ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมไม่ใช่หมอดู แต่เป็นนักเรียนวิชาสังคมศาสตร์ เป็นพุทธปฏิบัติ หลักวิจัยของสังคมศาสตร์ไม่ต่างกันมากนักจากหลักปฏิจจสมุปบาทของชาวพุทธ ซึ่งถือว่าเหตุปัจจัยต่างๆเกิดขึ้นเพราะการถักทอต่อยอดและเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เมื่อมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนั้น เมื่อมีสิ่งนั้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น มันเป็นเช่นนั้นเอง
เมื่อเกิดการปฏิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยปราศจากการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังและกว้างขวางของภาคประชาชนหรือพลังประชาธิปไตย ที่เรียกว่า Civil Society อันเป็นคนละพวกกับระบอบทักษิณ การปฏิรูปจึงหลงทางเข้ารกเข้าพงไป เพราะเหล่าทหารและบริวารมัวแต่วิ่งเต้น-เล่นพวก-ทำอะไรลวกๆ เละอย่างเป็นระบบจึงต้องจบอย่างไทยๆ คืออยู่กึ่งกลางเส้นต่อระหว่างเจ๊ากับเจ๊งเท่านั้น น่าเสียดายเวลาและอนาคตของชาติจริงๆ
เรื่องทั้งหมดนี้ผมเขียนไว้หมดแล้วในเดือนกันยายนปีนั้น ได้ตีพิมพ์ในผู้จัดการรายวันและส่งไปให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องทุกคน รวมทั้งคำทำนายในปลายเดือนตุลาคม 2549 ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจะพ่ายแพ้ระบอบทักษิณค่อนข้างแน่นอน
ผู้มีอำนาจได้ส่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกและอาวุโสจากกรมประมวลข่าวกลางมาพบผมเพื่อขอคำแนะนำว่าสมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ผมก็ได้บอกไปอย่างหมดไส้หมดพุงว่า ต้องทำอะไรบ้าง และที่สำคัญต้องทำให้รัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีสัญลักษณ์ องค์ประกอบ และพฤติกรรมเป็นประชาธิปไตย และต้องเผยแพร่ความจริงให้ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกและประชาชนไทยว่า รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ขาดความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งตามข้อกล่าวหาทั้งสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์และขั้นตอนของขบวนการยุติธรรม ซึ่งจำนวนคนที่เสียชีวิตหรือหายสาปสูญไปมากพอที่จะส่งผู้ออกคำสั่งหรือรู้เห็นเป็นใจไปขึ้นศาลโลกได้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะถือว่า เป็น Genocide หรือ Crime Against Humanity หรือ Mass Murder by State
การไปเน้นกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบวกกับการที่ปล่อยให้แพร่ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัวลงพระปรมาภิไธยให้กับหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทำให้ต่างประเทศที่ไม่เข้าใจเนื้อหาของการยึดอำนาจหลงสรุปเอาโดยเขลาว่า ทหารและชนชั้นปกครองชั้นสูงของประเทศสมคบกันทำลายประชาธิปไตย ซึ่งมีพ.ต.ท.ทักษิณเป็นแชมเปี้ยน
เมื่อคืนวานนี้ที่ 9 เมษายน ผมไปอัดรายการ “คนในข่าว” ของเติมศักดิ์ จารุปราณ ในASTV พิธีกรเอ่ยถึงบทความและหนังสือชื่อ “เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย” และ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” ซึ่งผมทำนายว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเราดันทุรังให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เติมศักดิ์ถามว่าทำไมผมจึงทายแม่นจริงๆ
ผมเสียใจในความแม่น ผมจะยินดีมากกว่าถ้าหากทำนายผิด เพราะผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้เพราะความขี้ขลาด เห็นแก่ตัว มักง่ายและมักได้ของชนชั้นปกครองของไทย ไม่ว่าจะเป็นทหาร รัฐบาล นักวิชาการ หรือสื่อ ถ้าคนพวกนี้มีความกล้าหาญและถ่อมตัวสักนิด วิกฤตต่างๆ ที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนี้ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้
ผมสรุปสั้นๆ ว่า การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ต้องเป็นการเลือกตั้งน้ำเน่า ทั้งนี้ก็เพราะความไม่สมประกอบของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 3 ฝ่ายด้วยกัน คือ (1) รัฐบาล และกกต.ไม่สมประกอบ กล่าวคือไม่เป็นมืออาชีพ ไม่เข้าใจหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามครรลองของกฎหมาย และประมาทเลินเล่อ ผมยกตัวอย่างให้เห็นว่า กกต. 3 ชุดมีมาตรฐานและผลงานต่างกันคนละโลกเลย แต่สังคมไทยลืมไปหมดแล้วว่า กกต.ชุดนายสวัสดิ์และยุวรัตน์ แจกใบแดงกับใบเหลืองอุตลุดเป็นที่ฮือฮาและถูกใจประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ต่างกับชุดนี้ซึ่งน้อยและเชื่องช้าที่สุดราวกับจะคอยให้คนวิ่งมาติดสินบน ถึงแม้จะมีคนมาแจ้ง และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิชอบก็อุบเงียบไม่ทำอะไร จนแฟนชาวอีสานบ่นว่าเฉยเหมือน “หมาปะหำ” (2) กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคและกฎหมายเลือกตั้งไม่สมประกอบ เพราะมีบทบัญญัติที่ขัดแย้งกันเอง ขัดกับหลักประชาธิปไตย ซ้ำยังมีกลไกต่างๆ ที่ไม่ชอบมาพากล ปฏิบัติมิได้หรือปฏิบัติแล้วจะเกิดความเสียหายแก่กลไกอื่นๆ แม้กระทั่ง ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็ต้องออกมาเตือนและช่วยนับว่ารัฐธรรมนูญนี้มี “จุดบอด” หรือมี “เส้นตาย” ที่จะขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดินถึง 147 จุด แต่ผมเองกลับไม่กลัวเรื่องเหล่านั้น ผมกลัวว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ว่าจะคลอดรัฐบาลที่ไม่สมประกอบออกมาต่างหาก (3) พรรคการเมืองไม่สมประกอบ แท้ที่จริงระบบพรรคการเมืองไทยไม่สมประกอบมาตั้งแต่ปี 2492 สืบเนื่องมาจากรัฐประหารปี 2490 แล้ว เพราะมีการบังคับให้สังกัดพรรคและจดทะเบียนพรรคเหมือนกับบริษัท เพื่อควบคุมผู้แทนให้อยู่ใต้อาณัติของหัวหน้า และป้องกันการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ ดังนั้น “แก๊งเลือกตั้ง” หรือพรรคการเมืองชั่วคราวที่ตั้งโดยหัวหน้า หรือเพื่อหัวหน้าจึงเกิดขึ้นมาและแตกดับไปเป็นระลอกๆ ตามบุญบารมีหรือชะตากรรมของหัวหน้า ทำให้การเมืองและประเทศไทยคงสภาพด้อยพัฒนาอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน
นี่คือภูมิหลังหรือสภาพการณ์ที่นำมาสู่ (1) การเกิดและขึ้นเถลิงอำนาจของพรรคไทยรักไทย ด้วยการซื้อแหลกแจกแถม การคุม การขู่ การควบ ทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้เกิดการเมืองนิ่งภายใต้ระบบพรรคเดียว และ (2) การเลือกตั้งระบบพรรคเดียว 2 เมษายน 2548 ที่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะ แม้พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสงสัยว่าจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร และ (3) คำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 30พฤษภาคม 2550 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย โดยข้อหามีการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย และห้ามมิให้กรรมการบริหารของพรรค 111 คนเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
ท่านผู้อ่านที่เคารพ จากวันที่ 30 พฤษภาคมถึงวันที่ 23 ธันวาคม ปี 2550 นับเป็นเวลาได้ 206 วัน การพัฒนาพรรคการเมืองขึ้นให้สมประกอบ เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐโดยการเลือกตั้งจะกระทำได้อย่างไร
ในเดือนพฤศจิกายน 2550 บทความและหนังสือ “เลือกตั้งน้ำเน่าฯ” ที่ผมพิมพ์ตอกย้ำให้เห็นข้อมูลและตัวอย่างของ การจัดตั้ง ดำเนินการ และสมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองขัดกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง และหลักประชาธิปไตย หากฝืนกระทำการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ไปโดยอำนาจบาตรใหญ่และแรงกดดันใดๆ โดยอ้างกฎหมายผิดๆ ผลก็จะมิได้ออกมาตามความปรารถนาของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น จะก่อให้เกิดสารพัดปัญหาที่แก้ไขยากมาก ซ้ำจะสร้างความขัดข้องขัดขืนและแตกร้าวในระบบการเมือง และสังคมไทยอย่างสาหัส
แม้จะไม่พิจารณาถึงการกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้งและการฝ่าฝืนคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเลย ลำพังข้อมูลจำนวนสมาชิกและผู้บริหารของพรรค ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2550 จากเอกสารทางการของ กกต.ก็แสดงอย่างแจ้งชัดว่า พรรคพลังประชาชน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาไม่มีสภาพเป็นพรรคตามกฎหมาย ถึงแม้จะมีการจดทะเบียนเป็นพรรคก็ตาม และข้อมูลในเดือนพฤศจิกายน ก็ยิ่งชัดสำหรับพรรคพลังประชาชนซึ่งสมาชิกดั้งเดิมหายไปหมด การจะรับสมาชิกใหม่ซึ่งจะต้องกระทำการสมัครด้วยตนเองและอนุมัติการเป็นสมาชิกเป็นรายๆ ไปตามกฎหมายไม่มีทางกระทำได้ตามเงื่อนเวลาที่มีอยู่
จดหมายข่าวของ กกต.ที่ออกมาในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2550 รับรองว่าข้อมูลที่ผมนำมาเสนอนั้นเป็นความจริง แสดงว่าผู้เขียนจดหมายข่าวนั้นน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ประจำของ กกต. กระทำการตามหน้าที่ โดยที่กรรมการ กกต.มิได้รับรู้หรือรับฟังแต่ประการใด จึงเดินหน้าดุ่ยๆ ทำการเลือกตั้งไป
ผลของการเลือกตั้งออกมาตามที่ผมทำนายไม่ผิด และผลเสียที่ตามมา การฟ้องร้องโอกาสที่หลายพรรคจะต้องถูกยุบ การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหนีการยุบพรรค และเพื่อนิรโทษกรรมกรรมการบริหารจากคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟอกตัวของอดีตหัวหน้าพรรคให้พ้นคดีความต่างๆ ในศาล กำลังเป็นที่โจษจันและต่อสู้กันอยู่ในปัจจุบัน
พิธีกรขอให้ผมฟันธงว่า วิกฤตครั้งนี้จะออกหัวหรือก้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการนองเลือดกับการปฏิวัตินั้นโอกาสอย่างไหนจะมากกว่ากัน และเราจะต้องฆ่ากันตายเพราะรัฐธรรมนูญอีกหรือไม่
โปรดคอยอ่านคำตอบของผมในฉบับหน้า ซึ่งจะผนวกคำตอบที่ถามผมในงานประชุมสัมมนาของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยที่ศาลาลีลาศ สวนลุมพินี เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน ที่เพิ่งผ่านมา ว่า (1) ควรจะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อใด (2) ใครควรจะเป็นคนแก้ (3) แก้เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใด และ (4) มีวิธีแก้อย่างไรบ้าง
ก่อนจบ ผมขอเสนอข้อมูลประกอบข้อคิดว่า รัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เกิดขึ้นเพราะการเคลื่อนไหวเรียกร้องรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงานและประชาชน เมื่อประสบชัยชนะ จอมพลถนอมลาออก รวมกับจอมพลประภาส และพ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เดินทางไปลี้ภัยยังต่างประเทศ ตลอดเวลาที่นายกฯ สัญญา บริหารประเทศ ก็คงใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศ 2515 ของจอมพลถนอมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการออกรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อการบริหารประเทศของตนเอง การบริหารของอาจารย์สัญญาเป็นประชาธิปไตย โปร่งใส มีจริยธรรม สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยทุกอย่าง ไม่มีการใช้อำนาจเผด็จการเลย ยกเว้นการประกาศยึดทรัพย์ 2 จอมพล โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ 2515 อย่างเดียว ทรัพย์สินนั้นขณะนี้ก็ยังตกเป็นของรัฐอยู่ ไม่ว่ารัฐบาลเผด็จการหรือรัฐบาลเลือกตั้ง ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่กล้าไปแก้ไขประกาศนั้นแต่ประการใด
จึงอยากจะถามว่า ผู้ถนัดใช้อำนาจเผด็จการอันธพาลในคราบนักประชาธิปไตยทั้งหลายจะรีบร้อนแก้รัฐธรรมนูญไปทำไมและเพื่อใคร.
เมื่อเกิดการปฏิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยปราศจากการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังและกว้างขวางของภาคประชาชนหรือพลังประชาธิปไตย ที่เรียกว่า Civil Society อันเป็นคนละพวกกับระบอบทักษิณ การปฏิรูปจึงหลงทางเข้ารกเข้าพงไป เพราะเหล่าทหารและบริวารมัวแต่วิ่งเต้น-เล่นพวก-ทำอะไรลวกๆ เละอย่างเป็นระบบจึงต้องจบอย่างไทยๆ คืออยู่กึ่งกลางเส้นต่อระหว่างเจ๊ากับเจ๊งเท่านั้น น่าเสียดายเวลาและอนาคตของชาติจริงๆ
เรื่องทั้งหมดนี้ผมเขียนไว้หมดแล้วในเดือนกันยายนปีนั้น ได้ตีพิมพ์ในผู้จัดการรายวันและส่งไปให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องทุกคน รวมทั้งคำทำนายในปลายเดือนตุลาคม 2549 ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขจะพ่ายแพ้ระบอบทักษิณค่อนข้างแน่นอน
ผู้มีอำนาจได้ส่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกและอาวุโสจากกรมประมวลข่าวกลางมาพบผมเพื่อขอคำแนะนำว่าสมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ผมก็ได้บอกไปอย่างหมดไส้หมดพุงว่า ต้องทำอะไรบ้าง และที่สำคัญต้องทำให้รัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีสัญลักษณ์ องค์ประกอบ และพฤติกรรมเป็นประชาธิปไตย และต้องเผยแพร่ความจริงให้ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกและประชาชนไทยว่า รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ขาดความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งตามข้อกล่าวหาทั้งสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้คนจำนวนมาก โดยไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์และขั้นตอนของขบวนการยุติธรรม ซึ่งจำนวนคนที่เสียชีวิตหรือหายสาปสูญไปมากพอที่จะส่งผู้ออกคำสั่งหรือรู้เห็นเป็นใจไปขึ้นศาลโลกได้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะถือว่า เป็น Genocide หรือ Crime Against Humanity หรือ Mass Murder by State
การไปเน้นกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบวกกับการที่ปล่อยให้แพร่ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัวลงพระปรมาภิไธยให้กับหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทำให้ต่างประเทศที่ไม่เข้าใจเนื้อหาของการยึดอำนาจหลงสรุปเอาโดยเขลาว่า ทหารและชนชั้นปกครองชั้นสูงของประเทศสมคบกันทำลายประชาธิปไตย ซึ่งมีพ.ต.ท.ทักษิณเป็นแชมเปี้ยน
เมื่อคืนวานนี้ที่ 9 เมษายน ผมไปอัดรายการ “คนในข่าว” ของเติมศักดิ์ จารุปราณ ในASTV พิธีกรเอ่ยถึงบทความและหนังสือชื่อ “เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย” และ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” ซึ่งผมทำนายว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากเราดันทุรังให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เติมศักดิ์ถามว่าทำไมผมจึงทายแม่นจริงๆ
ผมเสียใจในความแม่น ผมจะยินดีมากกว่าถ้าหากทำนายผิด เพราะผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้เพราะความขี้ขลาด เห็นแก่ตัว มักง่ายและมักได้ของชนชั้นปกครองของไทย ไม่ว่าจะเป็นทหาร รัฐบาล นักวิชาการ หรือสื่อ ถ้าคนพวกนี้มีความกล้าหาญและถ่อมตัวสักนิด วิกฤตต่างๆ ที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนี้ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้
ผมสรุปสั้นๆ ว่า การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ต้องเป็นการเลือกตั้งน้ำเน่า ทั้งนี้ก็เพราะความไม่สมประกอบของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 3 ฝ่ายด้วยกัน คือ (1) รัฐบาล และกกต.ไม่สมประกอบ กล่าวคือไม่เป็นมืออาชีพ ไม่เข้าใจหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามครรลองของกฎหมาย และประมาทเลินเล่อ ผมยกตัวอย่างให้เห็นว่า กกต. 3 ชุดมีมาตรฐานและผลงานต่างกันคนละโลกเลย แต่สังคมไทยลืมไปหมดแล้วว่า กกต.ชุดนายสวัสดิ์และยุวรัตน์ แจกใบแดงกับใบเหลืองอุตลุดเป็นที่ฮือฮาและถูกใจประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ต่างกับชุดนี้ซึ่งน้อยและเชื่องช้าที่สุดราวกับจะคอยให้คนวิ่งมาติดสินบน ถึงแม้จะมีคนมาแจ้ง และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิชอบก็อุบเงียบไม่ทำอะไร จนแฟนชาวอีสานบ่นว่าเฉยเหมือน “หมาปะหำ” (2) กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคและกฎหมายเลือกตั้งไม่สมประกอบ เพราะมีบทบัญญัติที่ขัดแย้งกันเอง ขัดกับหลักประชาธิปไตย ซ้ำยังมีกลไกต่างๆ ที่ไม่ชอบมาพากล ปฏิบัติมิได้หรือปฏิบัติแล้วจะเกิดความเสียหายแก่กลไกอื่นๆ แม้กระทั่ง ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ก็ต้องออกมาเตือนและช่วยนับว่ารัฐธรรมนูญนี้มี “จุดบอด” หรือมี “เส้นตาย” ที่จะขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดินถึง 147 จุด แต่ผมเองกลับไม่กลัวเรื่องเหล่านั้น ผมกลัวว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ว่าจะคลอดรัฐบาลที่ไม่สมประกอบออกมาต่างหาก (3) พรรคการเมืองไม่สมประกอบ แท้ที่จริงระบบพรรคการเมืองไทยไม่สมประกอบมาตั้งแต่ปี 2492 สืบเนื่องมาจากรัฐประหารปี 2490 แล้ว เพราะมีการบังคับให้สังกัดพรรคและจดทะเบียนพรรคเหมือนกับบริษัท เพื่อควบคุมผู้แทนให้อยู่ใต้อาณัติของหัวหน้า และป้องกันการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ ดังนั้น “แก๊งเลือกตั้ง” หรือพรรคการเมืองชั่วคราวที่ตั้งโดยหัวหน้า หรือเพื่อหัวหน้าจึงเกิดขึ้นมาและแตกดับไปเป็นระลอกๆ ตามบุญบารมีหรือชะตากรรมของหัวหน้า ทำให้การเมืองและประเทศไทยคงสภาพด้อยพัฒนาอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน
นี่คือภูมิหลังหรือสภาพการณ์ที่นำมาสู่ (1) การเกิดและขึ้นเถลิงอำนาจของพรรคไทยรักไทย ด้วยการซื้อแหลกแจกแถม การคุม การขู่ การควบ ทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้เกิดการเมืองนิ่งภายใต้ระบบพรรคเดียว และ (2) การเลือกตั้งระบบพรรคเดียว 2 เมษายน 2548 ที่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะ แม้พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสงสัยว่าจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร และ (3) คำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 30พฤษภาคม 2550 ให้ยุบพรรคไทยรักไทย โดยข้อหามีการกระทำเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย และห้ามมิให้กรรมการบริหารของพรรค 111 คนเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
ท่านผู้อ่านที่เคารพ จากวันที่ 30 พฤษภาคมถึงวันที่ 23 ธันวาคม ปี 2550 นับเป็นเวลาได้ 206 วัน การพัฒนาพรรคการเมืองขึ้นให้สมประกอบ เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐโดยการเลือกตั้งจะกระทำได้อย่างไร
ในเดือนพฤศจิกายน 2550 บทความและหนังสือ “เลือกตั้งน้ำเน่าฯ” ที่ผมพิมพ์ตอกย้ำให้เห็นข้อมูลและตัวอย่างของ การจัดตั้ง ดำเนินการ และสมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองขัดกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง และหลักประชาธิปไตย หากฝืนกระทำการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ไปโดยอำนาจบาตรใหญ่และแรงกดดันใดๆ โดยอ้างกฎหมายผิดๆ ผลก็จะมิได้ออกมาตามความปรารถนาของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น จะก่อให้เกิดสารพัดปัญหาที่แก้ไขยากมาก ซ้ำจะสร้างความขัดข้องขัดขืนและแตกร้าวในระบบการเมือง และสังคมไทยอย่างสาหัส
แม้จะไม่พิจารณาถึงการกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้งและการฝ่าฝืนคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญเลย ลำพังข้อมูลจำนวนสมาชิกและผู้บริหารของพรรค ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2550 จากเอกสารทางการของ กกต.ก็แสดงอย่างแจ้งชัดว่า พรรคพลังประชาชน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาไม่มีสภาพเป็นพรรคตามกฎหมาย ถึงแม้จะมีการจดทะเบียนเป็นพรรคก็ตาม และข้อมูลในเดือนพฤศจิกายน ก็ยิ่งชัดสำหรับพรรคพลังประชาชนซึ่งสมาชิกดั้งเดิมหายไปหมด การจะรับสมาชิกใหม่ซึ่งจะต้องกระทำการสมัครด้วยตนเองและอนุมัติการเป็นสมาชิกเป็นรายๆ ไปตามกฎหมายไม่มีทางกระทำได้ตามเงื่อนเวลาที่มีอยู่
จดหมายข่าวของ กกต.ที่ออกมาในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2550 รับรองว่าข้อมูลที่ผมนำมาเสนอนั้นเป็นความจริง แสดงว่าผู้เขียนจดหมายข่าวนั้นน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ประจำของ กกต. กระทำการตามหน้าที่ โดยที่กรรมการ กกต.มิได้รับรู้หรือรับฟังแต่ประการใด จึงเดินหน้าดุ่ยๆ ทำการเลือกตั้งไป
ผลของการเลือกตั้งออกมาตามที่ผมทำนายไม่ผิด และผลเสียที่ตามมา การฟ้องร้องโอกาสที่หลายพรรคจะต้องถูกยุบ การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหนีการยุบพรรค และเพื่อนิรโทษกรรมกรรมการบริหารจากคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟอกตัวของอดีตหัวหน้าพรรคให้พ้นคดีความต่างๆ ในศาล กำลังเป็นที่โจษจันและต่อสู้กันอยู่ในปัจจุบัน
พิธีกรขอให้ผมฟันธงว่า วิกฤตครั้งนี้จะออกหัวหรือก้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการนองเลือดกับการปฏิวัตินั้นโอกาสอย่างไหนจะมากกว่ากัน และเราจะต้องฆ่ากันตายเพราะรัฐธรรมนูญอีกหรือไม่
โปรดคอยอ่านคำตอบของผมในฉบับหน้า ซึ่งจะผนวกคำตอบที่ถามผมในงานประชุมสัมมนาของสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทยที่ศาลาลีลาศ สวนลุมพินี เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน ที่เพิ่งผ่านมา ว่า (1) ควรจะแก้รัฐธรรมนูญเมื่อใด (2) ใครควรจะเป็นคนแก้ (3) แก้เพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใด และ (4) มีวิธีแก้อย่างไรบ้าง
ก่อนจบ ผมขอเสนอข้อมูลประกอบข้อคิดว่า รัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เกิดขึ้นเพราะการเคลื่อนไหวเรียกร้องรัฐธรรมนูญของนิสิตนักศึกษา ผู้ใช้แรงงานและประชาชน เมื่อประสบชัยชนะ จอมพลถนอมลาออก รวมกับจอมพลประภาส และพ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เดินทางไปลี้ภัยยังต่างประเทศ ตลอดเวลาที่นายกฯ สัญญา บริหารประเทศ ก็คงใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศ 2515 ของจอมพลถนอมตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการออกรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อการบริหารประเทศของตนเอง การบริหารของอาจารย์สัญญาเป็นประชาธิปไตย โปร่งใส มีจริยธรรม สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยทุกอย่าง ไม่มีการใช้อำนาจเผด็จการเลย ยกเว้นการประกาศยึดทรัพย์ 2 จอมพล โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ 2515 อย่างเดียว ทรัพย์สินนั้นขณะนี้ก็ยังตกเป็นของรัฐอยู่ ไม่ว่ารัฐบาลเผด็จการหรือรัฐบาลเลือกตั้ง ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่กล้าไปแก้ไขประกาศนั้นแต่ประการใด
จึงอยากจะถามว่า ผู้ถนัดใช้อำนาจเผด็จการอันธพาลในคราบนักประชาธิปไตยทั้งหลายจะรีบร้อนแก้รัฐธรรมนูญไปทำไมและเพื่อใคร.