xs
xsm
sm
md
lg

จับตา! ใครจะปฏิวัติสำเร็จก่อนกัน?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

“ปฏิวัติอีกทีเหรอ เพื่อตนเองเหรอ โธ่ อย่างแรก ผมสั่งใครก็ไม่ไป สองทำได้ท่านและสังคมก็ไม่ยอม อยู่เฉยๆสง่ากว่า ปลดก็ปลดไป สมาร์ทดี ทำไมต้องไปทุกข์ คิดได้ไงว่าหากเขามาย้ายผม แล้วจะปฏิวัติ งี่เง่าที่สุดในโลก"

นี่คือคำพูดของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ในวันเปิดหอประชุมกองทัพบก พบบรรณาธิการและคอลัมนิสต์ 40 สำนักข่าว รวมกัน 90 คนเป็นครั้งแรกในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน 2550

เมื่อถูกถามว่าเป็นห่วงหรือไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ครบ 3 ปีหรือไม่? พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาตอบในเวลานั้นว่า

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ห่วงตนเอง คนอื่นอย่าเป็นทุกข์ อย่าวิตก สบายใจได้ เป็นแล้วก็เป็นแล้ว เป็นวันเดียวก็ถือว่าเป็นแล้ว โอ้ยสบาย ด้วยความจริงใจ คนนี้พร้อมรับด้วยความจริงใจสบายมาก ไม่ทุกข์เลย หากมีคนเก่งกว่าดีกว่าก็ชอบ แล้วให้เขาทำ ผมเป็นคนอย่างนั้น”

แต่หากจะถอดรหัสในการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในเวลานั้นก็ดูเหมือนจะบอกให้ทราบโดยทั่วกันในคราวนั้นในความหมายว่า “จะไม่ทำการปฏิวัติเพื่อตัวเองเด็ดขาด”

5 เดือนหลังจากนั้น ไม่น่าเชื่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต้องมาตอบคำถามในข้อสงสัยอีกคำรบหนึ่ง โดยได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2551 เอาไว้ว่า:

“ข่าวต่างๆ ที่ออกมาไม่มีมูลไม่มีเหตุผลอันใดว่าจะมีการปฏิวัติ กองทัพบกจะทำงานเพื่อประเทศชาติตามภาระหน้าที่มี ผมยืนยันว่าจะไม่มีการปฏิวัติ ซึ่งการยืนยันของผมในวันนี้คงจะทำให้ประชาชนเลิกสับสนได้แล้ว”

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ต้องมาตอบคำถามแบบนี้กับนักข่าว และต้องไปยืนยันไม่รู้อีกกี่ครั้งกับรัฐบาล เพื่อให้ลดความหวาดระแวงสงสัยกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดบรรยากาศแบบนี้ได้ น่าจะเป็นเพราะมีเหตุและปัจจัยอยู่ 2 ประการ

ปัจจัยแรก ผู้บัญชาการทหารบก ยังคงชื่อ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หนึ่งในแกนนำคนสำคัญในการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยที่คนบางกลุ่มยังมีความเชื่อว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังคงมีความเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และได้กระชับอำนาจโดยมีผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองคุมกำลังทั้งหมดเอาไว้แล้ว

แต่สถานการณ์นับตั้งแต่นายสมัคร เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ กับนายสมัคร มีความใกล้ชิดแนบแน่นและไว้ใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าทั้ง พล.อ.อนุพงษ์ และนายสมัคร ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการรักษาตำแหน่งโดยการสร้างอำนาจต่อรองทางทหารกับฝ่ายการเมืองที่ไม่ได้อยู่ในมือของตัวเองอย่างเต็มที่

ตามคำสัมภาษณ์ของนายสมัครดูเหมือนจะมีความเชื่อว่าจะมีความพยายามทำให้เกิดการปฏิวัติใน 2 เหตุการณ์

เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2551 นายสมัครให้สัมภาษณ์ว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2551 ว่าไม่น่าห่วง แต่กลับเปิดเผยข่าวว่ามีกลุ่มคนที่คิดจะทำรัฐปฏิวัติที่ไม่ใช่กองทัพ ไม่ใช่ทหาร โดยได้รับเอกสารเป็นใบปลิวอยู่ในแฟ้มการประชุมคณะรัฐมนตรี

เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2551 ที่นายสมัคร ได้พูดเอาไว้ในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” คิดเอาเองว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 เป็นการจุดชนวนเพื่อทำให้เกิดการปฏิวัติ รัฐประหาร

ทั้งสองเหตุการณ์ที่นายสมัครได้พูดถึงไปนั้นแสดงถึงความหวาดระแวงในการที่รัฐบาลอาจถูกรัฐประหารได้ทั้งจากกลุ่มที่ไม่ใช่ทหารกลุ่มหนึ่ง และถูกรัฐประหารโดยการจุดชนวนจากการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นคนละกลุ่มกัน

โดยเงื่อนไขการรักษาอำนาจต่อรองทางทหารกับอำนาจฝ่ายการเมือง การที่นายสมัครจับมือกับ พล.อ.อนุพงษ์ น่าจะสร้างความเชื่อมั่นว่าการรัฐประหารไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใดก็ไม่น่าที่จะสำเร็จลุล่วงได้

ปัจจัยที่สอง พฤติกรรมของรัฐบาล
หากมีความเลวร้ายต่อประเทศชาติและประชาชน หรือเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และนายสมัคร ไม่คิดจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะโอนเอนไปตามอำนาจทางการเมืองเพื่อรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตัวเองแล้ว เชื่อได้ว่า ความหวาดระแวงในการถูกรัฐประหารก็ดี หรือความหวาดระแวงของกองทัพที่จะถูกปรับเปลี่ยนโยกย้ายครั้งใหญ่ ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

ถ้าการฉีกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ผ่านประชามติของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศกว่า 14.7 ล้านเสียงเพื่อปกป้องตัวเองและพวกพ้องให้พ้นจากการพิจารณาคดีในชั้นศาลทำได้สำเร็จ ก็ต้องถือว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ถูกปฏิวัติโดยระบอบเผด็จการทางรัฐสภาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใช่หรือไม่?

ถ้ารัฐบาลโยกย้ายข้าราชการของพวกพ้องให้ไปในตำแหน่งที่ให้คุณให้โทษในทางการเมือง หรือทำให้คดีความของการทุจริตทั้งหลายไม่ต้องไปถึงในมือศาลแล้ว หลักนิติธรรมและ อำนาจตุลาการก็ถือว่าได้ถูกปฏิวัติยึดอำนาจโดยระบอบเผด็จการรัฐสภาไปหมดสิ้นเช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่?

ถ้ารัฐบาลยังคงปล่อยปละละเลยกับปัญหาการท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่แทรกซึมโฆษณา การประชาสัมพันธ์ในหลายรูปแบบ ประชาชนก็จะถูกปฏิวัติในความเชื่อและศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ใช่หรือไม่?

ถ้ารัฐบาลยังคงลุแก่อำนาจไม่ให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และ ปล่อยให้อันธพาลเหิมเกริมทำร้ายประชาชนที่ให้ท้ายโดยคนในรัฐบาล สังคมจะไม่เกิดความแตกแยกและวุ่นวายมากขึ้นไปกว่าเดิม ใช่หรือไม่?

และถ้าหากประเทศชาติเป็นไปตามที่กล่าวมาข้างต้นต้องถือว่า ประเทศได้ถูกปฏิวัติโดยระบอบทักษิณโดยทุนนิยมสามานย์จนหมดสิ้นแล้ว

หาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อยากหนีเอาตัวเองรอดและรู้สึกเฉยๆ ไม่มีสำนึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ไม่สนใจภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พล.อ.อนุพงษ์ ก็น่าที่จะเร่งสร้างความเชื่อมั่นต่อนายสมัครได้ว่าจะไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นโดยทหารเสียโดยเร็ว


แต่ถ้าต้องการปฏิวัติระบอบทักษิณโดยทุนนิยมสามานย์ โดยทหารไม่ได้เป็นผู้ทำการรัฐประหารเสียเอง แล้วใครจะเป็นคนปฏิวัติได้สำเร็จก่อนระบอบทักษิณได้?

1. ปฏิวัติระบอบทักษิณโดยพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่มีสำนึกหยุดล้มล้างรัฐธรรมนูญโดยไม่สนใจประชามติ 14 ล้านเสียงเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้อง ด้วยวิธีการที่ป่าเถื่อน กดดันให้รัฐบาลของพรรคพลังประชาชนยุติการโยกย้ายข้าราชการเพื่อตัดตอนคดีความ หยุดยั้งรัฐมนตรีอันธพาลที่ลุแก่อำนาจสร้างความเกลียดชังให้ประชาชน เรียกร้องให้รัฐบาลคัดสรรคนดีมาปกครองบ้านเมือง และเร่งรัดปรับคณะรัฐมนตรีที่มีแนวความคิดที่ล่อแหลมในการเปลี่ยนแปลงล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประเด็นนี้แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายไม่ค่อยมีความเชื่อถือนักการเมืองในยุคปัจจุบันที่ไม่รักษาสัจจะ ทำทุกอย่างเพื่อต่อรองผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องเท่านั้น แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งได้เริ่มตั้งความหวังอีกครั้งภายหลังจากที่ปัจเจกชนในพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มแสดงอาการไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในหลายเรื่อง โดยเฉพาะการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550

2. ปฏิวัติระบอบทักษิณโดยศาล โดยอาศัยกลไกที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ ในการหยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมิชอบ ถอดถอน ส.ส. ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีผลประโยชน์ขัดกัน ในขณะเดียวกันก็พิจารณาคดีการเมืองที่กำลังเผชิญหน้าและถูกท้าทายด้วยวิกฤตอันใหญ่หลวงนี้ ไม่ว่าจะเป็นคดีโกงการเลือกตั้ง และคดีโกงบ้านเมืองให้เสร็จสิ้นกระบวนความ

3.ปฏิวัติระบอบทักษิณโดยประชาชน รณรงค์ล่ารายชื่อถอดถอน ส.ส.ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญ และอาจมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในการหยุดยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้สำเร็จด้วยทุกวิถีทาง เพื่อให้การปฏิวัติระบอบทักษิณโดยศาลดำเนินการไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม พร้อมแสดงตนยืนเคียงข้างกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างเต็มที่

ในทางตรงกันข้ามก็ต้องขอให้ตระหนักว่าการปฏิวัติครั้งนี้ ก็อาจจะมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกจัดตั้งมาเพื่อขัดขวางกระบวนการยุติธรรมโดยการต่อต้านรัฐธรรมนูญ 2550 และสนับสนุนให้เร่งกลับไปใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ได้เช่นเดียวกัน

แต่ที่น่าเสียดาย “ม็อบไอ้ปื้ด” ที่พยายามขัดขวางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เต็มไปด้วยความถ่อย อนาจาร ป่าเถื่อน สะท้อนมาตรฐานและคุณภาพของคนที่สนับสนุนระบอบทักษิณเป็นอย่างดี และสร้างความเสียหายทางการเมืองต่อแนวร่วมระบอบทักษิณอย่างใหญ่หลวง

การปฏิวัติระบอบทักษิณทั้ง 3 รูปแบบ แม้จะเชื่อได้ว่าจะไม่ถูกขัดขวางจากฝ่ายทหาร แต่ถ้าหากมีการต่อสู้กลับด้วยการกดดันผ่านการระดมมวลชนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังไปทำบุญ 99 วัด หรือมีความพยายามในการทำปฏิวัติจากขบวนการฝ่ายที่ไม่ใช่ทหาร ตามที่นายสมัครได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2551 ก็เชื่อได้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ซึ่งหากมีวิกฤตเช่นนั้นเกิดขึ้นก็ยังไม่แน่ว่าใครจะเป็นผู้ปฏิวัติสำเร็จ และใครจะกลายเป็นกบฏ

ทั้งหมดนี้ไม่น่าเชื่อว่าวิกฤตใหญ่หลวงขนาดนี้ “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป” ได้ด้วยคนเพียงคนเดียวจริงๆ!!
กำลังโหลดความคิดเห็น