“ยามเฝ้าแผ่นดิน ”เตือน “จักรภพ” แทรกแซงสื่อ ระวังโดนถอดเป็นรายแรก ชี้ไร้วุฒิภาวะ มุ่งเอาชนะคะคาน หวังดึงคนไอทีวีที่ยังหลง “แม้ว ”กลับทำหน้าที่สื่อ จี้ “หมอเลี้ยบ” แสดงจุดยืน หลัง “หมัก” เหยียบย่ำ 6 ตุลาฯ อ้างมีตายแค่คนเดียว เชื่อตั้ง “ลูกวัน” นั่งเลขาฯ รมช.สธ. เร่งรัฐนาวา “สมัคร 1” พังเร็วขึ้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงเข้าปฏิบัติหน้าที่ รมว.กลาโหม เป็นวันแรก ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า หลายคนไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นข้าราชการทหารระดับสูงอยู่แวดล้อมนายสมัคร ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกัน บรรยากาศโดยทั่วไปทำให้ไม่อยากเชื่อว่า นายสมัคร จะปรับตัว ปรับวิธีคิด ได้ดีขนาดนี้
ผู้ดำเนินรายการยังกล่าวถึงกรณีที่ นายสมัครประกาศจะทำทีวีเสรีเพิ่มอีกหนึ่งสถานีว่า นายสมัครพูดแล้วสนุก แต่ที่พูดไปมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะการเปิดช่องจะฟื้นไอทีวีกลับคืนมาอีก สอดคล้องกับแนวความคิดของนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่จะเข้ามาจัดระบบสื่อใหม่ และจะตั้งสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่โดยรับอดีตพนักงานไอทีวีกลับเข้าทำงาน โดยอ้างว่าคนเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการออกกฎหมายของรัฐ
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า นายจักรภพมีปัญหาด้านวิธีคิด เพราะต้องการเอาคืนจนไม่ดูข้อเท็จจริง เพราะพนักงานของไอทีวีนั้นไม่มีอะไรผูกพันกับรัฐ ตอนที่ถูกยึดสัมปทานคืน บริษัทไอทีวีก็จ่ายเงินชดเชยไปแล้ว แถมรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ให้สิทธิพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไป โดยรับเข้าทำงานต่ออีก
“คนพวกนั้นเขาเป็นพนักงานเอกชน ถ้าจะบอกว่า ที่พวกเขาตกงานเป็นผลจากนโยบายของรัฐแล้ว ถ้าคนทั้งประเทศตกงานก็ต้องช่วยหมด เพราะรัฐบาลออกนโยบายผิดพลาด ที่ร้ายไปกว่านั้น มีคนที่เป้ฯคนของรัฐโดยตรง เช่น ร.ส.พ. องค์การฟอกหนัง องค์การแบตเตอรี่ ที่ถูกยกเลิกไป คนเหล่านี้ทำไมศักดิ์ศรีต่ำกว่าไอทีวีหรือ”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า นายจักรภพหวังจะตั้งสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่เพราะต้องการเอาชนะ เนื่องจากอัดอั้นตอนทำพีทีวี และเห็นว่ามีคนไอทีวีจำนวนหนึ่งที่ชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ และได้แสดงบทบาทต่อเนื่องมาถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ก็อยากจะได้คนเหล่านี้มาทำหน้าที่สื่อต่อ โดยอ้างเหตุผลว่าต้องการเข้ามาดูแลสื่อของรัฐ
“เพ็ญ” ส่อโดนถอดรายแรก
นอกจากนี้ การที่นายจักรภพจะเข้าไปยุ่งกับไทยพีบีเอส จะทำให้นายจักรภพรอดยาก เพราะสื่อไม่อยากเห็นการปิดกั้น แต่อยากเห็นข้อมูลที่หลากหลาย อย่างน้อยต้องมีพื้นที่ให้ประชาชนมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลหลายด้าน และตัดสินใจเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า หากย้อนไปที่ช่วงแรกๆ ของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ บอกว่าจะให้มีการนำเสนอข้อมูลอีกด้าน แต่ก็ถูกประท้วงหาว่าเป็นการแบ่งเค้ก มีคนบางวกลุ่มถึงขั้นแต่งดำไว้ทุกข์ แต่มาวันนี้ นายจักรภพกำลังจะมาแทรกแซงสื่อ มาจัดการสื่อใหม่ แล้วคนเหล่านั้นหายไปไหนหมด
“ความไร้ซึ่งวุฒิภาวะของคุณจักรภพ อาจทำให้โดนถอดถอนเป็นคนแรก เพราะไม่รู้ว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ สิ่งที่เขาพูดถูกบันทึกไว้แล้ว ถ้าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ นี่คือการแทรกแซงสื่อจากรัฐ ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าคิดว่า ทำได้ เพราะความเหิมเกริม ก็ลองดู นี่ยังไม่นับรวมคดีดักฟังโทรศัพท์ที่ศาลจะตัดสินวันที่ 10 มี.ค.นี้”
ส่วนกรณีที่จะย้ายนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์นั้น นายปราโมชยอมรับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตราชการ แต่สิ่งที่นายปราโมช ระบุว่าไม่สามารถตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาใหม่ในช่วงนี้ ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญที่นายจักรภพ จะต้องจำ นายปราโมช กำลังสอนมวยรัฐมนตรีที่ไม่รู้เรื่อง อีกทั้งคุณภาพของรัฐมนตรีก็ยังไม่เข้าใจต่อเนื้องาน นี่คือวิธีคิดของนักการเมือง ที่เข้าไปเอาตำแหน่งเพียงเพื่อล้างแค้น ตอบแทนบุญคุณ ไม่สนใจผลกระทบ จนกระทั้งเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
รัฐมนตรีหลายคนกำลังเร่งทำงานเพื่อเอาหน้า หวังให้นายใหญ่ที่อยู่ฮ่องกงเห็นผลงาน เพื่อจะได้อยู่ในตำแหน่งนานๆ วันนี้มีรัฐมนตรีหลายคนที่แสดงอาการไม่เหมาะสม ยกตัวอย่าง กรณีของนายจักรภพ ชัดเจนว่า เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งแล้วก็แสดงท่าทียึดอำนาจอย่างไม่เกรงกลัว ความไร้ซึ่งวุฒิภาวะของ นายจักรภพ จะส่งผลให้โดนถอนถอน
จี้ “เลี้ยบ” แสดงจุดยืน – โดน “หมัก” หยาม 6 ตุลา
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังว่า นอกจากจะเป็นที่สงสัยเรื่องคุณสมบัติว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาด้านการเงินของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทแข็ง ได้หรือไม่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อสงสัยเรื่องจุดยืนของ นพ.สุรพงษ์ อดีตแกนนำนักศึกษาในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ว่ายังเหมือนเดิมอยู่หรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม นั้น มีคนตายเพียงคนเดียว แต่นำไปเผาซ้ำหลายๆ ครั้ง ซึ่งคำพูดของนายสมัครดังกล่าว คนที่เคยเป็นนักศึกษาในเหตุการณ์เดือนตุลาฯ มีความรู้สึกอะไรหรือไม่
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า หลายคนในรัฐบาลชุดนี้เคยผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลาคมมาก่อน หลายคนเคยหลบหนีแล้วมาเข้าต่อสู้ทางการเมืองในระบบจนประสบความสำเร็จได้เป็นรัฐมนตรี ได้เป็นถึงรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง แล้วยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้อยู่หรือไม่ หรือคิดเพียงแค่ว่าเมื่อตัวเองได้เข้าสู่อำนาจรัฐ ก็ถือว่าได้สมใจแล้ว
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า การที่นายสมัครบอกว่ามีคนตายแค่คนเดียว แล้วญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น จะรู้สึกอย่างไร เพราะเหตุการณ์วันนั้น ในข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นชายไทยไม่ทราบชื่อ 6 คน และระบุชื่อได้ 30 คน เสียชีวิตเพราะถูกกระสุนปืน ถูกแขวนคอ จมน้ำ ถูกรัดคอ ซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตทั้งหมดด้วย
“ครั้งหนึ่งเพื่อนคุณหมอสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เพื่อนคุณหมอมิ้งค์ เพื่อนคุณสุธรรม แสงประทุม เพื่อนคุณพินิจ จารุสมบัติ น้องๆ พินิจ จารุสมบัติ หรือใครต่อใครที่เสียชีวิตไป พวกเขาต่อสู้มากับคนเหล่านี้ พวกเขาคือประวัติศาสตร์ที่เสียชีวิตไปแล้ว และคนที่มีชีวิตอยู่ต่างหากที่เข้าสู่อำนาจ เป็นรัฐมนตรี เป็นเสนาบดีใหญ่โต มีตำแหน่งใหญ่โต คุณจาตุรนต์ ฉายแสง ด้วย เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
วันหนึ่งมีนายกรัฐมนตรีที่พวกคุณยกยอปอปั้น ช่วยกันชูขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี พูดแค่เหตุการณ์ครั้งนั้นว่า มีคนตายเพียงแค่คนเดียว แล้วญาติพี่น้องคนเหล่านี้ละครับ หรือคนเหล่านี้ที่เป็นรัฐมนตรี เป็นเสนาบดี ได้เพียงแค่เหยียบย่ำผู้เสียชีวิตเหล่านั้นเป็นบันไดให้ตัวเองขึ้นมา แล้วไม่แยแสกับคนที่เสียชีวิตไปแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะตัวเองสมปรารถนาเพียงแค่เป็นรัฐมนตรี เป็นเสนาบดี ไม่สนใจว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นใครเสียชีวิตให้ตัวเองได้รอดพ้นกลับมาจนถึงทุกวันนี้”
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า อยากให้นักข่าวไปถาม นพ.สุรพงษ์ ว่ารู้สึกอย่างไร ถ้า นพ.สุรพงษ์ยังมีจุดยืนเดิม อย่างน้อยๆ นพ.สุรพงษ์ต้องเรียกร้องให้นายสมัครกล่าวคำขอโทษที่บอกว่าในเหตุการณ์ 6 ตุลา มีคนตายแค่คนเดียว เว้นแต่ว่า นพ.สุรพงษ์และเพื่อนๆ จะรู้สึกเฉยๆ เพราะได้เป็นรัฐมนตรีสมใจแล้ว เหมืนคนพวกนี้เอา เหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นแค่สินค้า ที่ทำให้ตัวเองขาย เมื่อได้เข้าสู่อำนาจรัฐ ก็ไม่สนใจอะไรแล้ว และเชื่อว่า คนพวกนี้คงไม่รู้สึกอะไรต่อเหตุการณ์ 6 ตุลาอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ในพรรคพลังประชาชนร่วมกับนายสมัคร
หนุน “วัน” นั่งเลขาฯ รมช.สธ. เร่ง “หมัก 1” พังเร็วยิ่งขึ้น
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการเตรียมยกเลิกซีแอลยา ตามนโยบายของนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุขคนใหม่ว่า ทำให้นายไชยาถูกตั้งคำถามว่าเป็นห่วงบริษัทยาข้ามชาติ หรือเป็นห่วงชีวิตคนยากจน นายไชยาอาจจะอ้างว่าอย่าเอาชีวิตคนไม่กี่หมื่นคนไปแลกกับการค้ามูลค่านับแสนล้าน แต่ชีวิตคนนั้น แม้แต่คนคนเดียวก็เอามูลค่าอะไรมาเทียบไม่ได้
นอกจากนี้นายไชยายังพูดถึงการให้ นายวัน อยู่บำรุง บุตรชายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย มาเป็นเลขาณุการ รมช.สาธารณสุขว่า เป็นเหมือนองคุลิมาลกลับใจ และจะให้เป็นพรีเซ็นเตอร์การเลิกเหล้า-บุหรี่ ซึ่งนักวิชาการหลายคนบอกว่าดีเหมือนกัน รัฐบาลนี้จะได้จบเร็วๆ เพราะยิ่งเหิมเกริม ยิ่งไม่สนใจประชาชน คิดจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งจะทำให้รัฐบาลนี้ไปเร็วยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ไปเลย จะเห็นว่าทุกวันนี้สื่อที่เคยเชียร์พรรคไทยรักไทยก็หันมาโจมตีเพราะรับไมได้กับหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องหน้าตา ครม. และการแทรกแซงสื่อ