ผู้จัดการรายวัน-‘จักรภพ เพ็ญแข’ ออกลายแล้ว ลุแก่อำนาจแทรกแซงสื่อ สั่งเชือด ‘เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง’ พ้นหน้าปัทวิทยุหลังพิธีกรชื่อดังนำเนื้อหาและหลักฐานในหนังสือจับโกหก ‘สมัคร สุนทรเวช’ ในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ อ่านออกอากาศ อ้างเนื้อหา-รายการไม่เหมาะสมกับภาวการณ์ปัจจุบัน ด้าน“จักรภพ” โยนอธิบดีกรมกร๊วกแจง
รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวานนี้(13ก.พ.) รายการ ‘มุมมองของเจิมศักดิ์’โดย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเคยออกอากาศในช่วงเวลา 8.00-9.00น.เป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ทางคลื่นวิทยุ วิสดอมเรดิโอ 105 เมกะเฮิร์ตซ กรมประชาสัมพันธ์ ได้หายไปโดยไม่มีการแจ้งสาเหตุท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของแฟนประจำของรายการ
ต่อมาแฟนรายการคลื่นวิทยุดังกล่าวก็ได้ฟังคำพูดเปรียบเปรยระหว่างนายเถลิง สมทรัพย์ และ นายโสภณ องค์การณ์ สองผู้ดำเนินรายการ ภาษากับการเมือง ซึ่งออกอากาศช่วงก่อนหน้าและได้ถูกขยายเวลามาแทนที่นายเจิมศักดิ์ชั่วคราวในคลื่นเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่น่าจะเกี่ยวโยงกับการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป “ระยะนี้ลมมันแรง คนตัวใหญ่ที่ไม่ยอมลู่ตามลมก็อยู่ลำบาก”
ผู้ดำเนินรายการวิทยุคนหนึ่งซึ่งทราบความเคลื่อนไหวดังกล่าว เปิดเผย ‘ผู้จัดการรายวัน’ในเวลาต่อมาว่า รายการมุมมองของเจิมศักดิ์ เป็นรายการวิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันของบ้านเมือง ซึ่งวันก่อนหน้านี้ (12 ก.พ.) หลังจากนายเจิมศักดิ์จัดรายการเสร็จสิ้นตามปกติราว 10โมง ทางสถานีโดยบริษัทฟาติมาซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานคลื่น 105 เมกะเฮิร์ซจากกรมประชาสัมพันธ์ได้โทรศัพท์เข้าหานายเจิมศักดิ์
“เท่าที่ทราบจากคนใกล้ชิดของนายเจิมศักดิ์ก็คือ ทางฟาติมาโทรมาขอหารือกับนายเจิมศักดิ์ว่าได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ในรัฐบาลให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเนื้อหาและรายการของทั้งคลื่นเพื่อความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ของนายเจิมศักดิ์จะบรรเทาความเสียหายกันได้อย่างไร หากจะถอดรายการมุมมองของเจิมศักดิ์ออกจากผังรายการวิสดอมเรดิโอ ” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า นายเจิมศักดิ์ ขณะนั้นทราบโดยนัยยะว่า การถอดรายการของเขาน่าจะเป็นเหตุผลที่มาจากเนื้อหารายการที่นำเสนอเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมานั่นเอง เพราะหยิบยกกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นถึงเหตุการณ์ ‘6 ตุลาคม 2519’ ว่ามีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวนั้นเป็นเรื่องโกหก
“วันนั้นถ้าใครได้ฟังก็จะทราบว่า เนื้อหาที่นายเจิมศักดิ์ นำมาวิเคราะห์เสนอต่อผู้ฟังเป็นการให้ข้อมูลที่นายสมัครต้องไม่อยากรับฟังหรือให้คนทั่วไปได้รับรู้”
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า เมื่อนายเจิมศักดิ์ ถามผู้บริหารฟาติมากลับไปว่า แสดงว่าผู้ใหญ่ที่ว่าไม่พอใจเนื้อหาใช่หรือไม่ และคนคนนั้นเป็นใคร ก็มีคำตอบมาว่า เป็น นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลสื่อ ดูแลกรมประชาสัมพันธ์สั่งมาเพราะไม่พอใจเนื้อหาจริง ” แหล่งข่าวกล่าว
เขาวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของการแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา45- 46-47 ว่าด้วย สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนจะต้องได้รับการคุ้มครอง โดย ไม่เพียงแต่ห้ามปิดกิจการสื่อมวลชนเท่านั้น ยังห้ามแทรกแซงสื่อมวลชนในการเสนอข่าวสารและหากมีการดำเนินการดังกล่าวไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ก็ถือเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ แต่นายจักรภพไม่สนใจ โดยมุ่งหมายจะปรามสื่อที่ทำหน้าที่เป็นปฎิปักษ์กับรัฐบาลอย่างที่สมัยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยทำอยู่เสมอ
กรณีของนายเจิมศักดิ์ ก็ไม่ต่างกับการเชือดไก่ให้ลิงดู ขนาดนายเจิมศักดิ์ซึ่งเป็นนักวิชาการและสื่อมวลชนที่มีชื่อเสียงในวงการยังโดน คนอื่นๆก็คงไม่กล้า
“อาจารย์เจิมศักดิ์ท่านไม่ต้องการให้ทางฟาติมาเดือดร้อนในฐานะนายจ้างซึ่งทางฝ่ายนายจักรภพ คงหยิบยกเรื่องสัญญาสัมปทานขู่มาแน่ ก็ยินดีที่จะยุติการจัดรายการเอง ตั้งแต่เมื่อเช้าวันนี้(13ก.พ.)” แหล่งข่าวกล่าว
ฟาติมามีสัญญาสัมปทานกับกรมประชาสัมพันธ์ 2 ปีเริ่มปี 2551 สิ้นสุดปี 2552 โดยเพิ่งได้รับการต่อสัญญาใหม่เมื่อเร็วๆนี้
ทั้งนี้ เนื้อหาของรายการมุมมองของเจิมศักดิ์เมื่อวันที่ 12ก.พ. ซึ่งเป็นชนวนครั้งนี้ ผู้ดำเนินรรายการชื่อดัง เริ่มต้นจัดรายการด้วยการแสดงความเห็นต่อกรณีที่นายสมัครจะตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่เพื่อเยียวยาพนักงานทีไอทีวีที่ถูกเลิกจ้างจากการมีทีวีสาธารณะในยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จากนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กรณี การแต่งตั้งบุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทยมาทำงานเป็นเลขานุการรมช.สาธารณสุข
ทั้งสองเรื่องนายเจิมศักดิ์ วิเคราะห์ไม่มากแต่จะมาเน้นกรณีของนายสมัครที่ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ โดยได้หยิบยกเนื้อหาในหนังสือที่ชื่อ “โหงว นั้ง ปัง : Gang of Five สันดานรัฐบาลหอย : เราสามารถจะเรียนรู้จากความผิดพลาดได้มากกว่าจากความสำเร็จ” เขียนโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ (อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และผู้บริหารพีทีวี) และนายศิระ ดีระพัฒน์ ตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2521 ซึ่งมีบทความที่นายวีระเขียนจับโกหกนายสมัคร สุนทรเวช ในหลายกรณี รวมถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มาอ่านให้ผู้ฟังฟัง
อาทิ ช่วงหนึ่งของรายการที่อ่านจากหนังสือดังกล่าว ระบุว่า “ นายวีระ เขียนถึงนายสมัครว่า เป็น “คุณซ่า” ทายาททางการเมือง “ฯพณฯ หอย” นายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกรัฐมนตรี และชอบพูดโกหกหลายครั้ง เช่น ขณะที่นายสมัครเป็นโฆษกทางโทรทัศน์ในงานรับบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายสมัครได้พูดบนเวทีว่านายธรรมนูญ เทียนเงิน อาของตัวเองบริจาคเงิน 5 แสนบาท ซึ่งต่อมานายธรรมนูญได้เขียนยอมรับในหนังสือสูจิบัตรงาน “29 เมษายนรำลึก” เมื่อปี 2521 ว่า ตนไม่ได้บริจาคเงินจำนวนดังกล่าว แต่นายสมัครพูดออกโทรทัศน์เพื่อให้ตนเองได้ชื่อเสียงเท่านั้น
ส่วนกรณีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายวีระได้เขียนถึงเหตุการณ์ที่นายสมัครเคยพูดกับนักเรียนไทยที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2520 ขณะที่นายสมัครยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและเดินทางไปชี้แจงเหตุการณ์ดังกล่าวในประเทศ
ในวันนั้น นายสมัครได้พูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา ว่า เป็นการชุมนุมต่อต้านของนักศึกษาโดยมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง การต่อต้านเลยไปถึงขั้นหมิ่นพระบรมศานุวงศ์ ประชาชนที่ดูข่าวจึงเกิดความเคียดแค้น จึงไปรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงและจะบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตำรวจก็เข้าไปจึงเกิดปะทะกัน โดยฝ่ายนักศึกษายิงป้องกันไม่ให้ตำรวจเข้าไป ฝ่ายบุกเข้าไปก็มีปืน ฝ่ายข้างในก็มีปืน ผลการยิงกันมีคนตาย 48 คน มีคนถูกเผาตาย 4 คน
นายสมัคร ยังพูดกับนักเรียนไทยที่ฝรั่งเศสอีกว่า การเผาคนที่สนามหลวงนั้น เป็นที่ข้องใจของเจ้าหน้าที่อย่างมาก เพราะไม่ใช่วิสัยคนไทย มีการเอาศพไปแขวนคอ เอาไม้ไปตี เอาเก้าอี้ไปตี แล้วเอามาวาง แล้วจุดไฟเผา ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ แต่มีการสืบสวนแล้วพบว่าเป็นการทำลายหลักฐาน เพื่อไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร และที่ศพก็มีรูปโฮจิมินห์เล็ก ๆ อยู่ด้วย
ส่วนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีหมาย่าง หมาตุ๋น หลายตัวยังมีมีดเสียบยู่ ตนไปดูหลักฐานที่โรงพักชนะสงคราม มีหลักฐานว่ามีคนชาติอื่น คือเวียดนาม เข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนที่ถูกเผา ก็เพื่อทำลายหลักฐานไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร”
นายเจิมศักดิ์ อ่านออกอากาศอีกว่า คำพูดของนายสมัครดังกล่าว แสดงว่านายสมัครก็รู้ว่ามีคนตายในเหตุการณ์ถึง 48 คน ซึ่งแต่คนมีรายชื่อ มีการสอบสวน แต่เมื่อวันสองวันมานี้นายสมัครกลับไปพูดกับซีเอ็นเอ็นอีกอย่าง คนที่เป็นถึงเสนาบดี เป็นสุดยอดของมนตรีแห่งรัฐ แต่ให้สัมภาษณ์อย่างนี้ ลองคิดดูก็แล้วกัน
นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของรายการ นายเจิมศักดิ์ ได้บอกต่อผู้ฟังรายการของเขาว่า ในวันพุธที่ 13 ก.พ.จะเอาเนื้อหาของจดหมาย พระสุรินทร์ มาศดิตถ์ ที่พูดถึงกรณีเดียวกันมาอ่านออกอากาศ แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาส ถูกใบสั่งจากนายจักรภพถอดผังรายการเสียก่อน.
“จักรภพ” โยนอธิบดีกรมกร๊วกแถลง
นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปฎิเสธกรณีการถอดรายการของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ “มุมมองเจิมศักดิ์” ว่า รัฐบาลไม่ได้สั่งให้มีการถอดรายการของนายเจิมศักดิ์ แต่อย่างใดและตนได้ให้นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ประสานงานไปยังบริษัทฟาติมา ซึ่งเป็นเจ้าของคลื่น 105 ให้เปิดการแถลงข่าวเพื่อแสดงข้อเท็จจริงในวันนี้ ( 14 ก.พ.) โดยมีอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ร่วมกันแถลงข่าวไขข้อสงสัยทั้งหมด
นายจักรภพ กล่าวว่า ช่วงนี้ตนอาจจะมีนโยบายไปยังแต่ละสถานีว่า อย่าเพิ่งมีการปรับเปลี่ยนนโยบาย หรือดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆในช่วงนี้จนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนโยบายสื่อ ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าน่าจะมีความชัดเจน รวมถึงเรื่องทีวีช่องใหม่ เพราะไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นที่จะถูกมองว่า รัฐบาลเป็นคนสั่งการ เนื่องจากว่าในช่วงนี้ก็เป็นธรรมดาที่อาจจะมีการทำอะไรสนองนโยบาย โดยที่รัฐบาลไม่ได้สั่งเพื่อเป็นการเอาใจ
ทั้งนี้ รายการดังกล่าวมีบุคคลร่วมจัด 3 คน ประกอบด้วย นายเจิมศักดิ์ นายเถกิง สมทรัพย์ และกรุณา บัวคำศรี ในเวลา 8.30 -9.30 น.
รายงานข่าวแจ้งว่า เช้าวานนี้(13ก.พ.) รายการ ‘มุมมองของเจิมศักดิ์’โดย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเคยออกอากาศในช่วงเวลา 8.00-9.00น.เป็นประจำทุกวันจันทร์-ศุกร์ทางคลื่นวิทยุ วิสดอมเรดิโอ 105 เมกะเฮิร์ตซ กรมประชาสัมพันธ์ ได้หายไปโดยไม่มีการแจ้งสาเหตุท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัยของแฟนประจำของรายการ
ต่อมาแฟนรายการคลื่นวิทยุดังกล่าวก็ได้ฟังคำพูดเปรียบเปรยระหว่างนายเถลิง สมทรัพย์ และ นายโสภณ องค์การณ์ สองผู้ดำเนินรายการ ภาษากับการเมือง ซึ่งออกอากาศช่วงก่อนหน้าและได้ถูกขยายเวลามาแทนที่นายเจิมศักดิ์ชั่วคราวในคลื่นเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่น่าจะเกี่ยวโยงกับการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป “ระยะนี้ลมมันแรง คนตัวใหญ่ที่ไม่ยอมลู่ตามลมก็อยู่ลำบาก”
ผู้ดำเนินรายการวิทยุคนหนึ่งซึ่งทราบความเคลื่อนไหวดังกล่าว เปิดเผย ‘ผู้จัดการรายวัน’ในเวลาต่อมาว่า รายการมุมมองของเจิมศักดิ์ เป็นรายการวิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันของบ้านเมือง ซึ่งวันก่อนหน้านี้ (12 ก.พ.) หลังจากนายเจิมศักดิ์จัดรายการเสร็จสิ้นตามปกติราว 10โมง ทางสถานีโดยบริษัทฟาติมาซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานคลื่น 105 เมกะเฮิร์ซจากกรมประชาสัมพันธ์ได้โทรศัพท์เข้าหานายเจิมศักดิ์
“เท่าที่ทราบจากคนใกล้ชิดของนายเจิมศักดิ์ก็คือ ทางฟาติมาโทรมาขอหารือกับนายเจิมศักดิ์ว่าได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ในรัฐบาลให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเนื้อหาและรายการของทั้งคลื่นเพื่อความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ของนายเจิมศักดิ์จะบรรเทาความเสียหายกันได้อย่างไร หากจะถอดรายการมุมมองของเจิมศักดิ์ออกจากผังรายการวิสดอมเรดิโอ ” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า นายเจิมศักดิ์ ขณะนั้นทราบโดยนัยยะว่า การถอดรายการของเขาน่าจะเป็นเหตุผลที่มาจากเนื้อหารายการที่นำเสนอเมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมานั่นเอง เพราะหยิบยกกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นถึงเหตุการณ์ ‘6 ตุลาคม 2519’ ว่ามีผู้เสียชีวิตเพียงคนเดียวนั้นเป็นเรื่องโกหก
“วันนั้นถ้าใครได้ฟังก็จะทราบว่า เนื้อหาที่นายเจิมศักดิ์ นำมาวิเคราะห์เสนอต่อผู้ฟังเป็นการให้ข้อมูลที่นายสมัครต้องไม่อยากรับฟังหรือให้คนทั่วไปได้รับรู้”
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า เมื่อนายเจิมศักดิ์ ถามผู้บริหารฟาติมากลับไปว่า แสดงว่าผู้ใหญ่ที่ว่าไม่พอใจเนื้อหาใช่หรือไม่ และคนคนนั้นเป็นใคร ก็มีคำตอบมาว่า เป็น นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลสื่อ ดูแลกรมประชาสัมพันธ์สั่งมาเพราะไม่พอใจเนื้อหาจริง ” แหล่งข่าวกล่าว
เขาวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของการแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา45- 46-47 ว่าด้วย สิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนจะต้องได้รับการคุ้มครอง โดย ไม่เพียงแต่ห้ามปิดกิจการสื่อมวลชนเท่านั้น ยังห้ามแทรกแซงสื่อมวลชนในการเสนอข่าวสารและหากมีการดำเนินการดังกล่าวไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ก็ถือเป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ แต่นายจักรภพไม่สนใจ โดยมุ่งหมายจะปรามสื่อที่ทำหน้าที่เป็นปฎิปักษ์กับรัฐบาลอย่างที่สมัยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยทำอยู่เสมอ
กรณีของนายเจิมศักดิ์ ก็ไม่ต่างกับการเชือดไก่ให้ลิงดู ขนาดนายเจิมศักดิ์ซึ่งเป็นนักวิชาการและสื่อมวลชนที่มีชื่อเสียงในวงการยังโดน คนอื่นๆก็คงไม่กล้า
“อาจารย์เจิมศักดิ์ท่านไม่ต้องการให้ทางฟาติมาเดือดร้อนในฐานะนายจ้างซึ่งทางฝ่ายนายจักรภพ คงหยิบยกเรื่องสัญญาสัมปทานขู่มาแน่ ก็ยินดีที่จะยุติการจัดรายการเอง ตั้งแต่เมื่อเช้าวันนี้(13ก.พ.)” แหล่งข่าวกล่าว
ฟาติมามีสัญญาสัมปทานกับกรมประชาสัมพันธ์ 2 ปีเริ่มปี 2551 สิ้นสุดปี 2552 โดยเพิ่งได้รับการต่อสัญญาใหม่เมื่อเร็วๆนี้
ทั้งนี้ เนื้อหาของรายการมุมมองของเจิมศักดิ์เมื่อวันที่ 12ก.พ. ซึ่งเป็นชนวนครั้งนี้ ผู้ดำเนินรรายการชื่อดัง เริ่มต้นจัดรายการด้วยการแสดงความเห็นต่อกรณีที่นายสมัครจะตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่เพื่อเยียวยาพนักงานทีไอทีวีที่ถูกเลิกจ้างจากการมีทีวีสาธารณะในยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ จากนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กรณี การแต่งตั้งบุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทยมาทำงานเป็นเลขานุการรมช.สาธารณสุข
ทั้งสองเรื่องนายเจิมศักดิ์ วิเคราะห์ไม่มากแต่จะมาเน้นกรณีของนายสมัครที่ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ โดยได้หยิบยกเนื้อหาในหนังสือที่ชื่อ “โหงว นั้ง ปัง : Gang of Five สันดานรัฐบาลหอย : เราสามารถจะเรียนรู้จากความผิดพลาดได้มากกว่าจากความสำเร็จ” เขียนโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ (อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และผู้บริหารพีทีวี) และนายศิระ ดีระพัฒน์ ตีพิมพ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2521 ซึ่งมีบทความที่นายวีระเขียนจับโกหกนายสมัคร สุนทรเวช ในหลายกรณี รวมถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มาอ่านให้ผู้ฟังฟัง
อาทิ ช่วงหนึ่งของรายการที่อ่านจากหนังสือดังกล่าว ระบุว่า “ นายวีระ เขียนถึงนายสมัครว่า เป็น “คุณซ่า” ทายาททางการเมือง “ฯพณฯ หอย” นายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกรัฐมนตรี และชอบพูดโกหกหลายครั้ง เช่น ขณะที่นายสมัครเป็นโฆษกทางโทรทัศน์ในงานรับบริจาคเพื่อสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นายสมัครได้พูดบนเวทีว่านายธรรมนูญ เทียนเงิน อาของตัวเองบริจาคเงิน 5 แสนบาท ซึ่งต่อมานายธรรมนูญได้เขียนยอมรับในหนังสือสูจิบัตรงาน “29 เมษายนรำลึก” เมื่อปี 2521 ว่า ตนไม่ได้บริจาคเงินจำนวนดังกล่าว แต่นายสมัครพูดออกโทรทัศน์เพื่อให้ตนเองได้ชื่อเสียงเท่านั้น
ส่วนกรณีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 นายวีระได้เขียนถึงเหตุการณ์ที่นายสมัครเคยพูดกับนักเรียนไทยที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2520 ขณะที่นายสมัครยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและเดินทางไปชี้แจงเหตุการณ์ดังกล่าวในประเทศ
ในวันนั้น นายสมัครได้พูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา ว่า เป็นการชุมนุมต่อต้านของนักศึกษาโดยมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง การต่อต้านเลยไปถึงขั้นหมิ่นพระบรมศานุวงศ์ ประชาชนที่ดูข่าวจึงเกิดความเคียดแค้น จึงไปรวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงและจะบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตำรวจก็เข้าไปจึงเกิดปะทะกัน โดยฝ่ายนักศึกษายิงป้องกันไม่ให้ตำรวจเข้าไป ฝ่ายบุกเข้าไปก็มีปืน ฝ่ายข้างในก็มีปืน ผลการยิงกันมีคนตาย 48 คน มีคนถูกเผาตาย 4 คน
นายสมัคร ยังพูดกับนักเรียนไทยที่ฝรั่งเศสอีกว่า การเผาคนที่สนามหลวงนั้น เป็นที่ข้องใจของเจ้าหน้าที่อย่างมาก เพราะไม่ใช่วิสัยคนไทย มีการเอาศพไปแขวนคอ เอาไม้ไปตี เอาเก้าอี้ไปตี แล้วเอามาวาง แล้วจุดไฟเผา ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ แต่มีการสืบสวนแล้วพบว่าเป็นการทำลายหลักฐาน เพื่อไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร และที่ศพก็มีรูปโฮจิมินห์เล็ก ๆ อยู่ด้วย
ส่วนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีหมาย่าง หมาตุ๋น หลายตัวยังมีมีดเสียบยู่ ตนไปดูหลักฐานที่โรงพักชนะสงคราม มีหลักฐานว่ามีคนชาติอื่น คือเวียดนาม เข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คนที่ถูกเผา ก็เพื่อทำลายหลักฐานไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร”
นายเจิมศักดิ์ อ่านออกอากาศอีกว่า คำพูดของนายสมัครดังกล่าว แสดงว่านายสมัครก็รู้ว่ามีคนตายในเหตุการณ์ถึง 48 คน ซึ่งแต่คนมีรายชื่อ มีการสอบสวน แต่เมื่อวันสองวันมานี้นายสมัครกลับไปพูดกับซีเอ็นเอ็นอีกอย่าง คนที่เป็นถึงเสนาบดี เป็นสุดยอดของมนตรีแห่งรัฐ แต่ให้สัมภาษณ์อย่างนี้ ลองคิดดูก็แล้วกัน
นอกจากนี้ ในช่วงท้ายของรายการ นายเจิมศักดิ์ ได้บอกต่อผู้ฟังรายการของเขาว่า ในวันพุธที่ 13 ก.พ.จะเอาเนื้อหาของจดหมาย พระสุรินทร์ มาศดิตถ์ ที่พูดถึงกรณีเดียวกันมาอ่านออกอากาศ แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาส ถูกใบสั่งจากนายจักรภพถอดผังรายการเสียก่อน.
“จักรภพ” โยนอธิบดีกรมกร๊วกแถลง
นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวปฎิเสธกรณีการถอดรายการของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในรายการ “มุมมองเจิมศักดิ์” ว่า รัฐบาลไม่ได้สั่งให้มีการถอดรายการของนายเจิมศักดิ์ แต่อย่างใดและตนได้ให้นายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ประสานงานไปยังบริษัทฟาติมา ซึ่งเป็นเจ้าของคลื่น 105 ให้เปิดการแถลงข่าวเพื่อแสดงข้อเท็จจริงในวันนี้ ( 14 ก.พ.) โดยมีอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ร่วมกันแถลงข่าวไขข้อสงสัยทั้งหมด
นายจักรภพ กล่าวว่า ช่วงนี้ตนอาจจะมีนโยบายไปยังแต่ละสถานีว่า อย่าเพิ่งมีการปรับเปลี่ยนนโยบาย หรือดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆในช่วงนี้จนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนโยบายสื่อ ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าน่าจะมีความชัดเจน รวมถึงเรื่องทีวีช่องใหม่ เพราะไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นที่จะถูกมองว่า รัฐบาลเป็นคนสั่งการ เนื่องจากว่าในช่วงนี้ก็เป็นธรรมดาที่อาจจะมีการทำอะไรสนองนโยบาย โดยที่รัฐบาลไม่ได้สั่งเพื่อเป็นการเอาใจ
ทั้งนี้ รายการดังกล่าวมีบุคคลร่วมจัด 3 คน ประกอบด้วย นายเจิมศักดิ์ นายเถกิง สมทรัพย์ และกรุณา บัวคำศรี ในเวลา 8.30 -9.30 น.