xs
xsm
sm
md
lg

เยื่อรัก ใยแค้น ในแวดวงการเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ตอนนี้ยังคงป่วยด้วยโรคตับอยู่ ข้อมูลต่างๆ คงจะไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก ดังนั้นเพื่อไม่ให้บังเกิดจุดอ่อนในการแสดงความคิดความเห็นจนเป็นที่เย้ยหยันกัน ก็ควรจะได้พูดถึงเรื่องเก่าๆ ที่อาจนำพาและก่อตัวเป็นสถานการณ์ใหม่ทางการเมืองไทยในทุกวันนี้

เพราะเท่าที่นอนฟังการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลนั้น ครั้นเมื่อได้ยินนักการเมืองเก่าเขาเท้าความหลังประดาบกันจนเลือดเดือดแล้วก็ดูเหมือนว่าจะเป็นที่สนใจของผู้คน

แล้วใครจะนึกบ้างว่าคนที่แสดงบทบาทเป็นหลักสำคัญๆ ในวันอภิปรายวันแรกนั้นล้วนเป็นพวกนิติศาสตร์ธรรมศาสตร์รุ่นเดียวกันทั้งนั้น

ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ท่านนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ท่านประธานมีชัย ฤชุพันธุ์ ทั้งสามท่านนี้เป็นนักเรียนกฎหมายธรรมศาสตร์รุ่นเดียวกัน และดูเหมือนว่าท่านอดีตประธานอุทัย พิมพ์ใจชน ท่านปกิต พัฒนกุล ก็อยู่ในรุ่นเดียวกันนี้แหละ

ท่านเหล่านี้อยู่ในวงการการเมืองไทยมาช้านาน มีเส้นสายโยงใย ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านประวัติศาสตร์การเมืองมาค่อนข้างยาวนาน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้อาวุโสทางการเมืองของประเทศไทยในรุ่นนี้

ดังนั้นความรู้และประสบการณ์ตลอดจนเกียรติภูมิทางการเมืองจึงไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่าสงสัย และความจริงก็ควรที่ท่านเหล่านี้จะร่วมกันสร้างสรรค์บ้านเมืองของเราให้ร่มเย็นเป็นสุข ดังบทเพลงบทหนึ่งอันเป็นบทเพลงเชียร์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่า “รวมพลัง น้ำใจ ประณามเหล่าพาล อธรรมหรือจะทนทาน วิญญาณเพชรปานเราได้” หรือคำขวัญในยุคหลังที่ว่า “เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประชาชน”

คนทั้งปวงย่อมหวังตั้งความปรารถนาให้บรรดาท่านผู้อาวุโสทางการเมืองเหล่านี้ได้ร่วมจิตร่วมใจสมานฉันท์ปรองดองกัน สนองกระแสพระราชดำรัสในวันที่ทรงพระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าฯ ให้บังเกิดความสำเร็จให้จงได้

นี่คือผลพวงอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในวันอภิปรายนโยบายของรัฐบาล และเป็นผลพวงของคนที่เคยเป็นพวกพ้องเดียวกันมา เกิดกินอยู่ในชายคาเดียวกันมา

แล้วคนทั้งหลายก็สงสัยว่าทำไมท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช จึงพร่ำย้ำพูดย้ำทำย้ำกล่าวหาไปยังมือที่มองไม่เห็น จนเป็นเรื่องน่าเบื่อเต็มทีแล้ว และขณะเดียวกันผู้คนก็สงสัยว่าหลังจากการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็ประกาศตนเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีสนองกระแสพระราชดำรัสให้เป็นผลสำเร็จ

ทั้งยังกำชับเป็นพิเศษสำหรับบางคนด้วยว่า ไม่สมควรที่จะนำพระราชกระแสบางเรื่องที่รับสั่งโดยเฉพาะออกไปพูดภายนอก

ดังนั้นในสถานการณ์ชุลมุนและสับสนอยู่นี้ ก็ควรจะได้รู้เรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังอันเป็นรอยรักใยแค้นแต่อดีตเพื่อจะได้เข้าใจสิ่งที่เป็นไปได้ง่ายเข้า

ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช จะเกี่ยวข้องอะไรในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือไม่เป็นเรื่องที่ท่านจะต้องพูดจารับหรือปฏิเสธเอาเอง แต่ที่พูดได้ก็คือท่านได้เป็นรัฐมนตรีในระบบเผด็จการของพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ

โดยได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะที่มีอายุน้อยกว่านัก ดังนั้นความเป็นที่มาของรัฐมนตรีว่ามีที่มาจากสรวงสวรรค์หรือจากความฝันของหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ หรือเพราะผลงานใดๆ จึงอยู่ในความสงสัยกังขาของประชาชนตั้งแต่บัดนั้นมา

เพราะจู่ๆ อยู่ดีๆ ไหนเลยที่คนอายุ 30 จะโผล่พรวดขึ้นเป็นเสนาบดีกระทรวงใหญ่ของบ้านเมืองได้

รัฐบาลชุดนั้นเขาเรียกกันว่ารัฐบาลหอย และคณะปฏิรูปฯ ทำหน้าที่เป็นเปลือกหอย รัฐบาลทำหน้าที่เป็นเนื้อหอย โดยมีท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี

ในขณะนั้นท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร ยังคงเป็นผู้พิพากษา โดยเคยเป็นศิษย์คนสำคัญของท่านบุศย์ ขันธวิทย์ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ท่านจบกฎหมายจากประเทศอังกฤษ และเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคอมมิวนิสต์ของ กอ.รมน. ในขณะนั้นด้วย

มีวิทยากรมากมายหลายสาขาอาสาเป็นวิทยากรในการต่อสู้ทางความคิดกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และในกลุ่มนั้นจะมีท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช อยู่หรือไม่ ก็จำไม่ได้แล้ว

รัฐบาลหอยใช้อำนาจเผด็จการอย่างเข้มงวด ในที่สุดก็ถูกปฏิวัติตกจากเก้าอี้ไป โดยนายทหาร จปร. รุ่นที่ 7 คือรุ่นของพลตรีมนูญกฤต รูปขจร พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี พลตรีจำลอง ศรีเมือง นี่แหละ สนับสนุนให้พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อมา และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แม่ทัพภาคที่ 2 ในขณะนั้นก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

กระทรวงมหาดไทยได้รื้อฟื้นการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาลก่อนหน้าในโครงการใหญ่ 2 เรื่อง คือโครงการโรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นโครงการหนึ่ง และโครงการเงินกู้ธนาคารโลกในการก่อสร้างถนนกว่าร้อยสายในภาคอีสานอีกโครงการหนึ่ง มีคุณหญิงท่านหนึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนงานที่สำคัญอย่างยิ่ง

มีการจับกุมดำเนินคดีครั้งใหญ่ในข้อหาเรื่องทุจริต แต่พอเอาเข้าจริงคนที่ตกเป็นจำเลยก็มีแต่ข้าราชการระดับปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง ระดับอธิบดี และเอกชน ในขณะที่ฝ่ายการเมืองหลุดคดีเบื้องต้นไปได้หมด

ในเรื่องนั้นสื่อมวลชนได้ลงข่าวคราวอย่างกว้างขวางต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานในทำนองที่ว่าเป็นการกวาดล้างการทุจริตของกระทรวงมหาดไทยที่มีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้รับผิดชอบทางการเมือง และคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ในที่สุดผลคดีก็ไปไม่ถึง

ในชั้นศาล ศาลยกฟ้องคดีทั้งหมด แต่รอยรักใยแค้นยังคงฝังใจบรรดาผู้เกี่ยวข้องไม่สร่างคลาย เพราะสำคัญว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คือผู้นำในการกวาดล้างการทุจริตครั้งนั้น ความอาฆาตจองเวรจึงติดตามต่อเนื่องมา

ดังนั้นอะไรที่จะโยนไปให้มือที่มองไม่เห็นได้ จึงย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แต่ที่น่าเกลียดอยู่หน่อยหนึ่งก็คือแม้การปล่อยข่าวว่าสมาชิกบ้าน 111 จะมาเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจก็ยังโยนไปให้มือที่มองไม่เห็น

จึงทำให้การกล่าวหามือที่มองไม่เห็นเป็นเรื่องเหลวใหล แต่ใครเล่าจะรู้รอยแค้นนี้?

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในทุกวันนี้เป็นประธานองคมนตรี เป็นรัฐบุรุษที่มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง เป็นผู้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งด้วยพระองค์เอง และได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมาเป็นเวลาช้านาน

ไม่เป็นวิสัยที่ใครไหนก็ตามที่มีความจงรักภักดีจะจาบจ้วงล่วงเกินโดยไร้เหตุผล

ในบรรดาคณะองคมนตรีในวันนี้ นอกจากพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรีแล้ว ยังมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เคยร่วมรัฐบาลอยู่กับท่านหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ดำรงตำแหน่งองคมนตรีอยู่ด้วย

คนที่ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เคารพนับถือก็เป็นองคมนตรี คนที่ท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร เคารพนับถือก็เป็นประธานองคมนตรี ล้วนอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน ล้วนมีหน้าที่ทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุขด้วยกัน

คนจีนบอกว่า “หวงเหอมาจากสวรรค์” ในขณะที่คนอินเดียก็บอกว่า “คงคามาจากสวรรค์” ทั้งหวงเหอและคงคาล้วนมาจากสวรรค์ทั้งนั้น ล้วนต้องหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ธัญญาหารและชีวิตทั้งปวงให้ร่มเย็นเป็นสุขด้วยกันทั้งนั้น

ในวันนี้รัฐบาลของท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ก็คือรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การที่นายกรัฐมนตรีเรียกร้องต่อคณะรัฐมนตรีให้สนองกระแสพระราชดำรัสจึงเป็นเรื่องที่ชอบที่ควร

อำนาจนั้นไม่จีรังยั่งยืน ชีวิตนี้ไม่จีรังยั่งยืน แต่ความดี ความชั่วจีรังยั่งยืน

ในฐานะทายาทของมหาเสวกผู้ภักดีต่อพระราชจักรีวงศ์ ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช จะต้องทำให้การปฏิบัติเป็นที่ประจักษ์และเกิดความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแท้จริง เป็นรัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง

ต้องใช้การปฏิบัติที่เป็นจริงพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้ไม่ใช่ตัวแทนหรือนอมินีของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เจว็ดของใครคนใดคนหนึ่ง และต้องไม่จำนนต่อแรงบีบคั้นอันไม่ถูกต้องทั้งปวง

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า วะโส อิสริยัง โลเก อันแปลว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก อำนาจนี้มีความยิ่งใหญ่กว่าเหนือกว่าอำนาจของพ่อค้า ขุนนาง ข้าราชการ และประชาชนทั้งปวง

รัฐบาลของท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ครองอำนาจรัฐนี้ จึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องยำเกรงในการทำความถูกต้องให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง

เพราะอำนาจนี้เมื่อได้ใช้โดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามแล้วก็จะก่ออานุภาพและพลานุภาพอย่างใหญ่หลวงในการ “ประณามพาล พิทักษ์ธรรม” และนำความร่มเย็นเป็นสุขสู่ราชอาณาจักรนี้

ผู้มีความเป็นธรรมทั้งปวงย่อมยืนเคียงข้างสนับสนุนรัฐบาลที่ว่านี้ แม้จะถูกบั่นทอนบีบคั้นประการใดก็ย่อมไม่มีภยันตรายใดไปแผ้วพานได้เป็นมั่นคง

การเมืองเป็นเรื่องของการต่อรองก็จริงอยู่ แต่ความถูกต้องก็ต้องมีอยู่ ความสัตย์สุจริตและการคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนก็ต้องมีอยู่

อีกไม่นานคงได้เห็นความจริงกันว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของใคร? คือเป็นรัฐบาลนอมินีหรือเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหากการไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรมที่พึงเป็นแล้ว ผู้ใดก่อกรรมอันนั้นก็ย่อมต้องรับผลแห่งวิบากกรรมเป็นธรรมดา

เราได้แต่ตั้งใจหวังและเอาใจช่วยให้รัฐบาลนี้กอบกู้ฟื้นฟูชาตินำพาชาติบ้านเมืองสู่ความร่มเย็นเป็นสุขสืบไป และนำพาชาติไปตลอดรอดฝั่งจนครบเทอม

และด้วยความหวังว่าประชาชนจะไม่ผิดหวัง!
กำลังโหลดความคิดเห็น