เพราะมีเหตุปัจจัย จึงเขียนไว้เพื่อไม่ให้ประมาท ทั้งนายสมัคร สุนทรเวช และคณะรัฐบาลของเขา กำลังตกเป็นแนวร่วมมุมกลับชั้นสูงให้กับขบวนการแนวร่วมของลัทธิเหมา ด้วยมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายทุนใหญ่, นายสมัคร สุนทรเวช เป็นพวกขวาจัด ขวาตกขอบ แต่เขากลับร่วมมือกับแนวทางฝ่ายซ้ายทั้งที่อยู่ในพรรคฯ, อยู่ในรัฐบาล และฝ่ายซ้ายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล พวกเขามีจุดมุ่งหมายให้เกิดความขัดแย้งไปทั่วประเทศและทำให้รัฐบาลอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดสงครามกลางเมือง และยึดอำนาจได้ในที่สุด บางคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ติดตามดูกันต่อไปก็แล้วกัน
อินเดีย รัฐบาลกำลังปราบปรามกองกำลังติดอาวุธของลัทธิเหมา (Maoists) ในหลายๆ พื้นที่ เช่นที่ Munger District, Bihar State, และในรัฐอื่นๆ ลัทธิเหมาในอินเดียได้พัฒนาขึ้นจนมีองค์ประกอบครบ คือ (1) พรรค (หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์อินเดีย) (2) แนวร่วม (United Front) และ (3) กองกำลังติดอาวุธ
ที่ประเทศไทยก็ลัทธิเหมากำลังเคลื่อนไหวอยู่เช่นเดียวกัน หวังจะกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งหนึ่ง ผู้ไม่ชำนาญการทางการเมือง ย่อมมองไม่เห็นว่าขบวนการแนวร่วม (United Front) ของลัทธิเหมา ทั้งแนวร่วมทางตรง แนวร่วมมุมกลับ และแนวร่วมทางอ้อมกำลังกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ บางคนได้เป็นใหญ่เป็นโตหลายรอบแล้ว เป็นรัฐมนตรีบ้าง เป็นนายกรัฐมนตรีบ้าง แต่กลับหารู้ตัวไหมว่าตนเองนั้นกำลังตกเป็นแนวร่วมมุมกลับชั้นสูงให้กับแนวทางรุนแรง เป็นปุ๋ย เป็นกำลังทั้งทางยุทธวิธี และเป็นกำลังทางยุทธศาสตร์ ให้กับแนวทางสาธารณรัฐ
เรามาติดตามพุทธทำนายในตอนที่ 3 ว่าพระพุทธองค์ทรงทำนายไว้อย่างแม่นยำมาก
1. ฝันเห็นว่าสระปทุมา มีหมู่กุ้งกุมภามัจฉาหอย วารีรอบขอบใสมิใช่น้อย กลางกลับถอยข้นขุ่นสนุ่นมี
“พระทรงญาณบรรหารให้เห็นเหตุ ว่าประเทศที่สุขเกษมศรี กษัตริย์ทรงสืบวงศ์ประเพณี เป็นบุรีที่ประชุมประชากร จะแรมร้างว่างราเป็นป่าแขม ทั้งคาแฝกแทรกแซมขึ้นสลอน ทางชลวิกลกลายเป็นชายดอน ราษฎร์จะร้อนแรมสุขทุกเดือนปี ด้วยกรรมแรงแห่งสัตว์วิบัติเป็น ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นเป็นถ้วนถี่ น้ำที่กลางขุ่นข้นคือมนตรี จะยำยีบีฑาประชาชน จะรุกรานแก่ไพร่ใส่ระดม กดขี่ข่มเอาทรัพย์อยู่สับสน ในเดือนนอกเดือนใช้อยู่เบื้องบน สุดจะทนที่จะทานด้วยการรุม การหลวงแล้วไม่นานทำการนาย พวกไพร่ราษฎร์พลัดพลายไปส้องสุม จะกลับลี้หนีหน้าเข้าป่าชุม ประคองคุมพวกเข็ญได้เย็นใจ”
คำทำนายนี้ถูกตรงเคยเป็นจริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความขัดแย้งทางการเมืองนักศึกษาหนีเข้าป่าไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในยุคที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ในยุครัฐบาลหอย (พ.ศ. 2519) ยังคงจำกันได้ดี โชคดีที่ยังมีนักคิด เจ้าลัทธิประชาธิปไตยอย่างนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ต้นกำเนิดนโยบายต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ยุติสงครามกลางเมือง ที่ 66/2523, มี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้เสนอและผลักดัน, และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้น เป็นผู้เห็นด้วยและได้ลงนามนโยบายดังกล่าว และได้ร่วมกันทุกภาคส่วนริเริ่มดำเนินการนโยบายต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ยุติสงครามกลางเมือง ที่ 66/2523 จนบรรลุเอาชนะยุติสงครามกลางเมืองได้สำเร็จ แต่สำเร็จเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เพราะนโยบาย 66/23 นั้นมีด้วยกัน 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกว่าด้วยการต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ยุติสงครามกลางเมือง ก็เป็นผลสำเร็จอย่างงดงามในช่วงกลางปี 2525 แต่พอขั้นตอนที่ 2 ว่าด้วยการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ หรืออย่างแท้จริง กลับล้มเหลวมาตลอด เนื่องจากถูกแนวร่วมมุมกลับชั้นสูง (พวกขวาตกขอบ พวกเกลียดชังคอมมิวนิสต์ ปราบปรามคอมมิวนิสต์ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ โดยไม่ใช้ปัญญา ปรากฏว่ายิ่งปราบ พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยิ่งเติบโตขึ้นเป็นลำดับ สามารถขยายอิทธิพลกว้างออกไปเป็นเขตสีชมพูทั่วประเทศมากถึง 57 จังหวัด ขยายได้มากที่สุดในยุครัฐบาลหอย (นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี) มีนายสมัครสุนทรเวชเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย)
ในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีพวกขวาจัดซึ่งเป็นแนวร่วมมุมกลับชั้นสูงชอบเล่นโขน อยู่แถวซอยสวนพลู “เสาหลักเผด็จการรัฐสภา” เคยประกาศกลางสนามหลวง “กูไม่กลัวมึง” “ไม่ว่าคำสั่งเลขที่เท่าใด ทับที่เท่าไร กูจะทำลายมันให้หมด” ป่านนี้ ขอโทษทีถ้าไม่มีนโยบายคำสั่งที่ 66/2523 ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเวียดนามไปแล้วก็ได้
ต่อมาประชาชนฝากความหวังไว้ที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ โดยต่างก็คิดว่าท่านน่าจะมีกุศโลบายดำเนินการสร้างประชาธิปไตยให้เป็นผลสำเร็จ เพราะท่านได้พยายามมานานหลายปีแล้วนับแต่เอาชนะและยุติสงครามกลางเมืองได้สำเร็จก็เป็นเวลาร่วม 20 กว่าปี แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ บริหารคนไม่เป็น ดูคนไม่ออก และแล้วท่านก็ถูกพวกนายทุนใหญ่หลอกใช้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ท่านไม่มีความรู้และความสามารถที่แท้จริง ฉายาที่ได้รับการยกย่องว่า “ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” แท้จริงฉายานี้น่าจะเป็นของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่า หลังจากนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ปรากฏชัดเป็นลำดับว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ล้มเหลวมาตลอด และตกเป็นเครื่องมือให้กับนายทุนใหญ่ พายเรือให้โจรนั่งกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ส่วนพวกที่เคยเข้าป่า ใส่ชุดทหารป่า สวมหมวกดาวแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ได้ออกมาเป็นใหญ่เป็นโต เป็นรัฐมนตรีมีอำนาจในทางการเมืองกันเป็นจำนวนมาก
10. ฝันว่าเห็นคนนั่งหุงข้าว หม้อเดียวซาวหลากล้นพ้นวิสัย บ้างดิบสุกคลุกระคนปนกันไป บ้างก็เปียกบ้างไหม้ไม่มีดี
“พุทธองค์ทรงแย้มโอษฐ์โปรดฎีกา ว่าเทพาที่รักบุรีศรี พระเสื้อเมืองทรงเมืองเรืองฤทธี ประเพณีพลาดเพลี่ยงไม่เที่ยงทรรศน์ เทวัญอันอารักษ์ศาสนา จะรักษาแต่คนที่อาสัจจ์ ผู้ถือศีลสิกขาศีลาวัตร มิตรที่รักจักตัดความรักตน ฝูงราษฎร์จะอาพาธเจ็บไข้ เกิดมรณภัยทุกแห่งหน ประเพณีปีเดือนก็เปื้อนปน ฤดูฝนหนาวร้อนก็ผ่อนไป”
คำทำนายนี้ผู้เขียนเห็นว่าถูกตรง แต่เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งยากที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเหตุปัจจัยของประเทศไทย อันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือกฎความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัยที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนั้นจึงมี” หรือความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ถ้าเหตุดีถูกต้องเป็นธรรม ผลก็จะดีถูกต้องเป็นธรรมตามมาแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางนับไม่ถ้วนไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
แต่ถ้าเหตุ คือรัฐธรรมนูญเป็นมิจฉาทิฐิ ผลก็เป็นมิจฉาทิฐิสร้างความเลวร้ายออกมามากมายนับไม่ถ้วน ไปยังส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดทั้งประเทศ
ฉะนั้น การที่นายกรัฐมนตรีไทยหลายคนที่ผ่านมาล้วนคิดแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ย่อมนำความหายนะมาสู่ประเทศและประชาชนอย่างไม่มีวันจบสิ้น รัฐบาลที่มีปัญญาจะสืบสาวไปหาเหตุที่แท้จริงของปัญหาทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นว่ามันคืออะไร? แล้วหาทางแก้เหตุแห่งปัญหานั้นอย่างถอดรากถอนโคน แต่ก็คงเป็นไปได้ยากมากสำหรับรัฐบาลของนายสมัครฯ
11. ฝันว่าอันแก่นจันทร์แดง ราคาแพงเลิศล้ำในต่ำใต้ ชายเขลาเอาพอแรงไม่แจ้งใจ ก็เอาไปแลกนมโคเสียง่ายดาย
“ทรงพระพุทธทำนายภิปรายโปรด ภายในโสตหมู่สงฆ์สิ้นทั้งหลาย จะแนะนำพระธรรมอันเพริศพราย เที่ยวเร่ขายแลกทรัพย์มาซื้อกิน ไม่อดสูดูร้ายละอายบาป นิยมหยาบเอื้อมอาจประมาทหมิ่น ก่อกรรมกระทำตนให้มลทิน เหมือนอย่างกินยาตายไม่หมายเป็น”
ข้อนี้เป็นความจริงที่ปกครองด้วยรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ดุจกิเลสาภิบาลครอบงำไปทั่วทั้งแผ่นดิน อุปมาว่า “น้ำเน่า ปลาย่อมได้รับพิษร้ายจากน้ำเน่าฉันใด สังคมที่ขาดธรรมะเป็นใหญ่ ขาดธรรมะเป็นธงชัย กลายเป็นสังคมเน่า ชนในสังคมย่อมได้รับผลร้ายจากสังคมฉันนั้น” แต่หากระทบพระผู้รู้แจ้งไม่
ฉะนั้นในสังคมที่ถือเครื่องรางวัตถุมงคลอันจอมปลอมเป็นใหญ่ ลงทุนน้อย แต่กำไรงาม เอาไว้หลอกคนโง่งมงาย พระศาสดาห้ามทำวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง แต่ผู้ที่อ้างตนเป็นภิกษุ มียศตำแหน่ง มีอำนาจ อยู่จำนวนหนึ่ง กำลังมอมเมาประชาชนผู้นับถือศาสนาตามสัญชาตญาณ ด้วยความศรัทธาแต่ขาดปัญญา พระสงฆ์ ภิกษุ พวกนี้ตักตวงประโยชน์จากความหลงผิดของประชาชน จึงควรประณามและเรียกว่าพวกอลัชชี (ผู้ไม่ละอาย)
12. ฝันเห็นน้ำเต้านั้นจมชล ดูพิกลไม่เคยพบประสบเห็น จะเกิดความยากล้ำเหลือลำเค็ญ สิ่งที่เย็นกลับจะร้อนทั่วธานี
“คือนักปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี ผู้พงศาตระกูลประยูรมี จะลับลี้เสื่อมสูญประยูรยศ คนพาลจะสำเริงบันเทิงหนา เจรจาผิดธรรมไม่กำหนด ใครปอกปลิ้นลิ้นลมเป็นคมคด รู้โป้ปดกลอกกลับจึงนับกัน”
ข้อนี้เป็นจริงสุดๆ ถ้ากลุ่มชนคนพาลสันดานหยาบครองบ้านครองเมือง เพราะพวกนี้หวังผลแต่รักษาประโยชน์ของตนและพวกพ้อง หาได้สนใจปัญหาของแผ่นดินไม่ ผู้ปกครองพวกนี้จะไม่กล้าเข้าใกล้นักปราชญ์ เพราะกลัวนักปราชญ์จะรู้ทันในความฉ้อฉลของตน
ต้องยอมรับว่าในช่วง 75 ปีกว่ามานี้ เป็นยุคที่ผู้ปกครองไทยติดยึดอยู่ในกรอบความเชื่อมิจฉาทิฐิ ที่ทำสืบๆ กันมา จะแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ได้มีทางเดียว คือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน (อ่านตอนต่อไป)
อินเดีย รัฐบาลกำลังปราบปรามกองกำลังติดอาวุธของลัทธิเหมา (Maoists) ในหลายๆ พื้นที่ เช่นที่ Munger District, Bihar State, และในรัฐอื่นๆ ลัทธิเหมาในอินเดียได้พัฒนาขึ้นจนมีองค์ประกอบครบ คือ (1) พรรค (หมายถึงพรรคคอมมิวนิสต์อินเดีย) (2) แนวร่วม (United Front) และ (3) กองกำลังติดอาวุธ
ที่ประเทศไทยก็ลัทธิเหมากำลังเคลื่อนไหวอยู่เช่นเดียวกัน หวังจะกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งหนึ่ง ผู้ไม่ชำนาญการทางการเมือง ย่อมมองไม่เห็นว่าขบวนการแนวร่วม (United Front) ของลัทธิเหมา ทั้งแนวร่วมทางตรง แนวร่วมมุมกลับ และแนวร่วมทางอ้อมกำลังกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ บางคนได้เป็นใหญ่เป็นโตหลายรอบแล้ว เป็นรัฐมนตรีบ้าง เป็นนายกรัฐมนตรีบ้าง แต่กลับหารู้ตัวไหมว่าตนเองนั้นกำลังตกเป็นแนวร่วมมุมกลับชั้นสูงให้กับแนวทางรุนแรง เป็นปุ๋ย เป็นกำลังทั้งทางยุทธวิธี และเป็นกำลังทางยุทธศาสตร์ ให้กับแนวทางสาธารณรัฐ
เรามาติดตามพุทธทำนายในตอนที่ 3 ว่าพระพุทธองค์ทรงทำนายไว้อย่างแม่นยำมาก
1. ฝันเห็นว่าสระปทุมา มีหมู่กุ้งกุมภามัจฉาหอย วารีรอบขอบใสมิใช่น้อย กลางกลับถอยข้นขุ่นสนุ่นมี
“พระทรงญาณบรรหารให้เห็นเหตุ ว่าประเทศที่สุขเกษมศรี กษัตริย์ทรงสืบวงศ์ประเพณี เป็นบุรีที่ประชุมประชากร จะแรมร้างว่างราเป็นป่าแขม ทั้งคาแฝกแทรกแซมขึ้นสลอน ทางชลวิกลกลายเป็นชายดอน ราษฎร์จะร้อนแรมสุขทุกเดือนปี ด้วยกรรมแรงแห่งสัตว์วิบัติเป็น ไม่เคยเห็นก็ได้เห็นเป็นถ้วนถี่ น้ำที่กลางขุ่นข้นคือมนตรี จะยำยีบีฑาประชาชน จะรุกรานแก่ไพร่ใส่ระดม กดขี่ข่มเอาทรัพย์อยู่สับสน ในเดือนนอกเดือนใช้อยู่เบื้องบน สุดจะทนที่จะทานด้วยการรุม การหลวงแล้วไม่นานทำการนาย พวกไพร่ราษฎร์พลัดพลายไปส้องสุม จะกลับลี้หนีหน้าเข้าป่าชุม ประคองคุมพวกเข็ญได้เย็นใจ”
คำทำนายนี้ถูกตรงเคยเป็นจริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความขัดแย้งทางการเมืองนักศึกษาหนีเข้าป่าไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในยุคที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ในยุครัฐบาลหอย (พ.ศ. 2519) ยังคงจำกันได้ดี โชคดีที่ยังมีนักคิด เจ้าลัทธิประชาธิปไตยอย่างนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ต้นกำเนิดนโยบายต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ยุติสงครามกลางเมือง ที่ 66/2523, มี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้เสนอและผลักดัน, และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในสมัยนั้น เป็นผู้เห็นด้วยและได้ลงนามนโยบายดังกล่าว และได้ร่วมกันทุกภาคส่วนริเริ่มดำเนินการนโยบายต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ยุติสงครามกลางเมือง ที่ 66/2523 จนบรรลุเอาชนะยุติสงครามกลางเมืองได้สำเร็จ แต่สำเร็จเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
เพราะนโยบาย 66/23 นั้นมีด้วยกัน 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกว่าด้วยการต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ยุติสงครามกลางเมือง ก็เป็นผลสำเร็จอย่างงดงามในช่วงกลางปี 2525 แต่พอขั้นตอนที่ 2 ว่าด้วยการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ หรืออย่างแท้จริง กลับล้มเหลวมาตลอด เนื่องจากถูกแนวร่วมมุมกลับชั้นสูง (พวกขวาตกขอบ พวกเกลียดชังคอมมิวนิสต์ ปราบปรามคอมมิวนิสต์ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ โดยไม่ใช้ปัญญา ปรากฏว่ายิ่งปราบ พรรคคอมมิวนิสต์ก็ยิ่งเติบโตขึ้นเป็นลำดับ สามารถขยายอิทธิพลกว้างออกไปเป็นเขตสีชมพูทั่วประเทศมากถึง 57 จังหวัด ขยายได้มากที่สุดในยุครัฐบาลหอย (นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี) มีนายสมัครสุนทรเวชเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย)
ในยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีพวกขวาจัดซึ่งเป็นแนวร่วมมุมกลับชั้นสูงชอบเล่นโขน อยู่แถวซอยสวนพลู “เสาหลักเผด็จการรัฐสภา” เคยประกาศกลางสนามหลวง “กูไม่กลัวมึง” “ไม่ว่าคำสั่งเลขที่เท่าใด ทับที่เท่าไร กูจะทำลายมันให้หมด” ป่านนี้ ขอโทษทีถ้าไม่มีนโยบายคำสั่งที่ 66/2523 ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศคอมมิวนิสต์อย่างเวียดนามไปแล้วก็ได้
ต่อมาประชาชนฝากความหวังไว้ที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ โดยต่างก็คิดว่าท่านน่าจะมีกุศโลบายดำเนินการสร้างประชาธิปไตยให้เป็นผลสำเร็จ เพราะท่านได้พยายามมานานหลายปีแล้วนับแต่เอาชนะและยุติสงครามกลางเมืองได้สำเร็จก็เป็นเวลาร่วม 20 กว่าปี แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ บริหารคนไม่เป็น ดูคนไม่ออก และแล้วท่านก็ถูกพวกนายทุนใหญ่หลอกใช้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ท่านไม่มีความรู้และความสามารถที่แท้จริง ฉายาที่ได้รับการยกย่องว่า “ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย” แท้จริงฉายานี้น่าจะเป็นของนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่า หลังจากนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ปรากฏชัดเป็นลำดับว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ล้มเหลวมาตลอด และตกเป็นเครื่องมือให้กับนายทุนใหญ่ พายเรือให้โจรนั่งกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ส่วนพวกที่เคยเข้าป่า ใส่ชุดทหารป่า สวมหมวกดาวแดงของพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ได้ออกมาเป็นใหญ่เป็นโต เป็นรัฐมนตรีมีอำนาจในทางการเมืองกันเป็นจำนวนมาก
10. ฝันว่าเห็นคนนั่งหุงข้าว หม้อเดียวซาวหลากล้นพ้นวิสัย บ้างดิบสุกคลุกระคนปนกันไป บ้างก็เปียกบ้างไหม้ไม่มีดี
“พุทธองค์ทรงแย้มโอษฐ์โปรดฎีกา ว่าเทพาที่รักบุรีศรี พระเสื้อเมืองทรงเมืองเรืองฤทธี ประเพณีพลาดเพลี่ยงไม่เที่ยงทรรศน์ เทวัญอันอารักษ์ศาสนา จะรักษาแต่คนที่อาสัจจ์ ผู้ถือศีลสิกขาศีลาวัตร มิตรที่รักจักตัดความรักตน ฝูงราษฎร์จะอาพาธเจ็บไข้ เกิดมรณภัยทุกแห่งหน ประเพณีปีเดือนก็เปื้อนปน ฤดูฝนหนาวร้อนก็ผ่อนไป”
คำทำนายนี้ผู้เขียนเห็นว่าถูกตรง แต่เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งยากที่คนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องเหตุปัจจัยของประเทศไทย อันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา คือกฎความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัยที่ว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนั้นจึงมี” หรือความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ถ้าเหตุดีถูกต้องเป็นธรรม ผลก็จะดีถูกต้องเป็นธรรมตามมาแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทางนับไม่ถ้วนไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
แต่ถ้าเหตุ คือรัฐธรรมนูญเป็นมิจฉาทิฐิ ผลก็เป็นมิจฉาทิฐิสร้างความเลวร้ายออกมามากมายนับไม่ถ้วน ไปยังส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดทั้งประเทศ
ฉะนั้น การที่นายกรัฐมนตรีไทยหลายคนที่ผ่านมาล้วนคิดแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุนอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว ย่อมนำความหายนะมาสู่ประเทศและประชาชนอย่างไม่มีวันจบสิ้น รัฐบาลที่มีปัญญาจะสืบสาวไปหาเหตุที่แท้จริงของปัญหาทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นว่ามันคืออะไร? แล้วหาทางแก้เหตุแห่งปัญหานั้นอย่างถอดรากถอนโคน แต่ก็คงเป็นไปได้ยากมากสำหรับรัฐบาลของนายสมัครฯ
11. ฝันว่าอันแก่นจันทร์แดง ราคาแพงเลิศล้ำในต่ำใต้ ชายเขลาเอาพอแรงไม่แจ้งใจ ก็เอาไปแลกนมโคเสียง่ายดาย
“ทรงพระพุทธทำนายภิปรายโปรด ภายในโสตหมู่สงฆ์สิ้นทั้งหลาย จะแนะนำพระธรรมอันเพริศพราย เที่ยวเร่ขายแลกทรัพย์มาซื้อกิน ไม่อดสูดูร้ายละอายบาป นิยมหยาบเอื้อมอาจประมาทหมิ่น ก่อกรรมกระทำตนให้มลทิน เหมือนอย่างกินยาตายไม่หมายเป็น”
ข้อนี้เป็นความจริงที่ปกครองด้วยรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ ดุจกิเลสาภิบาลครอบงำไปทั่วทั้งแผ่นดิน อุปมาว่า “น้ำเน่า ปลาย่อมได้รับพิษร้ายจากน้ำเน่าฉันใด สังคมที่ขาดธรรมะเป็นใหญ่ ขาดธรรมะเป็นธงชัย กลายเป็นสังคมเน่า ชนในสังคมย่อมได้รับผลร้ายจากสังคมฉันนั้น” แต่หากระทบพระผู้รู้แจ้งไม่
ฉะนั้นในสังคมที่ถือเครื่องรางวัตถุมงคลอันจอมปลอมเป็นใหญ่ ลงทุนน้อย แต่กำไรงาม เอาไว้หลอกคนโง่งมงาย พระศาสดาห้ามทำวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง แต่ผู้ที่อ้างตนเป็นภิกษุ มียศตำแหน่ง มีอำนาจ อยู่จำนวนหนึ่ง กำลังมอมเมาประชาชนผู้นับถือศาสนาตามสัญชาตญาณ ด้วยความศรัทธาแต่ขาดปัญญา พระสงฆ์ ภิกษุ พวกนี้ตักตวงประโยชน์จากความหลงผิดของประชาชน จึงควรประณามและเรียกว่าพวกอลัชชี (ผู้ไม่ละอาย)
12. ฝันเห็นน้ำเต้านั้นจมชล ดูพิกลไม่เคยพบประสบเห็น จะเกิดความยากล้ำเหลือลำเค็ญ สิ่งที่เย็นกลับจะร้อนทั่วธานี
“คือนักปราชญ์ผู้รู้ธรรมจะต่ำต้อย พาลาลอยเฟื่องฟูชูศักดิ์ศรี ผู้พงศาตระกูลประยูรมี จะลับลี้เสื่อมสูญประยูรยศ คนพาลจะสำเริงบันเทิงหนา เจรจาผิดธรรมไม่กำหนด ใครปอกปลิ้นลิ้นลมเป็นคมคด รู้โป้ปดกลอกกลับจึงนับกัน”
ข้อนี้เป็นจริงสุดๆ ถ้ากลุ่มชนคนพาลสันดานหยาบครองบ้านครองเมือง เพราะพวกนี้หวังผลแต่รักษาประโยชน์ของตนและพวกพ้อง หาได้สนใจปัญหาของแผ่นดินไม่ ผู้ปกครองพวกนี้จะไม่กล้าเข้าใกล้นักปราชญ์ เพราะกลัวนักปราชญ์จะรู้ทันในความฉ้อฉลของตน
ต้องยอมรับว่าในช่วง 75 ปีกว่ามานี้ เป็นยุคที่ผู้ปกครองไทยติดยึดอยู่ในกรอบความเชื่อมิจฉาทิฐิ ที่ทำสืบๆ กันมา จะแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ได้มีทางเดียว คือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน (อ่านตอนต่อไป)