"อภิสิทธิ์"เตรียมเสนอกม.ดับไฟใต้ประเดิมเปิดสภา ย้ำ สส.ปชป.ต้องทำงานเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ขีดเส้นตาย ภายใน 8 เดือนกทม. ต้องมีผลงาน ก่อนที่นั่งจะหดหายไม่ถึงสิบ ด้าน"ชวน" เตือนอย่าเหลิงทิ้งประชาชน มีสิทธิ์สอบตก เตือนอย่าให้เครือญาติใช้สิทธิพิเศษ มีสิทธิ์หลุดเก้าอี้ ส.ส.
วานนี้ (13 ม.ค.) พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดงานสัมมนาสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีแกนนำคนสำคัญของพรรค อาทิ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นาย ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายเทอดพงษ์ ไชยนันท์ กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส. ของพรรคที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า หากพรรคพลังประชาชน มีโอกาสที่จะไปรวบรวมเสียงข้างมาก ถ้าสามารถทำได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมที่จะไปเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้าพรรคพลังประชาชนรวบรวมไม่ได้ ก็ถือเป็นภาระของพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะรอดูการรวบรวมเสียงข้างมากว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ว่า การประสานงานทางการเมืองก็ยังมีต่อไป รอเพียงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพื่อพูดคุยกับพรรคการเมืองอื่น อย่างน้อยก็ พรรคชาติไทย ที่ต้องคุยกัน แต่ไม่ใช่ในกรอบของตั้งรัฐบาล แต่จะถามไถ่ว่า เขามองอนาคตบ้านเมืองอย่างไรในการตัดสินใจทางการเมือง เราอยู่มา 61 ปี หากเทียบระยะเวลาที่ทำงานการเมืองจะเห็นว่าเป็นฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล แต่เราก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ในทุกสถานะ ที่สำคัญคือไม่ว่าอยู่สถานะใดก็ตาม ต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง
"ใครเป็นรัฐบาลครั้งนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีเวลาฮันนีมูน ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์แล้ว เพราะประชาชนจะไม่ให้เวลามาศึกษางาน เนื่องจากปัญหาของประเทศสะสมทับถมกันมามาก ทุกฝ่ายจึงต้องเดินหน้าอย่างจริงจังในการแก้ปัญหา และคนที่ชนะเลือกตั้งไม่ต้องฉลองแล้ว แต่ต้องมุ่งหน้าทำงาน เพราะการเมืองมีปัญหามากที่ต้องคิดว่าเราจะทำอย่างไร ทั้งเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ กฎหมายต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ ที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ อีกทั้งให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการด้วย รวมถึงต้องศึกษารัฐธรรมนูญ และระเบียบการประชุมสภาฯให้รู้เข้าใจ และใครที่เคยทำงานระดับท้องถิ่นมาแล้วก็ไม่ควรทิ้ง โดยทำควบคู่กับงานระดับชาติ นอกจากนี้ งานบางเรื่องไม่ควรรอ แต่ควรให้เป็นงานระดับชาติขับเคลื่อนให้เป็นระบบและผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่เลือกเรามาได้เห็น เช่น การออกกฎหมายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องถูกนำเสนอในการประชุมพิจารณากฎหมายวันแรกในการประชุมสภาฯทันที"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวยังได้กำชับ ส.ส.ทุกคนไม่ให้ทิ้งพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นทีที่ได้รับชัยชนะ เช่น ภาคตะวันออก จะต้องลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ และใช้ยุทธศาสตร์เช่นเดียวกับภาคใต้ เพื่อให้ยึดครองพื้นทีได้นานที่สุด พร้อมกับเตรียมแบ่งงานให้ส.ส.ระบบสัดส่วนดูแลพื้นที่แต่ละจังหวัดทำงานเหมือนส.ส.เขต เน้นสร้างความเข้าใจกับชาวอีสาน เพื่อสร้างฐานให้พรรคมีส.ส.มากขึ้น โดยผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ในพื้นที่ที่ได้รับชัยชนะไม่ควรประมาท เช่น กทม.ที่พรรคมีทั้งผู้ว่าฯ กทม. ส.ส. สก. และสข. จะต้องมีผลงานที่เห็นชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน 8 เดือน อย่าให้ประชาชนมาชี้หน้าว่า เลือกไปแล้วไมได้ทำอะไรให้ ไม้เช่นนั้นผลการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจได้ต่ำสิบ
อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตพรรคประชาธิปัตย์จะต้องได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งหมด เชื่อว่าการเมืองกำลังพัฒนาไปสู่ระบบสองพรรคการเมืองใหญ่ แม้จะมีการวิเคราะห์ว่ารัฐธรรมนูญจะทำให้ระบบพรรคการเมืองเล็กกลับเข้ามาจำนวนมาก เป็นเบี้ยหัวแตก แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะสุดท้ายแล้วจะเหลือเพียงแค่พรรคการเมืองใหญ่ที่ต่อสู้กัน
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค กล่าวในหัวข้อวัตรปฏิบัติของส.ส. ตอนหนึ่งว่า ในการปฏิบัติตัวในฐานะที่เป็น ส.ส. ต้องรู้ขอบเขตอยู่ภายใต้สำนึกรับผิดชอบในตำแหน่ง อย่าทิ้งพื้นที่ โดยต้องทำงานทั้งในสภา และลงพื้นที่พบประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นอาจสอบตกหากทิ้งประชาชน และในการปฏิบัติตน อย่าทำในเรื่องที่ไม่สมควร อย่าคิดว่า ส.ส. มีสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น เช่น การเดินทาง ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกให้ ส.ส. เดินทางฟรี อย่างที่ให้กับส.ส.ไทย ดังนั้นอย่าบังอาจยกสิทธิ์ดังกล่าวให้คนอื่นใช้ เพราะหากมีการร้องเรียน และตรวจสอบพบ อาจจะต้องแสดงความรับผิดชอบ ถึงขั้นต้องพ้นสภาพการเป็นส.ส. และมีสิทธิ์ถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาด้วย
นอกจากนี้ ส.ส. ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง ภายใต้กรอบกฎ กติกาของพรรค และไม่ทำอะไรที่ผิดความถูกต้องชอบธรรมของบ้านเมือง และอย่าทิ้งประชาชนในพื้นที่ นอกจากนั้นแล้วไม่ว่า ส.ส.จะอยู่ฐานะฝ่ายรัฐบาล หรือ ฝ่ายค้าน บทบาทของ ส.ส.ก็ต้องไม่เปลี่ยน ที่สำคัญจะต้องศึกษารัฐธรรมนูญ กฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และ ส.ส. เพื่อใช้ในงานรัฐสภา
นายชวน กล่าวด้วยว่า มีคนได้โทรศัพท์มาปรึกษาว่า พยานที่ จ.เชียงราย อาจจะถูกเก็บได้ ควรที่จะมีมาตราการคุ้มครองพยาน ตนก็บอกว่า ตนเป็นเพียงแค่ผู้แทนทำอะไรไม่ได้ คงมีเพียง รัฐบาล และ กกต. ที่มีหน้าที่ต้องดูแล ซึ่งได้แต่หวังว่าคงไม่มีการซ้ำรอยเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้น เช่น ชิปปิ้งหมู เพราะพยานเหล่านั้นถือว่าเป็นบุคคลที่ให้ประโยชน์กับส่วนรวม ตนอยากให้กำลังใจ กกต. และเจ้าหน้าที่ระดับล่าง อย่าไปกลัวเพราะการใช้อำนาจที่มิชอบไม่มีคนใดที่เคารพกติกาถือเป็นวิกฤติของบ้านเมือง ทั้งนี้คนที่มาทำหน้าที่ ส.ส.จะต้องไม่แบ่งแยกประชาชนไม่เช่นนั้นประเทศชาติก็จะไม่มีความสามัคคี ควรจะปฎิบัติต่อประชาชนทุกคนอย่างยุติธรรม
นายชวน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการจ้างคนภาคใต้ให้ด่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องรู้เรื่องดังกล่าว เพื่อเตรียมรับมือขบวนการมือสกปรกดังกล่าว สมัยรัฐบาลไทยรักไทย มีการดักฟังโทรศัพท์ แล้วเอามาแบล็กเมล์ ข่มขู่ผู้อื่น โดยใช้ ปปง. เป็นเครื่องมือ กระบวนการชั่วร้ายเหล่านี้คือความสกปรกโสมมของรัฐบาลขณะนั้น ถือเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด ยุคหนึ่งที่มีการใช้อำนาจด้วยความคึกคะนอง แต่วันนี้อำนาจนั้นหมดไป เพราะความคึกคะนองเป็นเหตุ ที่ใช้กระทรวงกลาโหม วางแผนทุจริตการเลือกตั้ง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระทรวง ก็ทำให้ได้รับผลของการกระทำที่ไม่ดี ให้ส.ส.พรรครับรู้สิ่งเหล่านี้อย่าไปหลงกล ให้เห็นแก่ความชอบธรรมเท่านั้น
วานนี้ (13 ม.ค.) พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดงานสัมมนาสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีแกนนำคนสำคัญของพรรค อาทิ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นาย ชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายเทอดพงษ์ ไชยนันท์ กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส. ของพรรคที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า หากพรรคพลังประชาชน มีโอกาสที่จะไปรวบรวมเสียงข้างมาก ถ้าสามารถทำได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมที่จะไปเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้าพรรคพลังประชาชนรวบรวมไม่ได้ ก็ถือเป็นภาระของพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะรอดูการรวบรวมเสียงข้างมากว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ว่า การประสานงานทางการเมืองก็ยังมีต่อไป รอเพียงจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพื่อพูดคุยกับพรรคการเมืองอื่น อย่างน้อยก็ พรรคชาติไทย ที่ต้องคุยกัน แต่ไม่ใช่ในกรอบของตั้งรัฐบาล แต่จะถามไถ่ว่า เขามองอนาคตบ้านเมืองอย่างไรในการตัดสินใจทางการเมือง เราอยู่มา 61 ปี หากเทียบระยะเวลาที่ทำงานการเมืองจะเห็นว่าเป็นฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล แต่เราก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ในทุกสถานะ ที่สำคัญคือไม่ว่าอยู่สถานะใดก็ตาม ต้องไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง
"ใครเป็นรัฐบาลครั้งนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีเวลาฮันนีมูน ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์แล้ว เพราะประชาชนจะไม่ให้เวลามาศึกษางาน เนื่องจากปัญหาของประเทศสะสมทับถมกันมามาก ทุกฝ่ายจึงต้องเดินหน้าอย่างจริงจังในการแก้ปัญหา และคนที่ชนะเลือกตั้งไม่ต้องฉลองแล้ว แต่ต้องมุ่งหน้าทำงาน เพราะการเมืองมีปัญหามากที่ต้องคิดว่าเราจะทำอย่างไร ทั้งเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ กฎหมายต่างๆ ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาอื่นๆ ที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ อีกทั้งให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการด้วย รวมถึงต้องศึกษารัฐธรรมนูญ และระเบียบการประชุมสภาฯให้รู้เข้าใจ และใครที่เคยทำงานระดับท้องถิ่นมาแล้วก็ไม่ควรทิ้ง โดยทำควบคู่กับงานระดับชาติ นอกจากนี้ งานบางเรื่องไม่ควรรอ แต่ควรให้เป็นงานระดับชาติขับเคลื่อนให้เป็นระบบและผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่เลือกเรามาได้เห็น เช่น การออกกฎหมายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องถูกนำเสนอในการประชุมพิจารณากฎหมายวันแรกในการประชุมสภาฯทันที"
นายอภิสิทธิ์ กล่าวยังได้กำชับ ส.ส.ทุกคนไม่ให้ทิ้งพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นทีที่ได้รับชัยชนะ เช่น ภาคตะวันออก จะต้องลงพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ และใช้ยุทธศาสตร์เช่นเดียวกับภาคใต้ เพื่อให้ยึดครองพื้นทีได้นานที่สุด พร้อมกับเตรียมแบ่งงานให้ส.ส.ระบบสัดส่วนดูแลพื้นที่แต่ละจังหวัดทำงานเหมือนส.ส.เขต เน้นสร้างความเข้าใจกับชาวอีสาน เพื่อสร้างฐานให้พรรคมีส.ส.มากขึ้น โดยผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ในพื้นที่ที่ได้รับชัยชนะไม่ควรประมาท เช่น กทม.ที่พรรคมีทั้งผู้ว่าฯ กทม. ส.ส. สก. และสข. จะต้องมีผลงานที่เห็นชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน 8 เดือน อย่าให้ประชาชนมาชี้หน้าว่า เลือกไปแล้วไมได้ทำอะไรให้ ไม้เช่นนั้นผลการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจได้ต่ำสิบ
อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตพรรคประชาธิปัตย์จะต้องได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งหมด เชื่อว่าการเมืองกำลังพัฒนาไปสู่ระบบสองพรรคการเมืองใหญ่ แม้จะมีการวิเคราะห์ว่ารัฐธรรมนูญจะทำให้ระบบพรรคการเมืองเล็กกลับเข้ามาจำนวนมาก เป็นเบี้ยหัวแตก แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะสุดท้ายแล้วจะเหลือเพียงแค่พรรคการเมืองใหญ่ที่ต่อสู้กัน
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค กล่าวในหัวข้อวัตรปฏิบัติของส.ส. ตอนหนึ่งว่า ในการปฏิบัติตัวในฐานะที่เป็น ส.ส. ต้องรู้ขอบเขตอยู่ภายใต้สำนึกรับผิดชอบในตำแหน่ง อย่าทิ้งพื้นที่ โดยต้องทำงานทั้งในสภา และลงพื้นที่พบประชาชนอย่างสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้นอาจสอบตกหากทิ้งประชาชน และในการปฏิบัติตน อย่าทำในเรื่องที่ไม่สมควร อย่าคิดว่า ส.ส. มีสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่น เช่น การเดินทาง ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกให้ ส.ส. เดินทางฟรี อย่างที่ให้กับส.ส.ไทย ดังนั้นอย่าบังอาจยกสิทธิ์ดังกล่าวให้คนอื่นใช้ เพราะหากมีการร้องเรียน และตรวจสอบพบ อาจจะต้องแสดงความรับผิดชอบ ถึงขั้นต้องพ้นสภาพการเป็นส.ส. และมีสิทธิ์ถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาด้วย
นอกจากนี้ ส.ส. ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง ภายใต้กรอบกฎ กติกาของพรรค และไม่ทำอะไรที่ผิดความถูกต้องชอบธรรมของบ้านเมือง และอย่าทิ้งประชาชนในพื้นที่ นอกจากนั้นแล้วไม่ว่า ส.ส.จะอยู่ฐานะฝ่ายรัฐบาล หรือ ฝ่ายค้าน บทบาทของ ส.ส.ก็ต้องไม่เปลี่ยน ที่สำคัญจะต้องศึกษารัฐธรรมนูญ กฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และ ส.ส. เพื่อใช้ในงานรัฐสภา
นายชวน กล่าวด้วยว่า มีคนได้โทรศัพท์มาปรึกษาว่า พยานที่ จ.เชียงราย อาจจะถูกเก็บได้ ควรที่จะมีมาตราการคุ้มครองพยาน ตนก็บอกว่า ตนเป็นเพียงแค่ผู้แทนทำอะไรไม่ได้ คงมีเพียง รัฐบาล และ กกต. ที่มีหน้าที่ต้องดูแล ซึ่งได้แต่หวังว่าคงไม่มีการซ้ำรอยเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้น เช่น ชิปปิ้งหมู เพราะพยานเหล่านั้นถือว่าเป็นบุคคลที่ให้ประโยชน์กับส่วนรวม ตนอยากให้กำลังใจ กกต. และเจ้าหน้าที่ระดับล่าง อย่าไปกลัวเพราะการใช้อำนาจที่มิชอบไม่มีคนใดที่เคารพกติกาถือเป็นวิกฤติของบ้านเมือง ทั้งนี้คนที่มาทำหน้าที่ ส.ส.จะต้องไม่แบ่งแยกประชาชนไม่เช่นนั้นประเทศชาติก็จะไม่มีความสามัคคี ควรจะปฎิบัติต่อประชาชนทุกคนอย่างยุติธรรม
นายชวน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีการจ้างคนภาคใต้ให้ด่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ ต้องรู้เรื่องดังกล่าว เพื่อเตรียมรับมือขบวนการมือสกปรกดังกล่าว สมัยรัฐบาลไทยรักไทย มีการดักฟังโทรศัพท์ แล้วเอามาแบล็กเมล์ ข่มขู่ผู้อื่น โดยใช้ ปปง. เป็นเครื่องมือ กระบวนการชั่วร้ายเหล่านี้คือความสกปรกโสมมของรัฐบาลขณะนั้น ถือเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด ยุคหนึ่งที่มีการใช้อำนาจด้วยความคึกคะนอง แต่วันนี้อำนาจนั้นหมดไป เพราะความคึกคะนองเป็นเหตุ ที่ใช้กระทรวงกลาโหม วางแผนทุจริตการเลือกตั้ง แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกระทรวง ก็ทำให้ได้รับผลของการกระทำที่ไม่ดี ให้ส.ส.พรรครับรู้สิ่งเหล่านี้อย่าไปหลงกล ให้เห็นแก่ความชอบธรรมเท่านั้น