คนกลุ่มหนึ่งอ้างว่าต้องรีบแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาไม่ถูกต้อง กล่าวคือ ร่างมาโดยสมุนของคณะปฏิวัติ ซึ่งก็มีส่วนจริงอยู่ ไม่ต่างกับการร่างรัฐธรรมนูญที่แล้วมาทั้ง 17 ฉบับ
แต่เหตุผลแท้ๆ ที่จริงกว่าก็คือ พวกนี้เร่งร้อนเพราะต้องการจะหนีให้ทันการยุบพรรค และเพื่อปกป้องฟอกล้างอดีตหัวหน้าพรรค และผู้บริหารรวมทั้งหมด 111 คน โดยเฉพาะนายใหญ่จะได้พ้นขบวนการพิจารณาตามกฎหมายและพ้นผิดทุกประเภท ทั้งเรื่องทุจริตคดโกงซึ่งเป็นอาญาแผ่นดินต้องขึ้นศาล พิมพ์ลายนิ้วมือ เสี่ยงคุก และเรื่องการเมืองที่ศาลแจกใบแดงไม่ให้เล่นการเมือง 5 ปี
จะได้ยกโขยงกันกลับขึ้นมาเถลิงอำนาจ ไม่ต้องยืมจมูกบานๆ ของคนอื่นมาหายใจ ขืนมันทรยศหรือศาลดำเนินการไปตามครรลองจุดจบอาจจะมาถึงเร็วกว่าที่คาดคิด
ดังนั้น จึงต้องยกเอารัฐธรรมนูญมาเป็นเหตุ และเป็นที่พึ่ง เพราะคิดว่าจะหลอกลวงตบตาคนไทยทั้งประเทศได้ ทั้งๆ ที่ระหว่างอยู่ในตำแหน่งเรืองอำนาจ ไม่มีคณะบุคคลใดที่ทำลายหลักการและบทบัญญัติที่เป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญเท่ากับคนพวกนี้
หากท่านผู้อ่านทนอ่านซ้ำที่ผมเขียนในฉบับที่แล้วว่า “(2) กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรค และกฎหมายเลือกตั้งไม่สมประกอบ ฯลฯ”
คงจะไม่ต้องถามว่าผมอยากให้แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ เห็นด้วยอย่างยิ่งที่คุณหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ปรารภในตอนต้นว่า สมควรแก้รัฐธรรมนูญ แต่เหตุผลของคุณหมอกับของผม รวมทั้งเงื่อนไขและเงื่อนเวลาในการแก้อาจจะห่างกันคนละโลกก็ได้
ในประเทศไทย คงจะมีคนเพียง 2 คนที่แสดงออกโดยเปิดเผย ทั้งการเขียนและการพูดไม่หยุดว่า รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2540 และ 2550 นั้นเป็นรัฐธรรมนูญที่แย่ที่สุด จะถ่วงดึงไทยให้เป็นประเทศที่ไร้อนาคตไปอีกนาน ทั้งนี้ เพราะรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับเป็นเครื่องมือให้คนมีเงินผูกขาดอำนาจเหนือพรรคและเหนือการเมืองของประเทศได้อย่างเด็ดขาด
คน 2 คนนั้นก็คือ ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ผู้ซึ่งได้ชื่อเป็นปรมาจารย์กฎหมายมหาชนในประเทศไทยกับผม ดร.อมรกับผมเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคณะเดียวกันในปี 2516 มีคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ช่วยเป็นอนุกรรมการอยู่กับเขาคนหนึ่ง
ถ้าจะว่าผมกับดร.อมรไม่พอใจรัฐธรรมนูญฉบับ 2517 ที่เรามีส่วนร่วมร่างฯ ก็ไม่ผิด เพราะหลักการหลายอย่างได้ถูกคณะกรรมาธิการและสภานิติบัญญัติแห่งชาติเปลี่ยนไปจนกระทั่งจำเกือบไม่ได้ สมาชิกสภาฯ ในครั้งกระโน้นตกทอดมาจากระบอบเก่าเป็นอันมาก ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 5 คน คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายธานินทร์ กรัยวิเชียร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายบรรหาร ศิลปอาชา และนายสมัคร สุนทรเวช ผมก็เป็นสมาชิกสภาฯ ชุดนี้ด้วย
ที่ ดร.อมร ห่วงว่าจะทำให้ชาติล่มจมมากที่สุด คือรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 กับ 2540 ตามลำดับ ดร.อมรได้พยายามชี้แจงให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเข้าใจตั้งแต่ต้นจนวินาทีสุดท้าย รวมทั้งเขียนบทความที่ผมเห็นว่าลึกซึ้งมีประโยชน์ที่สุด ในนั้นดร.อมรได้แนะนำโดยละเอียดว่าหากปฏิวัติอีกทีร่างรัฐธรรมนูญอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการเมืองไทย และเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ผมเห็นด้วยเป็นส่วนมาก แต่ไม่อยากให้กองทัพยึดอำนาจโดยปราศจากส่วนร่วมอย่างจริงจังของประชาคมประชาธิปไตย (Civil Society)
เสียดายที่สังคมไทยหูหนวกตาบอดทั้งผู้นำและผู้ตาม จึงไม่มีใครอ่านหรือฟังดร.อมรเข้าใจอีกครั้ง ผมโทษความขี้ขลาด เห็นแก่ตัว มักง่ายและมักได้ของชนชั้นปกครองของไทย (ไม่ว่าจะเป็นทหาร รัฐบาล นักวิชาการ หรือสื่อ) ถ้าคนพวกนี้มีความกล้าหาญและถ่อมตัวสักนิด รู้จักคิด รู้จักอ่าน รู้จักรับผิดชอบ วิกฤตต่างๆ ที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนี้ที่ดร.อมร บอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ร่าง-ผู้ใช้-และผู้ตีความรัฐธรรมนูญมีความรู้และมาตรฐานต่ำ-ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้
เมื่อไม่ยอมฟังกันแม้แต่สักนิด ร่างรัฐธรรมนูญที่ผลิตออกมาจึงไม่สามารถ สร้างดุลยภาพในการแบ่งสรรอำนาจระหว่างอำนาจ-สถาบัน และองค์ประกอบต่างๆ ทางการเมืองให้พอดี และไม่มีกลไกแก้ไขความขัดแย้งตามหลักประชาธิปไตย ในที่สุดวิกฤตรัฐธรรมนูญที่จะทำให้คนไทยฆ่ากันก็หวนกลับมาอีก
ผมเชื่อมั่นว่า รัฐธรรมนูญ 2517 จะทำให้เกิด 6 ตุลามหาโหดขึ้น เพราะเรื่องจัดอำนาจไม่ลงตัว เรื่องนี้พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ได้ทำนายและเตือนผมไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมกับหมอประเวศก็เตือนเรื่องรัฐธรรมนูญ รสช.อย่างหนักเช่นเดียวกัน
หากท่านผู้อ่านลองกลับไปอ่านคำประกาศยุบสภาฯ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และพลเอกเปรม ดู คนหนึ่งเป็นผู้นำระบบเลือกตั้ง อีกคนหนึ่งเป็นผู้นำอำนาจนิยมระบบทหารจะเห็นว่าทั้งคู่ประณามสภาฯ น้ำเน่าดุเดือดพอๆ กัน เช่นเดียวกับคำประกาศยึดอำนาจสมัยไหนๆ ที่เป็นเช่นนี้ แต่หากเน้นความมั่นคงของรัฐและสถาบันกษัตริย์เข้าไปด้วย
นี่คือวัฏจักรน้ำเน่าและวงจรอุบาทว์ที่ไทยวนเวียนอยู่ และแพะรับบาปในการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจทุกครั้งก็คือรัฐธรรมนูญ
จนกระทั่งบัดนี้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว 76 ปี สังคมไทยยังไม่เข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย ทั้งนี้ก็เพราะถูกอำนาจการเมือง การศึกษา และสื่อมอมเมาล้างสมอง
หมาที่ไหนก็ไม่รู้ไปเที่ยวสอนว่า ประชาธิปไตยต้องมีองค์สาม คือ รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง และการเลือกตั้ง ตำราของกระทรวงศึกษาฯ และคณะรัฐศาสตร์ก็เฉียดๆ ทำนองนี้ ผิดครับ ผิดสาหัส ผิดพันเปอร์เซ็นต์ เผด็จการคอมมิวนิสต์ ฮิตเลอร์ นาซี ฟาสซิสต์ แม้กระทั่งมาร์กอสหรือมูกาเบทุกวันนี้ก็มีรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองและการเลือกตั้งทั้งนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าตำรับระบบพรรคการเมืองเดียวและการเมืองนิ่งแบบไทยๆ ก็ด้วย)
ที่ถูกองค์สามหรือลักษณะ 3 ประการของระบอบประชาธิปไตย คือ
(1) ระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตย
(2) ความเชื่อ ความคิดหรืออุดมการณ์ในสังคมเป็นประชาธิปไตย
(3) วิถีชีวิตของสังคมเป็นประชาธิปไตย
เริ่มด้วย (3) วิถีชีวิตของสังคมเป็นประชาธิปไตย เพราะสำคัญที่สุด มีข้อนี้แล้วอีก 2 ข้อ ไม่มีก็ยังได้ วิธีชีวิตที่เป็นประชาธิปไตยก็คือ ความเคารพในกฎหมายด้วยความเคร่งครัดและเท่าเทียมกันทุกคน เคารพและไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เคารพและไม่ขัดขวางหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้อื่น การอยู่ในสังคมด้วยความรักสามัคคีและสมัครใจ มีการรับฟังและเคารพในความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ไม่ใช้ระบบพวกมากลากไป หรือพวกน้อยคอยขัดจนบรรลัย แต่ใช้ฉันทามติและการคุ้มครองทุกฝ่าย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวันในครอบครัว ที่ทำงาน โรงเรียน หรือสถานที่ราชการ สรุปว่า พฤติกรรมหรือความประพฤติของบุคคลต้องเป็นประชาธิปไตย ทั้งนอกและในองค์การ รวมทั้งระบบการตัดสินใจในสภาฯ หรือองค์กรฝ่ายบริหาร มิใช่อะไรๆ ก็แล้วแต่ผู้ใหญ่หรือหัวหน้าตามระบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้าแบบไทยๆฯลฯ
ข้อที่ (2) ความเชื่อ ความคิดหรืออุดมการณ์ประชาธิปไตย ได้แก่ ความเชื่อและศรัทธาในศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ของทุกคน ไม่ว่าจะต่างเพศผิวพรรณ กำเนิด ยากดีมีจน การศึกษาสูงหรือต่ำ ชนบทหรือในกรุงซึ่งตรงกับหลักพระพุทธศาสนา 100% ความคิดและความเชื่อเช่นนี้จะเป็นปัจจัยเชื่อมโยงไปสู่การกระทำหรือระบบพฤติกรรมที่ยึดถือเสรีภาพ สาธารณประโยชน์ และความเป็นธรรมของสังคม และความเห็นว่าความคิดหรือการกระทำตรงกันข้ามจากหลักที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย
ส่วนข้อที่ (1) ระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยนั้นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าข้อที่ (3) กับข้อที่ (2) เป็นแล้ว ดีแล้ว แต่ระบบการปกครองหรือรัฐบาลกับการเมืองนี้กลับเป็นปัญหาหลักของมนุษยชาติ เพราะรัฐบาลมักจะเป็นผู้ทำลายทั้งข้อ (2) และข้อ (3) รวมทั้งสันติสุขในสังคมเสียเอง ฝรั่งเขามีภาษิตว่า “รัฐบาลคือความชั่วร้ายที่จำเป็น” บ้าง “การปกครองที่ดีที่สุดคือการปกครองที่น้อยที่สุด” บ้าง “การปกครองตนเองดีกว่าการปกครองที่ดีที่สุด” บ้าง เป็นอาหารสมองให้เรามองสภาพสังคมและวิวัฒนาการของแต่ละประเทศซึ่งไม่เหมือนกัน ของตะวันออกเราก็มีทั้งภาษิตและปรัชญาไม่ด้อยกว่าตะวันตก เช่นที่เห็นว่า “ผู้ปกครองไม่ดี ยิ่งกว่าห่าลงกิน” ก็มี เป็นต้น
แต่เรื่องของความเป็นประชาธิปไตยในกระแสโลกปัจจุบันมาจากตะวันตก ถือว่าประชาธิปไตยต้องมาจากความยินยอมพร้อมใจของประชาชน เคารพในหลักรัฐธรรมนูญนิยมหรือประชาธิปไตย อันได้แก่ (1) การค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน (2) การจำกัดอำนาจของรัฐบาล ให้รัฐบาลใช้อำนาจได้เฉพาะตามเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่ได้รับมอบเท่านั้น และ (3) การจัดรูปแบบ กลไก และอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลให้มีความรับผิดชอบ สามารถรักษากฎเกณฑ์ในข้อที่ (1) และ (2) ได้
ส่วนรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง และการเลือกตั้งนั้น เป็นแต่เพียงคู่มือ พาหะและพิธีกรรมที่จะนำไปสู่ระบบการปกครองที่ต้องการตามข้อที่ (3)
เผด็จการหรือประชาธิปไตยจอมปลอมก็สามารถมีรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองและการเลือกตั้งได้ ในความเป็นจริงที่ปรากฏในประเทศไทยอยู่เสมอๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5-6 ปีที่ผ่านมา มีการดำเนินการและพฤติกรรมที่ขัดกัน และเป็นการทำลายประชาธิปไตยโดยตรงด้วยซ้ำ
ขณะนี้ พวกปีศาจคาบคัมภีร์ในสภาฯ น้ำเน่าทั้งตัวการ บริวาร และตัวแทนที่ปฏิเสธวิถีชีวิตประชาธิปไตย ยกเว้นแต่เรื่องที่พวกตนได้ประโยชน์ ถึงพร้อมด้วยวจีทุจริต มโนทุจริต และกายทุจริต ไม่เคารพกฎหมาย ทำลายสิทธิมนุษยชน ปล้นทรัพย์แผ่นดิน ดูหมิ่นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถูกศาลพิพากษาแล้วไม่ฟัง และยังจะต้องสู้อีกหลายคดี กำลังเรียกร้องสิทธิที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจะแก้ตัว รักษาและส่งเสริมเดชานุภาพของพวกตน ซึ่งอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม
ยกให้เขาไปเสียเลยดีไหมครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพ ประชาธิปไตยของพวกเราคอยได้ เอาไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ.
แต่เหตุผลแท้ๆ ที่จริงกว่าก็คือ พวกนี้เร่งร้อนเพราะต้องการจะหนีให้ทันการยุบพรรค และเพื่อปกป้องฟอกล้างอดีตหัวหน้าพรรค และผู้บริหารรวมทั้งหมด 111 คน โดยเฉพาะนายใหญ่จะได้พ้นขบวนการพิจารณาตามกฎหมายและพ้นผิดทุกประเภท ทั้งเรื่องทุจริตคดโกงซึ่งเป็นอาญาแผ่นดินต้องขึ้นศาล พิมพ์ลายนิ้วมือ เสี่ยงคุก และเรื่องการเมืองที่ศาลแจกใบแดงไม่ให้เล่นการเมือง 5 ปี
จะได้ยกโขยงกันกลับขึ้นมาเถลิงอำนาจ ไม่ต้องยืมจมูกบานๆ ของคนอื่นมาหายใจ ขืนมันทรยศหรือศาลดำเนินการไปตามครรลองจุดจบอาจจะมาถึงเร็วกว่าที่คาดคิด
ดังนั้น จึงต้องยกเอารัฐธรรมนูญมาเป็นเหตุ และเป็นที่พึ่ง เพราะคิดว่าจะหลอกลวงตบตาคนไทยทั้งประเทศได้ ทั้งๆ ที่ระหว่างอยู่ในตำแหน่งเรืองอำนาจ ไม่มีคณะบุคคลใดที่ทำลายหลักการและบทบัญญัติที่เป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญเท่ากับคนพวกนี้
หากท่านผู้อ่านทนอ่านซ้ำที่ผมเขียนในฉบับที่แล้วว่า “(2) กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรค และกฎหมายเลือกตั้งไม่สมประกอบ ฯลฯ”
คงจะไม่ต้องถามว่าผมอยากให้แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ เห็นด้วยอย่างยิ่งที่คุณหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ปรารภในตอนต้นว่า สมควรแก้รัฐธรรมนูญ แต่เหตุผลของคุณหมอกับของผม รวมทั้งเงื่อนไขและเงื่อนเวลาในการแก้อาจจะห่างกันคนละโลกก็ได้
ในประเทศไทย คงจะมีคนเพียง 2 คนที่แสดงออกโดยเปิดเผย ทั้งการเขียนและการพูดไม่หยุดว่า รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2540 และ 2550 นั้นเป็นรัฐธรรมนูญที่แย่ที่สุด จะถ่วงดึงไทยให้เป็นประเทศที่ไร้อนาคตไปอีกนาน ทั้งนี้ เพราะรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับเป็นเครื่องมือให้คนมีเงินผูกขาดอำนาจเหนือพรรคและเหนือการเมืองของประเทศได้อย่างเด็ดขาด
คน 2 คนนั้นก็คือ ศาสตราจารย์ ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ผู้ซึ่งได้ชื่อเป็นปรมาจารย์กฎหมายมหาชนในประเทศไทยกับผม ดร.อมรกับผมเป็นกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคณะเดียวกันในปี 2516 มีคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ ช่วยเป็นอนุกรรมการอยู่กับเขาคนหนึ่ง
ถ้าจะว่าผมกับดร.อมรไม่พอใจรัฐธรรมนูญฉบับ 2517 ที่เรามีส่วนร่วมร่างฯ ก็ไม่ผิด เพราะหลักการหลายอย่างได้ถูกคณะกรรมาธิการและสภานิติบัญญัติแห่งชาติเปลี่ยนไปจนกระทั่งจำเกือบไม่ได้ สมาชิกสภาฯ ในครั้งกระโน้นตกทอดมาจากระบอบเก่าเป็นอันมาก ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 5 คน คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายธานินทร์ กรัยวิเชียร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายบรรหาร ศิลปอาชา และนายสมัคร สุนทรเวช ผมก็เป็นสมาชิกสภาฯ ชุดนี้ด้วย
ที่ ดร.อมร ห่วงว่าจะทำให้ชาติล่มจมมากที่สุด คือรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 กับ 2540 ตามลำดับ ดร.อมรได้พยายามชี้แจงให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเข้าใจตั้งแต่ต้นจนวินาทีสุดท้าย รวมทั้งเขียนบทความที่ผมเห็นว่าลึกซึ้งมีประโยชน์ที่สุด ในนั้นดร.อมรได้แนะนำโดยละเอียดว่าหากปฏิวัติอีกทีร่างรัฐธรรมนูญอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการเมืองไทย และเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ผมเห็นด้วยเป็นส่วนมาก แต่ไม่อยากให้กองทัพยึดอำนาจโดยปราศจากส่วนร่วมอย่างจริงจังของประชาคมประชาธิปไตย (Civil Society)
เสียดายที่สังคมไทยหูหนวกตาบอดทั้งผู้นำและผู้ตาม จึงไม่มีใครอ่านหรือฟังดร.อมรเข้าใจอีกครั้ง ผมโทษความขี้ขลาด เห็นแก่ตัว มักง่ายและมักได้ของชนชั้นปกครองของไทย (ไม่ว่าจะเป็นทหาร รัฐบาล นักวิชาการ หรือสื่อ) ถ้าคนพวกนี้มีความกล้าหาญและถ่อมตัวสักนิด รู้จักคิด รู้จักอ่าน รู้จักรับผิดชอบ วิกฤตต่างๆ ที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนี้ที่ดร.อมร บอกว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ร่าง-ผู้ใช้-และผู้ตีความรัฐธรรมนูญมีความรู้และมาตรฐานต่ำ-ก็อาจจะหลีกเลี่ยงหรือป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้
เมื่อไม่ยอมฟังกันแม้แต่สักนิด ร่างรัฐธรรมนูญที่ผลิตออกมาจึงไม่สามารถ สร้างดุลยภาพในการแบ่งสรรอำนาจระหว่างอำนาจ-สถาบัน และองค์ประกอบต่างๆ ทางการเมืองให้พอดี และไม่มีกลไกแก้ไขความขัดแย้งตามหลักประชาธิปไตย ในที่สุดวิกฤตรัฐธรรมนูญที่จะทำให้คนไทยฆ่ากันก็หวนกลับมาอีก
ผมเชื่อมั่นว่า รัฐธรรมนูญ 2517 จะทำให้เกิด 6 ตุลามหาโหดขึ้น เพราะเรื่องจัดอำนาจไม่ลงตัว เรื่องนี้พลเอกกฤษณ์ สีวะรา ได้ทำนายและเตือนผมไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมกับหมอประเวศก็เตือนเรื่องรัฐธรรมนูญ รสช.อย่างหนักเช่นเดียวกัน
หากท่านผู้อ่านลองกลับไปอ่านคำประกาศยุบสภาฯ ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และพลเอกเปรม ดู คนหนึ่งเป็นผู้นำระบบเลือกตั้ง อีกคนหนึ่งเป็นผู้นำอำนาจนิยมระบบทหารจะเห็นว่าทั้งคู่ประณามสภาฯ น้ำเน่าดุเดือดพอๆ กัน เช่นเดียวกับคำประกาศยึดอำนาจสมัยไหนๆ ที่เป็นเช่นนี้ แต่หากเน้นความมั่นคงของรัฐและสถาบันกษัตริย์เข้าไปด้วย
นี่คือวัฏจักรน้ำเน่าและวงจรอุบาทว์ที่ไทยวนเวียนอยู่ และแพะรับบาปในการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจทุกครั้งก็คือรัฐธรรมนูญ
จนกระทั่งบัดนี้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว 76 ปี สังคมไทยยังไม่เข้าใจเรื่องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย ทั้งนี้ก็เพราะถูกอำนาจการเมือง การศึกษา และสื่อมอมเมาล้างสมอง
หมาที่ไหนก็ไม่รู้ไปเที่ยวสอนว่า ประชาธิปไตยต้องมีองค์สาม คือ รัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง และการเลือกตั้ง ตำราของกระทรวงศึกษาฯ และคณะรัฐศาสตร์ก็เฉียดๆ ทำนองนี้ ผิดครับ ผิดสาหัส ผิดพันเปอร์เซ็นต์ เผด็จการคอมมิวนิสต์ ฮิตเลอร์ นาซี ฟาสซิสต์ แม้กระทั่งมาร์กอสหรือมูกาเบทุกวันนี้ก็มีรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองและการเลือกตั้งทั้งนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าตำรับระบบพรรคการเมืองเดียวและการเมืองนิ่งแบบไทยๆ ก็ด้วย)
ที่ถูกองค์สามหรือลักษณะ 3 ประการของระบอบประชาธิปไตย คือ
(1) ระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตย
(2) ความเชื่อ ความคิดหรืออุดมการณ์ในสังคมเป็นประชาธิปไตย
(3) วิถีชีวิตของสังคมเป็นประชาธิปไตย
เริ่มด้วย (3) วิถีชีวิตของสังคมเป็นประชาธิปไตย เพราะสำคัญที่สุด มีข้อนี้แล้วอีก 2 ข้อ ไม่มีก็ยังได้ วิธีชีวิตที่เป็นประชาธิปไตยก็คือ ความเคารพในกฎหมายด้วยความเคร่งครัดและเท่าเทียมกันทุกคน เคารพและไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เคารพและไม่ขัดขวางหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้อื่น การอยู่ในสังคมด้วยความรักสามัคคีและสมัครใจ มีการรับฟังและเคารพในความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ไม่ใช้ระบบพวกมากลากไป หรือพวกน้อยคอยขัดจนบรรลัย แต่ใช้ฉันทามติและการคุ้มครองทุกฝ่าย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวันในครอบครัว ที่ทำงาน โรงเรียน หรือสถานที่ราชการ สรุปว่า พฤติกรรมหรือความประพฤติของบุคคลต้องเป็นประชาธิปไตย ทั้งนอกและในองค์การ รวมทั้งระบบการตัดสินใจในสภาฯ หรือองค์กรฝ่ายบริหาร มิใช่อะไรๆ ก็แล้วแต่ผู้ใหญ่หรือหัวหน้าตามระบบรวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้าแบบไทยๆฯลฯ
ข้อที่ (2) ความเชื่อ ความคิดหรืออุดมการณ์ประชาธิปไตย ได้แก่ ความเชื่อและศรัทธาในศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ของทุกคน ไม่ว่าจะต่างเพศผิวพรรณ กำเนิด ยากดีมีจน การศึกษาสูงหรือต่ำ ชนบทหรือในกรุงซึ่งตรงกับหลักพระพุทธศาสนา 100% ความคิดและความเชื่อเช่นนี้จะเป็นปัจจัยเชื่อมโยงไปสู่การกระทำหรือระบบพฤติกรรมที่ยึดถือเสรีภาพ สาธารณประโยชน์ และความเป็นธรรมของสังคม และความเห็นว่าความคิดหรือการกระทำตรงกันข้ามจากหลักที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย
ส่วนข้อที่ (1) ระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตยนั้นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าข้อที่ (3) กับข้อที่ (2) เป็นแล้ว ดีแล้ว แต่ระบบการปกครองหรือรัฐบาลกับการเมืองนี้กลับเป็นปัญหาหลักของมนุษยชาติ เพราะรัฐบาลมักจะเป็นผู้ทำลายทั้งข้อ (2) และข้อ (3) รวมทั้งสันติสุขในสังคมเสียเอง ฝรั่งเขามีภาษิตว่า “รัฐบาลคือความชั่วร้ายที่จำเป็น” บ้าง “การปกครองที่ดีที่สุดคือการปกครองที่น้อยที่สุด” บ้าง “การปกครองตนเองดีกว่าการปกครองที่ดีที่สุด” บ้าง เป็นอาหารสมองให้เรามองสภาพสังคมและวิวัฒนาการของแต่ละประเทศซึ่งไม่เหมือนกัน ของตะวันออกเราก็มีทั้งภาษิตและปรัชญาไม่ด้อยกว่าตะวันตก เช่นที่เห็นว่า “ผู้ปกครองไม่ดี ยิ่งกว่าห่าลงกิน” ก็มี เป็นต้น
แต่เรื่องของความเป็นประชาธิปไตยในกระแสโลกปัจจุบันมาจากตะวันตก ถือว่าประชาธิปไตยต้องมาจากความยินยอมพร้อมใจของประชาชน เคารพในหลักรัฐธรรมนูญนิยมหรือประชาธิปไตย อันได้แก่ (1) การค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน (2) การจำกัดอำนาจของรัฐบาล ให้รัฐบาลใช้อำนาจได้เฉพาะตามเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่ได้รับมอบเท่านั้น และ (3) การจัดรูปแบบ กลไก และอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลให้มีความรับผิดชอบ สามารถรักษากฎเกณฑ์ในข้อที่ (1) และ (2) ได้
ส่วนรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง และการเลือกตั้งนั้น เป็นแต่เพียงคู่มือ พาหะและพิธีกรรมที่จะนำไปสู่ระบบการปกครองที่ต้องการตามข้อที่ (3)
เผด็จการหรือประชาธิปไตยจอมปลอมก็สามารถมีรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองและการเลือกตั้งได้ ในความเป็นจริงที่ปรากฏในประเทศไทยอยู่เสมอๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5-6 ปีที่ผ่านมา มีการดำเนินการและพฤติกรรมที่ขัดกัน และเป็นการทำลายประชาธิปไตยโดยตรงด้วยซ้ำ
ขณะนี้ พวกปีศาจคาบคัมภีร์ในสภาฯ น้ำเน่าทั้งตัวการ บริวาร และตัวแทนที่ปฏิเสธวิถีชีวิตประชาธิปไตย ยกเว้นแต่เรื่องที่พวกตนได้ประโยชน์ ถึงพร้อมด้วยวจีทุจริต มโนทุจริต และกายทุจริต ไม่เคารพกฎหมาย ทำลายสิทธิมนุษยชน ปล้นทรัพย์แผ่นดิน ดูหมิ่นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถูกศาลพิพากษาแล้วไม่ฟัง และยังจะต้องสู้อีกหลายคดี กำลังเรียกร้องสิทธิที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจะแก้ตัว รักษาและส่งเสริมเดชานุภาพของพวกตน ซึ่งอ้างว่ามาจากการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม
ยกให้เขาไปเสียเลยดีไหมครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพ ประชาธิปไตยของพวกเราคอยได้ เอาไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ.