“เจิมศักดิ์” เปิดใจ ยุติรายการทางคลื่น 105 ยันมีข้อมูล “จักรภพ” โทร.สั่งปรับรายการ ชี้ “ฟาติมา” แถลงตัดตอนไม่ให้ถึงตัว รมต.แต่โยนผู้จัดแสดงสปิริตเอง เชื่อหาหลักฐานถอดถอน “เพ็ญ” ฐานแทรกแซงสื่อไม่ยาก ปรามถึงเป็นสื่อของรัฐ ก็ล้วงลูกไมได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ให้สัมภาษณ์
นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ให้สัมภาษณ์ เติมศักดิ์ จารุปราณ และ อัญชลีพร กุสุมภ์ ทางรายการ NEWS HOUR ชั่วโมงข่าวบ่าย 3 ทาง เอเอสทีวี เมื่อวันที่ 14 ก.พ.เปิดเผยถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง กรณียกเลิกการจัดรายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ทางวิทยุ Wisdom Radio คลื่น 105 เมกะเฮิรตช์ กรมประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.เป็นต้นมา
ถาม : เท่าที่ทราบดูเหมือนว่ากรมประชาฯ กับ Wisdom Radio หรือ ฟาติมา ยังไม่ได้แถลงข่าวอย่างที่นัดหมายไว้ใช่ไหมครับ
ตอบ : เท่าที่ทราบ โดยที่เขาได้แถลงในรายการเมื่อเช้านี้ เขาบอกว่า เป็นความวิตกของผู้บริหารฟาติมาเอง เลยได้มาพูดคุยกับผม แล้วก็เป็นการแสดงสปิริต
ถาม : เท่าที่ทราบดูเหมือนว่า กรมประชาฯ กับ Wisdom Radio หรือ ฟาติมา ยังไม่ได้แถลงข่าวอย่างที่นัดหมายไว้ใช่ไหมครับ
ตอบ : เท่าที่ทราบ โดยที่เขาได้แถลงในรายการเมื่อเช้านี้ เขาบอกว่า เป็นความวิตกของผู้บริหารฟาติมาเอง เลยได้มาพูดคุยกับผม แล้วก็เป็นการแสดงสปิริตของผมที่ผมยุติบทบาทของตัวเอง โดยที่ตัดไปประเด็นเรื่องที่บอกว่ามีคุณจักรภพโทร.มา
ถาม : มันไม่ตรงกับความเป็นจริงหรืออย่างไร ในความเป็นจริงแล้วมีคุณจักรภพโทร.มาไหม
ตอบ : ในความเป็นจริงที่ผมได้รับทราบตั้งแต่เมื่อวานซืนนี้
ถาม : วันเกิดเรื่อง
ตอบ : วันเกิดเหตุ คือ วันที่ผมได้นำเอาหนังสือของ คุณวีระ มุสิกพงศ์ แล้วก็การถอดเทปคำพูดของ คุณสมัคร ที่เคยไปพูดที่ฝรั่งเศส มาอ่านออกอากาศ พร้อมกับจดหมายของพระสุรินทร์ ว่า ข้อเท็จจริงใน 6 ตุลา มันเป็นอย่างไร หลังจากนั้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้บริหารของฟาติมา บอกว่า มีโทรศัพท์มา ผมก็ซักไซ้ไล่เลียงว่าตกลงโทรศัพท์นั้นมาจากไหน ก็ทราบว่า มาจากท่านรัฐมนตรี แล้วก็พูดในทำนองที่ว่าจะไม่ต่อสัญญาให้ แล้วก็บอกว่าเนื้อหาของรายการ หรือรายการทั้งหลายมันควรจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ นั่นก็เป็นสิ่งที่ได้ข้อมูล และผมก็ได้รับข้อมูลว่าพอที่จะทำอย่างไร เพื่อบรรเทาความเสียหาย ผมพอได้ยินคำถามเช่นนี้ก็บอกว่า ถ้าบรรเทาความเสียหาย ก็คือ ผมต้องยุติใช่ไหม ผมก็ยุติก็ได้ ไม่มีปัญหา
ถาม : ก็เลยตัดสินใจยุติ ไม่ไปทำรายการทาง 105 ตั้งแต่เมื่อวานนี้เป็นต้นมา
ตอบ : ถูกต้องครับ คือเมื่อวานซืนก็เป็นวันสุดท้ายที่ทำ ฉะนั้นเมื่อวานนี้ทางคลื่น 105 ก็ได้ประกาศว่ามีการปรับผังรายการใหม่ คุณเถกิง ก็ได้ประกาศว่ามีการปรับผังรายการใหม่ เป็นภาษากับข่าว เพิ่มจาก 9 โมง ถึง 10 โมง เป็น 8 โมง ถึง 10 โมง เป็น 2 ชั่วโมง แล้วก็ได้ยินที่ คุณเถกิง เขาพูดว่า ตอนนี้ลมมันแรง คลื่นมันแรง เรือใหญ่ อะไรต่ออะไรก็ว่ากันไป ผมก็นั่งฟังอยู่ เมื่อเช้านี้ก็ได้ยินที่ ฟาติมา ประกาศในเวลาดังกล่าว 8 โมงเศษ โดย คุณเถกิง ก็บอกว่า อย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ บอกว่า เป็นความวิตกของผู้บริหารฟาติมาเอง โดยที่ไม่มีโทรศัพท์มา ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ผมรู้สึกเสียใจ เสียใจมาก ต้องบอกตรงๆ
ถาม : นี่ คุณเถกิง พูดเมื่อเช้าใช่ไหมครับ ในรายการวิทยุ
ตอบ : ใช่ครับ คือ ที่เสียใจนี่ก็คือเสียใจว่า คนที่อยู่ในวงการสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่ดำเนินการในสื่อมวลชน หรือว่านักสื่อสารมวลชนทั้งหลาย เราพร้อมที่จะยินดีที่จะช่วยนักการเมือง หรือว่าอาจจะพูดว่าตัดตอนก็อาจจะพูดได้
ถาม : อ.เจิม คิดว่า มันน่าจะเป็นโอกาสที่จะเป็นพยาน และลุกขึ้นมาสู้หรือยังคะ
ตอบ : ไม่ทราบ ผมคิดว่าเรามีหน้าที่ที่เราต้องทำตามจริยธรรม จรรยาบรรณของสื่อ และเราเป็นผู้ที่จะต้องทำตามรัฐธรรมนูญ เพราะว่ารัฐธรรมนูญก็ชัดเจนว่าไม่ให้แทรกแซงสื่อ ไม่ให้แทรกแซงคนที่ดำเนินรายการ หรือทำรายการ
ถาม : ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม
ตอบ : ครับ ก็ลองอ่านดู มาตรา 45, 46, 47 แถวนี้ ก็จะเห็นอะไรหลายอย่าง และเรื่องนี้ก็น่าจะบอกได้ว่าเป็นการจงใจที่จะกระทำขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าบุคคล นักการเมืองผู้นั้นจะได้แถลงนโยบายในรัฐสภา รับงานแล้วหรือยังก็ตาม แต่ว่าเมื่อได้ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว ก็ถือว่ามีอำนาจหน้าที่ได้ อันนี้ก็แล้วแต่กระบวนการจะว่ากันไปนะครับ แต่เขาก็คงจะปฏิเสธ คุณเติมศักดิ์ ไม่ต้องไปฝันหรอกว่าเขาจะยอมรับว่าเขาโทร.ยกเว้นว่าคุณจะต้องมีหลักฐานเรื่องการโทร.ว่าเบอร์ไหน โทร.ไปหาใคร เวลาเท่าไร ซึ่งก็หาได้ไม่ยาก
ถาม : ตรงนี้ล่ะครับกำลังจะถามพอดีว่า ถ้าจะถอดถอนคุณจักรภพด้วยข้อหาแทรกแซงสื่อ ขัดรัฐธรรมนูญ น่าจะมีหลักฐานไหมครับ
ตอบ : คงจะต้องมี และคงจะหาไม่ยาก ยกเว้นจะทำลายหลักฐาน อย่างหลักฐานที่ผมพูดไปเมื่อสักครู่นี้ก็เป็นอันหนึ่ง ในฐานะที่ผมเคยอยู่ในฝ่ายตรวจสอบ อยู่ในวุฒิสภา ผมเคยมีอำนาจเรียกเอกสารดูว่าเบอร์โทรศัพท์เบอร์ไหน โทร.ถึงใคร มันจะเป็นตัวบอก ยกเว้นว่าจะถูกสั่งทำลายหลักฐาน เพราะว่าคงมีคนเก็บไว้แล้วบ้างครับ เรื่องเทปทั้งหลายพวกนี้ ผมจะบอกคุณให้
ถาม : เพราะว่ากรณีนี้ผู้ประสานงานเขาได้เป็นคนพูดเองใช่ไหมครับว่าคุณจักรภพโทร.มา โทร.มาเอง ไม่ใช่ลูกน้อง หรือว่าคนสนิท หรือว่ามือที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ คุณจักรภพนั่นล่ะ
ตอบ : ผู้บริหารระดับสูงที่โทร.มา
ถาม : ผู้บริหารนะครับ ขออภัยครับ ผู้บริหารของฟาติมา
ตอบ : ครับ
ถาม : ถึงจะเป็นสื่อของรัฐ ไปสัมปทานจากทางกรมประชาฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแทรกแซงได้
ตอบ : ก็จริงๆ มันแทรกแซงไม่ได้ทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะของรัฐ ของเอกชน มันแทรกแซงไม่ได้ แต่ผมก็ต้องบอกว่า ฟาติมา เขาไม่ได้แทรกแซงผมนะ เพราะว่าเขาได้แต่เล่าให้ฟัง แล้วเขาก็ถามอย่างที่ว่าเราจะบรรเทาความเสียหายกันได้อย่างไร ผมฟังอย่างนี้ คุณเติมศักดิ์ กับ คุณอัญชลีพร ก็คงจะรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรใช่ไหมครับ
ถาม : เข้าใจครับ / ให้พิจารณาตัว ก็คือ จากทั้งประสบการณ์ตรง และจากเท่าที่ฟังๆ มา ก็เข้าใจได้ว่าเรื่องนี้ก็คงจะมีการแทรกแซงจริงๆ แต่ปัญหาก็คือเราจะหาหลักฐานที่แน่นหนาได้อย่างไร
ตอบ : คงยากเหมือนกัน แต่ว่าถ้าจะเอากันจริงๆ ก็ได้ ถ้าคุณมีอำนาจรัฐอยู่ในมือแล้วคุณอยากจะหาหลักฐาน ไม่ยากเลย แต่ว่ามันน่าจะมีมือดีเก็บเทปไว้บ้าง อย่าให้ผมพูดมากเลย
ถาม : มีไหม
ตอบ : ผมไม่ทราบ
ถาม : อาจารย์คิดว่าเรื่องนี้สุดท้ายก็จะหายไปตามสายลม หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาไหม
ตอบ : ไม่ทราบเลย อันนี้ต้องแล้วแต่ แล้วแต่พวกคุณ แล้วแต่ท่านผู้ชม ผู้ฟังทั้งหลาย ประเทศไทยมันก็เป็นของทุกคนนะครับ
ถาม : เทปนี่หมายถึงเทปบันทึกการสนทนาระหว่าง...
ตอบ : ไม่ทราบ ผมก็ไม่ทราบ เพราะว่าพอดีคนที่ถูกคดีเรื่องดักฟังเทปก็เป็นรัฐมนตรีเสียเอง ผมก็ไม่รู้ แล้วคุณจักรภพกำลังมีข้อหาเรื่องฟังเทปไม่ใช่เหรอครับ
ถาม : ใช่ครับ
ตอบ : ดักฟังทางโทรศัพท์
ถาม : ถูกดำเนินคดีแล้ว สั่งฟ้องด้วย
ตอบ : ถูกดำเนินคดีใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นจะมีใครทำเหมือนกันหรือเปล่า ผมไม่ทราบ
ถาม : คุณจักรภพ เองก็พยายามอธิบายให้ดูดีว่า การจะเข้ามาจัดระบบ ระเบียบสื่อ จริงๆ แล้วเพียงแต่ต้องการจะเพิ่มผู้เล่นใหม่ๆ เวทีใหม่ๆ เข้ามา เพื่อความบาลานซ์ของข่าวสาร คุณจักรภพ พยายามอธิบายอย่างนั้น อ.เจิมศักดิ์ คือ พยายามจะบอกว่าจะไม่ไปแตะบรรดาผู้ที่วิจารณ์รัฐบาล หรือที่เคยไม่ชอบรัฐบาลทักษิณ และไม่ชอบอำนาจเก่า แต่จะไม่ไปแตะ จะเพิ่มผู้เล่นใหม่เข้ามาให้บาลานซ์ คำอธิบายอย่างนี้ อ.เจิมศักดิ์ พอยอมรับได้ไหมครับ
ตอบ : คือ โลกสมัยนี้เขาไม่ต้องเอาไปแตะหรอก ไม่ต้องเอามือไปแตะ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่จะทำให้คนที่ทำสื่อเซ็นเซอร์ตัวเอง ทำให้ผู้บริหารสื่อจะต้องนึกถึงกระเป๋าตัวเอง ซึ่งบุคคลพวกนี้น่าสนใจ น่าเห็นใจมากนะครับ คุณทำธุรกิจ คุณก็กลัวกระเป๋าตัวเอง จะมีกี่คนที่บอกว่าเจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย กูจะยืนหยัดตามหลักการ แต่ว่าถ้าเป็นคนทั่วไปแล้ว เขาก็มีจรรยาบรรณทางธุรกิจอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า เพื่อความอยู่รอด เพื่อกำไร เพื่อรายได้ ซึ่งก็น่าเห็นใจ มันก็เป็นค่านิยมอย่างหนึ่ง แล้วก็มีเหตุผล แต่ว่า 2 เหตุผลนี้บังเอิญมันมี Conflict คือมันมีความขัดแย้งกัน ถ้าคนที่อยู่ในความกลัว เราทำให้คนเกิดอยู่ในความกลัวเสีย มันไม่ต้องไปแตะ มันไม่ต้องไปทำอะไร ก็ไม่มีปัญหา คือ สังคมไทยมันก็กว้างใหญ่ มันก็อยู่ที่คนทั้งหลายว่าจะคิดว่าอย่างไร เราก็ทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุด
ถาม : ดูอาจารย์ท้อแท้เหมือนกัน เหมือนกับ ก็สุดแท้แต่แล้วกัน
ตอบ : ก็คุณจะให้ผมทำอย่างไร ผมโดนอย่างนี้มา
ถาม : นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
ตอบ : ผมโดนเที่ยวนี้ แล้วคนที่คุณจักรภพเคยด่าเขา คนนั้นก็เคยปิดรายการผม พอกันทั้งคู่ ตกลงเราก็โดนทั้งหมด เมืองไทย มันพอมีอำนาจมันก็ทำหมด คุณไม่ต้องถามผมว่าจักรภพเคยด่าใคร แล้วคนนั้นคือใคร แล้วคนนั้นก็เคยปิดรายการผมมาแล้วในอดีต มันก็พอกันทั้งนั้นล่ะครับ เมื่อเรายังไม่เคารพประชาชนที่รับสื่อ ไม่ใช่เคารพคนทำสื่อ แต่เราไม่เคารพคนทั่วไปที่จะได้ข้อมูล ข้อเท็จจริง แต่ว่าเรายังคิดว่าคนนี่มันต้องครอบงำ คนควรรู้ในสิ่งที่เราบอก ควรรู้ในสิ่งที่ควร ที่คนคิดว่าเขารู้ได้แค่นี้ เมื่อคนมันดูถูกคนมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ พฤติกรรม ที่มันยังฝังอยู่ในคนที่มีอำนาจ พอพูดอย่างนี้แล้ว ก็เลยทำให้มองเหรีญสองด้านได้ว่า ในสมัยคุณสุรยุทธ์ กลับไม่ทำอะไรเลย มันก็มองได้สองข้างเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกนี้เขาก็มองว่า เห็นไหมสุรยุทธ์ไม่ทำอะไรเลย แต่พอเขาเข้ามามีอำนาจ เขาก็จะทำ แต่เขาก็มีวิธีทำของเขาละครับ แต่เขาไม่ทำตรงๆ มันมีคนมารับแทน ตัดตอน
ถาม : หลังจากที่ อ.เจิมศักดิ์ ฟังคุณเถกิงอธิบายเหตุการณ์เมื่อเช้าแล้ว ได้โทร.ทำความเข้าใจกันอีกครั้งไหมว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอบ : ผมได้โทร.ปกติก็โทร.กันอยู่เป็นประจำ เพราะว่าจะทำรายการอยู่ด้วยกัน พูดตรงๆ คุณเถกิงก็เคยเป็นรุ่นน้องผม แล้วก็เคยเป็นเอ็มดีของวอตช์ดอก ผมก็โทร.ไป เขาก็ปิดมือถือ หลังจากที่พูด ผมก็เลยโทรศัพท์ไปหาคุณกรุณา บัวคำศรี เพราะว่าทำรายการอยู่ด้วยกัน ก็เล่าให้คุณกรุณาฟังว่า เอ๊ะ ผมฟังผิดหรือเปล่า ซึ่งบอกว่าไม่มีใครโทรศัพท์ ซึ่งมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งมันเป็นแถลงการณ์ของฟาติมา ซึ่งมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง คุณเถกิงก็น่าจะรู้ เพราะว่าคุณเถกิงก็รู้ข้อมูลเหมือนกับที่ผมรู้ แล้วทำไมถึงกล้าแถลง แล้วก็บอกว่า ถ้าคุณเถกิงจะโทร.มาคุยกับผม ผมก็ยินดี แต่ว่าก็ยังไม่ได้โทร.
ถาม : เมื่อสักครู่ที่ว่าถาม คุณกรุณา คุณกรุณาได้อธิบายอะไรไหมครับ
ตอบ : คุณกรุณา ไม่รู้เรื่องครับ ก็ยังงงๆ อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็ได้แต่คุยให้ฟังว่า เอ๊ะ มันไม่ค่อยตรงนะที่เมื่อกี้คุณคุยกัน
ถาม : แต่คุณกรุณาก็ตอบอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้รู้อะไรด้วย
ตอบ : ผมก็เล่าข้อเท็จจริงให้ฟัง เหมือนกับที่ผมเล่าให้คุณฟัง ผมไม่พูดก็คือไม่พูด แต่ถ้าพูดผมโกหกไม่เป็น ก็ต้องพูดตรงๆ
ถาม : คุณเถกิง เองรู้สึกหมวกอีกใบหนึ่งจะอยู่ที่สมาคมวิทยุโทรทัศน์ด้วยใช่ไหม
ตอบ : เขาลาออกไปแล้วครับ ลาออกไปเมื่อเร็วๆ นี้ครับ คุณเถกิง ก็อาจจะอยู่ในสภาวะที่น่าเห็นใจ เพราะว่าบางทีมันก็ อย่างที่ผมบอกครับ มีความขัดแย้งระหว่างธุรกิจจะไปอย่างไร แล้วก็คนที่ทำทั้งหลายจะตกงานไหม ถ้าเขาจะกลั่นแกล้ง จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เขากลั่นแกล้ง หนักเป็นเบา อันนี้ก็น่าเห็นใจ แต่ว่าสังคมจะให้น้ำหนักเรื่องไหน มากน้อยแค่ไหน แต่ว่าผมเป็นคนที่รู้อะไรดีแต่ว่าผม อะไรคือความจริงก็เล่าให้ฟัง
ถาม : อาจารย์ช่วยวิเคราะห์ไปข้างหน้าหน่อยว่า ถ้าสมมติว่าเริ่มต้นเขาก็ลงดาบอย่างเร็วและแรงขนาดนี้แล้ว อนาคตจะอย่างไร
ตอบ : ผมก็เป็นห่วงว่าเขาจะทำอะไรไม่ให้ชัดเจน แต่ว่าคงจะต้องใช้วิธีข่มขู่ คุกคาม หรือว่าแทรกแซง โดยที่ไร้ร่องรอย แต่ผมจะบอกคุณนะครับว่า นักวิชาการบางคนที่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ วันก่อนผมไปพบกับเครือญาติของเขา ก็ปรากฏว่านามสกุลเดียวกัน ก็ถูกโทรศัพท์ขู่ โทรศัพท์ไปต่อว่าต่อขาน ข่มขู่ว่า อย่าวิพากษ์วิจารณ์ หรือไปบอกด้วยว่าให้เลิกวิจารณ์ โดยบางคนก็จะรู้สึกขวัญอ่อน จะสังเกตดูไหมว่ามีอาจารย์บางคนเวลาพูดอะไรก็ระมัดระวังมากขึ้นเยอะ อันนั้นถ้าคนขวัญอ่อน ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งเรื่องพวกนี้มันเป็นวิธีการ วิชามาร เยอะแยะที่เขาทำกัน เพราะฉะนั้นเรื่องสื่อก็คงไม่เว้น
ถาม : ตกลงการแทรกแซง การคุกคาม กดดันสื่อมวลชนที่วิจารณ์รัฐบาล เขาคงใช้ระดับ และรูปแบบคงไม่แตกต่างไปจากยุคทักษิณใช่ไหม
ตอบ : ผมคิดว่ามันคงไม่ต่าง แต่ว่าอาจจะคิดค้นวิธีที่แนบเนียนยิ่งขึ้น เพราะว่าถ้าในสมัยทักษิณ เขาก็เห็น แล้วผมก็โดนคนแรกๆ ตั้งแต่รายการที่อยู่กับช่อง 9 หลุดหมด รายการที่อยู่กับช่อง 11 ก็หลุดหมด ทั้งหมด 7 รายการ แล้วข้ออ้าง ก็คือ ผมไม่มีใบผู้ประกาศบ้าง จำได้ใช่ไหม คราวแล้วผมทำตั้งแต่ช่อง 11 อายุได้ 1 ขวบ พอตอนหลังมาบอก คือ เจ้าหน้าที่เราเองก็จะสนอง แล้วคนที่เซ็นหนังสือไปบอกว่าเนื่องจากว่าผมไม่มีใบผู้ประกาศ ฉะนั้น ห้ามไม่ให้มาทำที่สถานีช่อง 11 ก็ร้องไห้ เป็นผู้ดำเนินรายการช่อง 11 เป็นผู้หญิง แต่ว่าก็ทำ เราก็สนองกันเอง ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาที่จะยืนหยัด ทุกคนก็คิดถึงตัว คิดถึงครอบครัว อำนาจรัฐมันพอสมควรทีเดียว ก็เห็นใจนะครับ ผมพูดไปด้วยความเห็นใจแต่ถ้าเราไม่พร้อมที่จะลุกขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างก็จะถูกบี้หลุดไปทีละคน สื่อมวลชนก็เช่นกันนะครับ ผมคิดว่าพวกคุณทุกคนที่ทำสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ ถ้าคุณปล่อยให้เขาบี้ไป เขาก็จะบี้ไปเรื่อยๆ ทีละคน สองคน มันก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ถ้าคุณจำได้เมื่อปี 44 ผมโดนก่อน สิงหาคม แล้วหลังจากนั้นก็บี้ไปเรื่อยๆ คุณก็เห็น จนกระทั่งเมืองไทยรายสัปดาห์ก็มาสุดท้าย ถ้าคุณยังจำเหตุการณ์ได้นะครับ มันก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ
ถาม : มีการตรวจสอบทรัพย์สิน บัญชีของสื่อสารมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล มีการใช้ ปปง.ไปตรวจบัญชีไปสอบบัญชีทรัพย์สินของสื่อมวลชน ของคอลัมนิสต์ ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
ตอบ : สมัยนั้นใช้ ปปง.โดยคนที่ไปเป็นผู้บัญชาการ ปปง.ก็มาจากตำรวจ 2 คน แล้วก็ไปตรวจบัญชีทรัพย์สิน บัญชีเงินฝากของคุณวารินทร์ พูนศิริวงศ์ เจ้าของแนวหน้า คุณสุทธิชัย หยุ่น แล้วก็รู้สึกว่าจะเป็นคุณโรจน์ งามแม้น แล้วก็ยังมี NGO อีก อันนั้นก็เป็นวิธีใช้วิชามาร ซึ่งเรื่องนี้ผมบอกคุณได้ว่า ผมเคยส่งเรื่องนี้ให้ ป.ป.ช.ตั้งแต่สมัยผมอยู่วิทยุ ผมสอบเรื่องนี้ แล้ว ป.ป.ช.เพิ่งทำหนังสือเชิญผมไปให้ข้อเท็จจริง เร็วๆ นี้ผมก็จะไป
ถาม : เพิ่งทำหนังสือเชิญอาจารย์ไปให้ข้อเท็จจริงไม่นานนี้เองหรือครับ
ตอบ : ผมต้องกลับไปดูหนังสือว่าเมื่อไร เร็วๆ นี้ล่ะครับ
ถาม : เหตุการณ์ผ่านมาตั้ง 5 - 6 ปีแล้ว
ตอบ : นี่ล่ะครับ เรามันช้าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นหนูก็ร่าเริง แต่ว่าก็ต้องทำ ผมนี่เป็นประธานกรรมาธิการที่สอบ แล้วก็ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ผมยังจำได้ว่ามี 2 คน ตำรวจ 2 คน ที่เป็นระดับ ปปง.ระดับสูง
ถาม : คุณพีรพันธุ์ เปรมภูติ
ตอบ : กับ คุณสีหนาท ประยูรรัตน์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ไปอยู่ที่ไหน อย่างไรก็แล้วแต่ แต่ว่า ป.ป.ช.เขาตั้งเรื่องแล้ว เพราะว่ามีหนังสือเชิญผมไปให้ข้อมูล มันก็มีวิธีการ 108 ที่จะทำ โดยเฉพาะถ้าเราได้คนที่ไม่อยู่ในจริยธรรม ไม่อยู่ในจรรยาบรรณ นึกแต่ปัญหาเฉพาะหน้า เอาตัวรอด จริงๆ แล้วผมค่อนข้างจะเสียใจคุณจักรภพด้วย เพราะว่าคุณจักรภพเคยอยู่กระทรวงการต่างประเทศ เคยทำสื่อ ซึ่งมีท่าทีเหมือนคุณพิชัย วาศนาส่ง ผมคิดว่าคุณพิชัยคงจะเป็นโมเดลที่ดี แล้วเมื่อครั้งที่ผมทำมองต่างมุม คุณจักรภพ ก็เคยมาพูดกับผม ว่าก็อยากร่วมงานกับผม แต่บังเอิญผมไม่มีงานพอที่จะให้ท่านร่วม ไม่อย่างนั้นก็คงได้ทำงานด้วยกัน ก็เป็นทีมเดียวกัน แต่ก็เสียดาย มันก็ทำได้เท่านี้ล่ะครับ ตามเรื่องตามราว ตามประโยชน์ ตามกิเลสของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน เมื่อฝนตกหนักก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ
ถาม : เคยของาน อ.เจิมศักดิ์ ทำนะครับ เคยขอร่วมงานด้วย
ตอบ : เคยพูดกับผมที่กระทรวงการต่างประเทศ พบกันโดยบังเอิญ คุณจักรภพก็บอกว่า ชื่นชมรายการที่ผมทำ แล้วมีอะไรจะให้ผมช่วยทำก็บอก ยินดีอยากจะทำ ตอนนั้นยังเด็กมาก เพราะว่าท่านยังระดับเด็กๆ อยู่ในกระทรวงต่างประเทศ ผมก็ขอบคุณเขา ผมก็ดูหน่วยก้านว่า เขาไปในแนวเหมือนคุณพิชัย วาสนาส่ง คือไม่ใช่แนวคนดำเนินรายการ แต่เป็นคนพูด ตอนนั้นรายการผมมีแต่รายการที่มีผู้ดำเนินรายการเท่านั้น ไม่ได้พูดเอง ผมก็เลยคิดว่าคงยังไม่เข้ากัน และคงยังไปไม่ได้ มันคนละลักษณะกัน
ถาม : ที่ตอนต้นอาจารย์บอกว่าคนที่คุณจักรภพด่าก็เคยปิดรายการอาจารย์ นั่นหมายถึงช่วงปี 39 หรือเปล่า
ตอบ : อย่าไปพูดเลยครับ เมื่อไหนๆ ก็หลุดไปแล้ว ก็พูดไปหน่อยก็เอาแค่นั้นละกันครับ
ถาม : มีอะไรอยากฝากไปถึงทุกฝ่ายไหม ทั้งฝ่ายสื่อมวลชน ฝ่ายรัฐ หรือแม้กระทั่งคุณเถกิง
ตอบ : ผมอยากให้ทุกคนตรงไปตรงมา แล้วก็คิดระยะยาวของประเทศชาติ อย่าคิดระยะสั้น ผลประโยชน์ ถ้าคุณคิดประโยชน์ระยะสั้นกันหมด บ้านเมืองมันจะอยู่ไม่ได้ ทุกคน ผู้ประกอบการก็ดี คนทำสื่อก็ดี บางทีเราต้องยอมเจ็บตัวเพื่อให้มันถูกต้องตามความจริง ตามหลักการ เพื่อระยะยาว ซึ่งผมเห็นใจนะครับคนที่ต้องยอมเจ็บตัวในระยะสั้น มหาตมคานธี ก็เป็นตัวอย่างที่ดี เดินไปให้อังกฤษตีหัว แล้วก็ยังอุตส่าห์เดินไป แต่ว่ามันต้องใจถึง มันต้องร่วมกัน แล้วถ้าตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างทำ กลายเป็นคนที่มีอุดมการณ์เหมือนกันมาสาดกันเองอีก เพราะว่าเราคิดปัญหาเฉพาะหน้า เราอยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เราอยากจะได้ประโยชน์เฉพาะหน้าทุกคน ผมนึกถึงคำอาจารย์พุทธทาสเลย คือ ประชาธิปไตยต้องไม่เห็นแก่ตัว ถ้าคุณเห็นแก่ตัวเองเมื่อไร ผมคิดว่าทุกคนก็จะดึงแต่ของที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเป็นหลัก ไม่ว่าจะถูก จะผิด เดินต่อไประยะยาวเป็นอย่างไร ก็มีปัญหาไปหมด ซึ่งอันนี้มันเป็นจริยธรรมของนักธุรกิจ ซึ่งเราก็จะต้องเบาๆ กันบ้าง เรื่องจริยธรรมที่จะต้องหากำไรสูงๆ และสื่อมวลชนคงจะต้องจับมือกันแล้วก็คงจะต้องถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรร่วมกัน ผมคิดว่าถ้าตัวใครตัวมันก็ถูกเขากินไปเรื่อยๆ มันก็คงไม่เหลือ