสอบในคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ

และรัฐมนตรี ถ้าไม่ถอยคนละก้าว ไม่ว่าใครเรื่องก็ไม่จบ มีสิ่งเดียวที่ให้สังคมเดินไปข้าง

หน้าได้คือ ถอยคนละก้าว" ดร.เจษฎ์ กล่าว

**"แม้ว"ยังนั่งรอตักตวง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่มีการสัมมนาได้มี รศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร

อาจารย์ประจำคณะรัฐศาตร์ศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง เข้ามาร่วมฟังสัมมนาและได้

ถามคำถาม ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ ถึงเป็นขั้วเดียวกับพันธมิตรฯ เพราะสมัยที่มีเหตุ

การณ์พฤษภาทมิฬ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ออกมาร่วมเดินบนท้องถนน เล่นการเมือง

แต่ในสภา แต่มาวันนี้กลับออกมาร่วม และเป็นขั้วเดียวกันกับพันธมิตรฯ ขณะที่อีกฝ่าย

ยึดหลักการว่า อะไรก็ตามที่มาจากรัฐประหาร ก็ต้องอยู่ไม่ได้ เช่น คมช. ก็ต้องพ้นอำนาจ

เพราะฉะนั้นรัฐบาลนี้ก็มาจากอำนาจของ คมช. ซึ่งรัฐบาล ก็ต้องอยู่ไม่ได้เหมือนกัน ซึ่ง

ตนอยากจะบอกว่า ตอนนั้นคนที่มีความสุขมากที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และคณะ

กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน
กำลังโหลดความคิดเห็น