xs
xsm
sm
md
lg

“มุมมองของเจิมศักดิ์” มองบทเรียนการฆ่าตัดตอนความจริง

เผยแพร่:   โดย: รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

เกือบ 15 ปี ที่เคยทำรายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ผ่านหลายสถานีวิทยุ เริ่มต้นจาก FM 101 (กองบัญชาการทหารสูงสุด), FM 97 (กรมประชาสัมพันธ์), FM 97.5 (อสมท.), FM 107 (อสมท.) และสุดท้าย ที่ FM 105 (กรมประชาสัมพันธ์)

ผมเคยทำรายการวิเคราะห์สถานการณ์สังคม การเมือง เศรษฐกิจในรายการนี้ คู่กับคนหลายคน เริ่มต้นจาก เถกิง สมทรัพย์ อวัสดา ปกมนตรี สรจักร เกษมสุวรรณ กรุณา บัวคำศรี

นับเป็นสิ่งธรรมดา ที่มีเริ่มรายการ ก็มีเลิกรายการ ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปตามคำของพระพุทธองค์ รายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ก็เป็นเช่นเดียวกับหลักอนิจจัง แต่การทำรายการที่ผ่านมาหลายช่วงเวลา หลายสถานี ทำให้ได้เรียนรู้ เป็นบทเรียนหลายประการ แต่ที่เป็นประสบการณ์ 2 ครั้งสุดท้ายที่คลื่น FM 107 (อสมท.) ในสมัยรัฐบาลทักษิณ และ FM 105 (กรมประชาสัมพันธ์) ในสมัยรัฐบาลสมัครนั้น น่าสนใจ

คุณจันทรา ชัยนาม หญิงแกร่งในวงการสื่อที่ใครๆ เคยรู้จัก (แต่ปัจจุบันหายไป) เคยได้รับสัญญาบริหารคลื่นวิทยุ FM 107 มาจาก อสมท. ตั้งแต่ก่อนที่ “ทักษิณ” จะเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศ รายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ที่มีผมและเถกิง สมทรัพย์ ก็ได้ดำเนินการออกอากาศคู่กับสถานีดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนที่ “ทักษิณ” จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี

หลัง กุมภาพันธ์ 2544 คุณจันทรา ชัยนาม ได้ติดต่อ เล่าให้ฟังด้วยความวิตก (ที่ร้านอาหารในโรงแรมแลนมาร์ค) ว่าพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ที่รัฐบาลทักษิณมอบหมายให้คุม อสมท. จะยุติรายการทาง FM 107 ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ วิเคราะห์ข่าว ด้วยการกำหนดนโยบาย ปรับเปลี่ยน สลับคลื่น FM 107 ไปเป็นคลื่นเพลง ซึ่งหมายความว่า เปลี่ยนแปลงรายการทั้งคลื่น เปลี่ยนทั้งสถานี

ผู้หญิงคนนี้ แกร่งพอที่จะไม่วิ่งเต้น ร้องขอ เปลี่ยนสี เปลี่ยนรายการ เปลี่ยนคำพูด เธอยังคงทำงานต่อไปอีกหลายเดือน ภายใต้การวิตกกังวลว่าจะต้องหลุดจากคลื่น FM 107 ที่นายสรจักร เกษมสุวรรณ ได้ผันตัวเข้ามาเป็นผู้อำนวยการ อสมท. และแล้ว เดือนสิงหาคม 2544 ความกังวลของจันทรา ชัยนาม ก็เป็นจริง พวกเรายุติการดำเนินรายการทาง FM 107 “มุมมองของเจิมศักดิ์” ก็หายไปจากสถานี FM 107 กลายเป็นสถานีเปิดเพลงฝรั่ง มุ่งสร้างความบันเทิงแทนรายการข่าวสารสาระที่มุ่งสร้างปัญญาให้กับผู้คน

ผมขอยกย่อง “จันทรา ชัยนาม” ผู้หญิงที่ทำงานตรงตามหลักการของการบริหารสื่อฯ ในครั้งนั้น แม้เธอและทีมงานทั้งหมดจะสูญเสียรายได้ สูญเสียสัญญาการบริหารคลื่นวิทยุ แต่เธอสามารถรักษาเกียรติ ในฐานะคนทำสื่อ ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

“มุมมองของเจิมศักดิ์” ยุติบทบาททางวิทยุเกือบตลอดสมัยของรัฐบาลทักษิณ ในช่วงปลายของรัฐบาลทักษิณ ผมได้รับการติดต่อจากเถกิง สมทรัพย์ ชวนให้เข้าไปทำรายการนี้อีกครั้ง ที่ FM 105 ซึ่งบริษัทฟาติมา เป็นผู้รับสัญญาเป็นผู้บริหารสถานีจากกรมประชาสัมพันธ์ ผมตอบรับ ทั้งๆ ที่ ขณะนั้น ไม่รู้จักหลักแหล่งหรือปูมหลังของบริษัทนี้ ไม่รู้ว่าผู้บริหารชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ได้คลื่นมาอย่างไร ถ้าได้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การวิเคราะห์ผ่านรายการที่ใด คลื่นไหนก็ไม่สำคัญ

ผมได้แต่คิดในใจว่า ในเวลานี้ ยังมีคนกล้าที่จะเชิญผมไปจัดรายการวิทยุ เพราะรัฐบาลทักษิณก็ยังอยู่ หรือว่านักธุรกิจเจ้าของคลื่นเขามองสถานการณ์ได้ยาวไกลและมีหลักการบริหารคลื่นที่ดี คำถามนี้อยู่ในใจตลอดมา ปัจจุบันก็ยังไม่มีคำตอบให้ตัวเอง

หลังปีใหม่ 2551 ขณะนั้น นายสมัคร สุนทรเวช ขึ้นจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ผมได้รับเชิญจากคุณแสงชัย อภิชาติธนพัฒน์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฟาติมา ให้ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารไชน่าเพลส เยื้องกระทรวงการคลัง ผ่านทางคุณเถกิง สมทรัพย์ ผู้เข้าไปช่วยบริหารรายการต่างๆ ให้กับสถานีวิทยุดังกล่าว บอกว่า คุณแสงชัยอยากจะมาสวัสดีปีใหม่

ผมยังได้รับเนคไทชิ้นหนึ่ง เป็นของฝาก ในโอกาสที่คุณแสงชัยกลับมาจากประเทศอังกฤษ และผมจึงได้ถามว่า รัฐบาลนี้ขึ้นมาบริหารประเทศ รายการของผมทำให้คุณแสงชัยและฟาติมาลำบากใจไหม ? ก็ได้รับคำตอบว่า “ไม่ลำบากใจ เพราะ อาจารย์ก็วิเคราะห์ไปตามหลักวิชาการ แม้จะตรงและแรง แต่ก็เป็นธรรม อะไรดีอาจารย์ก็ชม” ยิ่งกว่านั้น ยังบอกด้วยว่า คนในรัฐบาลนี้ก็รู้จักกัน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ได้ยินเช่นนั้น ผมก็สบายใจ ที่ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ และนึกชมอยู่ตลอดว่า คุณแสงชัยและผู้บริหารฟาติมา มีหลักการที่ดี

1-2 สัปดาห์ต่อมา นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN) เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2551 โดยตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่ถามว่า มีคนกล่าวหานายสมัครว่ามือเปื้อนเลือดจากเหตุการณ์ดังกล่าว นายสมัครจะตอบอย่างไร ?

ปรากฏว่า นายสมัครตอบปฏิเสธ นักข่าวจึงถามต่อไปว่า คุณจะใช้โอกาสนี้ในการประนามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเปล่า ? (คงหมายถึงโอกาสที่นายสมัครได้พูดในฐานะนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย)

นายสมัครบอกว่า จริงๆ แล้ว เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีคนตายเพียงคนเดียว แม้นักข่าวจะถามย้ำโดยยกตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 46 คน แต่นายสมัครก็ตอบย้ำว่า มีคนตายเพียงคนเดียว และไม่มีการสังหารหมู่เกิดขึ้นเลยในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519

วันอังคารที่ 12 ก.พ. 2551 ที่ผ่านมา ผมได้นำหนังสือ “โหงว นั้ง ปัง” หรือ “Gang of Five” ผลงานเขียนของคุณวีระ มุสิกพงศ์ ที่เปิดโปง จับโกงการพูดโกหกของนายสมัคร สุนทรเวช นับแต่กรณีที่เคยพูดเท็จต่อประชาชนว่า “ธรรมนูญ เทียนเงิน” ได้ประมูลของมูลค่า 500,000 บาท ทั้งๆ ที่ เจ้าตัวปฏิเสธ อ่านออกอากาศในรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี นิวส์ 1 และ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ทางสถานีวิทยุ FM 105

และได้อ่านการถอดเทป คำต่อคำ คำพูดของนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังเหตุการณ์ปราบปรามนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 6 ต.ค. 2519 และเป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารในวันนั้น โดยนายสมัครได้ไปพูดให้คนไทยในประเทศฝรั่งเศสฟัง ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทย เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2520 ปรากฏถ้อยคำตามที่ตีพิมพ์ในหนังสือเล่มดังกล่าว ใจความสำคัญตอนที่พูดถึงคนตายในเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 ว่า

“…ผลการยิงกันนั้น มีคนตาย 48 คน ในคนที่ตาย 48 คนนั้น มีคนถูกเผาตายไป 4 คน ซึ่งเป็นปัญหาที่ข้องใจกันในฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกันเป็นอันมากว่า ทำไมถึงต้องมีการเผาคน การเผาคนตายกันกลางถนนนั้น ไม่ใช่ลักษณะของคนไทย เหตุที่วิกฤติการณ์เกิดขึ้นแปลกมาก มีการทุบตีคนให้ตายแล้วเอามาแขวนคอ ชักชวนให้เอาไม้ไปตี แล้วเอาคนที่ถูกแขวนคอจนตายนั้นเอาวาง มีการเอายางรถยนต์วาง แล้วเอาศพวาง แล้วเอายางรถยนต์วางทับ เอาน้ำมันราด แล้วจุดไฟเผาทั้ง 4 ศพ ทุกอย่างนั้นเป็นเรื่องจริงเกิดขึ้นกลางถนน กลางสนามหลวง กลางถนนราชดำเนิน ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้... การที่มีการเผาคนตายไป 4 คนนั้น เป็นการเผาคนซึ่งต้องการทำลายหลักฐาน ไม่ให้รู้ว่าเป็นคนชาติใด เพราะเหตุว่าหลักฐานในกองที่ไหม้นั้น มีรูปโฮจีมินห์เล็กๆ ซึ่งเผาไปไหม้หมด... ในธรรมศาสตร์ มีหมาซึ่งถูกฆ่าตาย แล้วย่าง หมาตุ๋น หมาสตูล เอาอ่างมีตะแกรง หมากรอบทั้งตัว มีมีดเสียบอยู่หลายตัว ผมเองซึ่งในขณะนั้นไม่ได้มีตำแหน่งอะไรอยู่ แต่ได้เข้าไปดูเอง และไปดูหลักฐานที่โรงพักชนะสงคราม เราได้วิเคราะห์ในเวลาต่อมาว่า มีคนชาติอื่นคือชาติเวียดนามนั้นจำนวนไม่ทราบได้แน่นอนเข้าไปเกี่ยวข้องในกรณีธรรมศาสตร์...”

ในช่วงท้ายของรายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” วันอังคารที่ 12 ก.พ. 2551 ผมได้อ่านจดหมายอดีตรัฐมนตรีสุรินทร์ มาศดิษฐ์ ที่เป็นรัฐมนตรีในสมัย 6 ต.ค. 2519 ได้เล่าถึงเหตุการณ์ ยังไม่จบดีก็หมดเวลารายการ จึงได้แจ้งผู้ฟังว่า วันพรุ่งนี้ จะมาอ่านต่อ เพื่อให้ได้รับทราบว่า นายสมัครได้ร่วมกับประชาชนฝ่ายที่ต่อต้านนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาล้อมทำเนียบรัฐบาลระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนั้นอย่างไร คุณชวน หลีกภัย คุณดำรง ลัภพิพัฒน์ และคุณสุรินทร์ มาศดิษฐ์ ได้ถูกกดดันเรียกร้องและข่มขู่ให้ออกจากรัฐมนตรีและต้องหนีตายออกจากทำเนียบรัฐบาลอย่างไร

ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า วันนี้ จะเป็นวันสุดท้ายของรายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์”

รายการในวันนั้น จบลงตามเวลาปกติ 9.00 น. หลังจากนั้น เพียงชั่วโมงเศษ ผมได้รับโทรศัพท์จากเถกิง สมทรัพย์ ผู้ร่วมดำเนินรายการและเข้าไปช่วยบริหารรายการวิทยุ FM 105 ให้กับบริษัทฟาติมา ว่า “มีโทรศัพท์มาแล้วว่าจะไม่ต่อสัญญาให้ฟาติมา อาจารย์คิดว่าเราจะพอบรรเทาความเสียหายให้กับเขาอย่างไรได้ไหม?”

ขณะนั้น ผมคิดในใจว่า “เถกิง” คงได้รับข้อมูลจากผู้บริหารฟาติมา นึกสงสัยว่า ใครโทรไปหาผู้บริหารระดับสูงของฟาติมา? และเราจะตอบคำถามของ “เถกิง” ที่ว่า เราจะบรรเทาความเสียหายให้กับเขาอย่างไร ?

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น “เถกิง” ก็ถามต่อทันทีว่า “ผมลาออกจากฟาติมา และอาจารย์ก็หยุดรายการด้วยดีไหม?”

ผมจึงตอบไปว่า “คุณไม่ต้องลาออกหรอก ผมหยุดทำรายการก็แล้วกัน คุณและฟาติมาจะได้ทำรายการวิทยุกันต่อไป ผมคิดว่าเขาคงเล็งมาที่ตัวผมว่าเป็นปัญหากับเขา ไม่ใช่พวกคุณ”

ผมตอบอย่างนั้น เพราะรู้ว่า “เถกิง” มีความสุขกับการทำรายการวิทยุ และเข้าใจว่าทางบริษัทฟาติมาคงจะเสียผลประโยชน์ พนักงานคงจะเดือดร้อน หากไม่ได้ต่อสัญญา

วางสายโทรศัพท์จาก “เถกิง” ได้ 5-10 นาที “เถกิง” ก็ต่อสายเข้ามาใหม่ คราวนี้ บอกว่า “คุณแสงชัยจะพูดด้วย”

ทันที่พูด คุณแสงชัย อภิชาติธนพัฒน์ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฟาติมา บอกขอบคุณผมทันที ที่กรุณากับฟาติมา

ผมนึกในใจว่า “ช่างง่ายและรวดเร็วดี” แต่ด้วยความอยากรู้ว่า ใครโทรมาหาคุณแสงชัย และบอกคุณแสงชัยว่าจะไม่ต่อสัญญาให้ ผมจึงถามคุณแสงชัยไปว่า ใครเป็นคนโทรมา ก็ได้รับคำตอบจากคุณแสงชัยว่าก็ “เขา” โทรมาตรงเลย

ผมถามต่อไปว่า “เขา” ว่าอย่างไร ก็ได้รับคำตอบจากคุณแสงชัยว่า เขาบอกจะไม่ต่อสัญญาให้ แต่เขาไม่ได้พูดชื่ออาจารย์นะ เขาบอกทำนองว่า รายการทั้งหมดต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์

ผมได้ซักถามระหว่างการสนทนาว่า “เขา” ที่โทรมา คือใคร ?

คุณแสงชัยแจ้งชัดว่า เป็น “รัฐมนตรี จักรภพ เพ็ญแข” และยังได้พูดให้ฟังอีกว่า ก็คุณจักรภพเคยรู้จักกันมาก่อน ก็ติดต่อกัน

นี่คือความจริงทั้งหมด ที่ผมได้รับรู้ในช่วงสายๆ ของวันที่ 12 ก.พ. 2551 ได้ยินกับหู ได้ฟังน้ำเสียง ทั้งหมด ผมไม่ได้โกหกหรือบิดเบือนทั้งสิ้น


วันพุธ 13 ก.พ. 2551 รายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” ถูกปรับเปลี่ยนออกจากผังของรายการ “เถกิง สมทรัพย์” ก็ได้แจ้งให้ผู้ฟังทราบว่า เพราะลมแรง เรือใหญ่อย่างอาจารย์เจิมศักดิ์เลยต้องจอดพักอย่างไม่มีกำหนด

พอเป็นข่าวออกไป ประชาชนสนใจว่า “เอาอีกแล้วหรือ” หนังสือพิมพ์บางฉบับลงข้อเขียนถึง “ผีอีเพ็ญ” ในทำนองว่า อาละวาดเร็วเกินคาด

ถ้าบริษัทฟาติมา และเถกิง สมทรัพย์ หยุดบทบาทแค่นี้ เรื่องก็คงจบไปแล้ว

แต่แล้ววันรุ่งขึ้น 14 ก.พ. ผมแปลกใจมาก ที่บริษัทฟาติมา โดย “เถกิง สมทรัพย์” และ “แสงชัย” ออกมาแถลงรับเองว่า ไม่มีใครโทรมาสั่งการ เป็นความวิตกของผู้บริหารสถานีเอง เลยได้โทรไปปรึกษา อาจารย์เจิมศักดิ์ แล้วหยอดคำหวานรื่นหูว่า “ได้รับความกรุณาจากอาจารย์ที่ได้แสดงสปิริต หยุดทำรายการเอง”

เรียนตามตรง ผมไม่ได้แสดงสปิริตอะไรหรอกครับ ผมพูดไปอย่างนั้น ก็เพราะกลัวคนถาม คือ “เถกิง” จะไม่มีงานทำ แต่ยังยืนยันว่า การนำประวัติศาสตร์มาอธิบายในรายการเกี่ยวกับคุณสมัครนั้น ถูกต้อง เหมาะสม และควรต้องเผยแพร่ออกอากาศอย่างยิ่ง คนทำสื่อทุกคน ถ้ามีข้อมูลว่าบุคคลสาธารณะระดับนายกรัฐมนตรี พูดไม่ตรง หรือแม้กระทั่งโกหก บิดเบือนความจริงโดยที่ตัวรู้อยู่แก่ใจเช่นนี้ ก็จะต้องเผยแพร่ความจริง และวิพากษ์วิจารณ์

บ่ายวันพฤหัสบดี 14 ก.พ. 2551 คุณแสงชัยโทรมาหาผม บอกว่า จะขอความกรุณาอาจารย์ ช่วยยอมรับทางออก โดยสรุปว่า ไม่มีใครโทรมา ที่เกิดขึ้นเป็นความวิตกของฝ่ายบริหารฟาติมาเอง ก็เลยโทรไปปรึกษาอาจารย์ จะได้ไหม ? ขอให้เป็น soft landing ได้ไหม ? เกรงว่าไม่อย่างนั้น สัญญาอาจมีปัญหา สถานีอาจเปลี่ยนเป็นคลื่นเพลงก็ได้ ขอให้กรุณาเห็นใจเจ้าหน้าที่และน้องๆ ที่อาจต้องตกงาน ผมก็ตอบว่า เห็นใจมาก แต่ผมก็ยืนยันว่า นั่นไม่ตรงกับความจริงที่ผมได้รับแต่แรก

ผมไม่สามารถร่วมตัดตอนความผิดให้กับใครได้!

เรื่องทั้งหมด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรมประชาสัมพันธ์ และไม่มีข้าราชการคนใดในกรมประชาสัมพันธ์เกี่ยวข้องให้ผมได้รับรู้เลย และผมก็ไม่เคยกล่าวอ้างถึงด้วย

อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์จะออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งการอะไรก็พอจะเข้าใจได้ว่า ทำไมข้าราชการภายใต้อำนาจนักการเมืองแบบนี้จำเป็นต้องขืนใจปฏิบัติกัน

คุณแสงชัย คุณจักรภพ คุณสมัคร จะพูดอย่างไร พูดจริงแค่ไหน บอกความจริงทั้งหมดหรือไม่ ใครแทรกแซงสื่อหรือไม่ สาธารณชนต้องใช้วิจารณาญาณเอาเองว่าใครพูดจริงหรือเท็จ เพราะผมไม่ได้แอบบันทึกเทปการสนทนาไว้เหมือนคนที่มีคดีดักฟังโทรศัพท์บางคนที่มีชนักติดหลังอยู่ในขณะนี้

เชื่อตามพระพุทธองค์เถอะครับ “คนโกหก ที่ไม่ทำบาป(ชั่ว) ไม่มี”

คนที่เคยพูดเท็จ พูดโกหก จะต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ สร้างเรื่อง สร้างประเด็นให้สอดคล้องกับที่กล่าวเท็จไว้ไปเรื่อยๆ เพราะกลัวจะถูกจับโกหกได้ และในที่สุด ก็จะเคยชินเป็นสันดาน

“มุมมองของเจิมศักดิ์” เป็นรายการเล็กๆ รายการหนึ่ง เกิดและดับเป็นของธรรมดา แค่ขออย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับสื่อมวลชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะผ่านทางเจ้าของผู้บริหารสถานี การบีบสปอนเซอร์รายการ และที่ร้ายที่สุด คือ ทำให้คนทำสื่อต้อง “เซ็นเซอร์ตัวเอง” ไม่กล้านำเสนอสิ่งที่ถูกต้องอย่างตรงไปตรงมาต่อสังคมไทย

ใครที่ทำอย่างนั้น อย่าเรียกตัวเองว่า “สื่อมวลชน” แต่ควรสำเหนียกว่า ตนเอง คือ “อาชญากรผู้ฆ่าตัดตอนความจริงของสังคม”

กำลังโหลดความคิดเห็น