การชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2551 เนื้อหาข่าวในการชุมนุมวันนั้นเกือบจะถูกกลบไปหมดสิ้นกับกระแสข่าวการปะทะกันระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับพวกกุ๊ยของระบอบทักษิณ
“สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” คือแนวทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ใช้มาโดยตลอด เพราะยึดมั่นในกฎหมายของบ้านเมืองและอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเมื่อทำตามกฎหมายแล้ว ผู้ดูแลกฎหมายโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจะต้องมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับมวลชนที่ได้เข้ามาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
“สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” เป็นความงดงาม เป็นความสง่างาม เป็นความยิ่งใหญ่ และเป็นผลทำให้มีผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ที่สุจริตใจทั้งหลายเข้ามาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อย่างสบายใจ
“สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” จึงเป็นปราการด่านสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรม และปฏิบัติตามสิทธิที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่ในทางตรงกันข้าม “สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” ก็กลายเป็นเป้าหมายของพวกอวิชชาที่จะคอยรุมทำร้ายประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมและอำมหิตเช่นเดียวกัน ด้วยความเชื่อที่ว่า “ยิ่งถูกรังแก ยิ่งกลัว” และเชื่อต่ออีกว่าความหวาดกลัวเท่านั้นจะทำให้ประชาชนเข็ดหลาบในการที่จะใช้สิทธิชุมนุมต่อไป
ความเชื่อเหล่านี้จึงทำให้คนที่มีอำนาจรัฐใช้กลไกความชั่วร้ายของกลุ่มตำรวจชั่ว สมคบกับกุ๊ยในการรุมทำร้ายประชาชน และเรื่องนี้พิสูจน์จนเห็นเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว
ถ้าจำกันได้ 2 ปีเศษที่ผ่านมา เคยเกิดกรณีที่มีม็อบกุ๊ยที่จัดมาจากลูกจ้างในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมตัวกันตั้งแต่ประตูทางเข้าจากสวนลุมพินีด้านถนนวิทยุ และตำรวจก็ขยับแผงเหล็กร่นถอยปล่อยให้ม็อบถ่อยเหล่านี้เข้ามาได้เรื่อยทั้งๆที่มีมีด ประทัดยักษ์ และไม้ไผ่ปลายแหลมเป็นอาวุธ จนมาอยู่เผชิญหน้าก่อกวนผู้ชุมนุมที่ฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรอยู่ในสวนลุมฯ ด้านถนนพระรามที่ 4 เหตุการณ์ครั้งนั้นมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ และเป็นผลทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุลประกาศชุมนุมใหญ่ครั้งแรกในเวลาต่อมา
ผลการทำงานเพื่อทำให้ผู้ชุมนุมกลัวสำเร็จหรือไม่ ก็คงได้รับการพิสูจน์ไปแล้วหลังจากการนำเดี่ยวเพื่อชุมนุมใหญ่ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นมา!
หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็เกิดกรณีที่กุ๊ยรุมทำร้ายประชาชนคนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในเวลานั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งบางคนมีพฤติกรรมสมรู้ร่วมคิดกับเหล่ากุ๊ย จนมีบางคดีศาลอาญาได้พิพากษาเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนั้นว่ามีความผิดจริงไปแล้ว
และนั่นคือบทเรียนที่สำคัญก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่คิดว่าคนในระบอบทักษิณควรจะต้องจดจำได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ปี 2551 ก่อนการชุมนุมใหญ่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้เคยจัดการสัมมนาทางวิชาการที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์มาแล้วถึง 2 ครั้ง และการจัดสัมมนาทั้ง 2 ครั้งก็ถูกกลุ่มกุ๊ยได้ทำร้ายประชาชนผู้เข้ามาฟังสัมมนาในระหว่างเดินทางกลับบ้าน โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ดำเนินการใดๆ ได้อีก
คำถามจึงมีอยู่ว่า ความเชื่อที่ว่า “ยิ่งถูกรังแก ยิ่งกลัว” ได้ผลดีหรือไม่ คงได้รับการพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน ด้วยประชาชนจำนวนมากมหาศาลที่ต้องถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งในการเข้าร่วมชุมนุมใหญ่กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงคือสาเหตุสำคัญในการปล่อยให้ประชาชนฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกก่อกวนอยู่เช่นเดิม
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปล่อยปละละเลยให้ม็อบก่อกวนที่รวมตัวเข้าแถวตั้งแต่บริเวณสี่แยกคอกวัวและแสดงพฤติกรรมถ่อยให้รู้ตั้งแต่แรกเข้ามาใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยใกล้กับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อย่างไร? ทั้งๆที่ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศว่าจะมีการชุมนุมใหญ่มาล่วงหน้าหลายวันแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยให้กลุ่มกุ๊ยที่มาก่อกวนขว้างสิ่งของมาทำร้ายประชาชนซึ่งๆ หน้าโดยไม่ทำอะไร ได้อย่างไร?
ต่อให้ “สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถอำนวยความปลอดภัยพื้นฐานของผู้ที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญได้ ประชาชนมีมือมีเท้าพอย่อมไม่โง่ปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายไปเรื่อยๆโดยไม่ปกป้องให้กับตัวเอง และนั่นคือสาเหตุในการปะทะกันตามที่ปรากฏเป็นข่าวในที่สุด
แทนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปห้ามพวกกุ๊ยให้เข้ามาใกล้ผู้ชุมนุมก็ดี หรือดำเนินการจับกุ๊ยที่ขว้างปาสิ่งของมายังผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ดี นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเพิกเฉยแล้ว ยังทำหน้าที่ห้ามปรามมิให้ผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตอบโต้อยู่ฝ่ายเดียวเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย
ในการเคลื่อนตัวจากบริเวณหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อไปที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับนำกำลังตำรวจจำนวนมากปิดบริเวณสะพานผ่านฟ้าไม่ให้ผู้ชุมนุมผ่านเข้าไป ทั้งๆที่เป็นทางจราจรสาธารณะและเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน
แม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเจรจาและฝ่าด่านสะพานผ่านฟ้าไปด้วยความสงบเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทั้งหมดที่มาจากภาษีของประชาชนขัดขวางเพื่อไม่ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปที่ทำเนียบรัฐบาล
รถเครื่องเสียง รถฉีดน้ำไล่ม็อบ รถบรรทุก อุปกรณ์สลายม็อบ และหน่วยคอมมานโดจำนวนมาก ได้ถูกนำมาเตรียมพร้อมใช้ขวางกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์
เครื่องมือและอุปกรณ์ตลอดจนข้าราชการที่มีงบประมาณรายจ่ายของประชาชนทั้งประเทศถูกนำมาใช้ขัดขวางกลุ่มผู้ชุมนุมที่ “สงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ” ที่ส่วนใหญ่เป็นสตรีและผู้สูงวัย เพียงเพราะว่าคนเหล่านี้ต้องการแสดงออกตามสิทธิที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่ด้านหลังของขบวนผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยืนมองเฉยๆปล่อยม็อบกุ๊ยรุมทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนแม้รถขบวนปิดที่มีพิธีกรชายหญิงของเอเอสทีวีก็ยังถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
เป็นเรื่องที่น่าอัปยศที่สุดของผู้ที่อ้างว่าตัวเองคือ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” !!
บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ผู้ดูแลกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้ ประชาชนที่ถูกทำร้ายจึงต้องพึ่งพาตัวเองตอบโต้กลับไปตามสัญชาตญาณของมนุษย์ทันที
วันนี้อนาคตของชาติกับภารกิจศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการพิทักษ์ไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญของประชาชนมีสองทางเลือก
ทางเลือกแรก หวาดกลัวและหลบอยู่กับบ้านยอมศิโรราบ พ่ายแพ้ต่อกุ๊ยกระจอกในระบอบทักษิณ ยอมถูกปกครองด้วยกลุ่มอันธพาล เสมือนอยู่ในประเทศที่เปลี่ยนการปกครองไปแล้วเป็น “ระบอบกุ๊ยธิปไตยอันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข”
ทางเลือกที่สอง มาชุมนุมรวมตัวกันเพิ่มมากขึ้นและมากขึ้น เพื่อหยุดความฮึกเหิมของอันธพาลที่ปกครองบ้านเมือง พึ่งพาตัวเองและเตรียมความพร้อมรับมือกับการต่อสู้ทุกรูปแบบในยุคที่ตำรวจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในยามที่ชาติบ้านเมืองมีแต่พวกทหารไร้น้ำยา เดินหน้าพิทักษ์รักษา “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างถึงที่สุดต่อไป
ผลปรากฏมาแล้วว่าคืนวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2551 แม้จะเป็นวันทำการและเปิดเทอม แต่ในช่วงเวลากลางคืนประชาชนก็ยังมาเข้าร่วมชุมนุมอย่างหนาแน่นเช่นเคย
อาจจะมีประชาชนบางส่วนกลับบ้านไปเพราะความหวาดกลัวบ้าง หรือต้องกลับบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดไปก่อนเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อปักหลักพักค้าง
แต่เราเริ่มเห็นคนที่ทนไม่ได้และเข้าร่วมชุมนุมในจำนวนที่เพิ่มเจริญเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด
สัญญาณนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังสู้ต่อไป และมั่นใจได้ว่าจะเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลในช่วงปลายสัปดาห์ !
และขอคารวะจิตใจที่เข้มแข็งของพี่น้องประชาชนเอาไว้ล่วงหน้า และขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงที่ไม่ทิ้งให้พวกเราต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว
แต่คราวนี้คงไม่ใช่ภารกิจเพื่อหยุดการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว อีกต่อไปแล้ว
เพราะอาจจะถึงเวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนจะต้องรวมพลังกันเพื่อขับไล่รัฐบาล เพื่อมิให้คนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง.
“สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” คือแนวทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ใช้มาโดยตลอด เพราะยึดมั่นในกฎหมายของบ้านเมืองและอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเมื่อทำตามกฎหมายแล้ว ผู้ดูแลกฎหมายโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจะต้องมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับมวลชนที่ได้เข้ามาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
“สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” เป็นความงดงาม เป็นความสง่างาม เป็นความยิ่งใหญ่ และเป็นผลทำให้มีผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ที่สุจริตใจทั้งหลายเข้ามาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อย่างสบายใจ
“สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” จึงเป็นปราการด่านสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ตั้งมั่นอยู่ในธรรม และปฏิบัติตามสิทธิที่บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ
แต่ในทางตรงกันข้าม “สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” ก็กลายเป็นเป้าหมายของพวกอวิชชาที่จะคอยรุมทำร้ายประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมและอำมหิตเช่นเดียวกัน ด้วยความเชื่อที่ว่า “ยิ่งถูกรังแก ยิ่งกลัว” และเชื่อต่ออีกว่าความหวาดกลัวเท่านั้นจะทำให้ประชาชนเข็ดหลาบในการที่จะใช้สิทธิชุมนุมต่อไป
ความเชื่อเหล่านี้จึงทำให้คนที่มีอำนาจรัฐใช้กลไกความชั่วร้ายของกลุ่มตำรวจชั่ว สมคบกับกุ๊ยในการรุมทำร้ายประชาชน และเรื่องนี้พิสูจน์จนเห็นเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว
ถ้าจำกันได้ 2 ปีเศษที่ผ่านมา เคยเกิดกรณีที่มีม็อบกุ๊ยที่จัดมาจากลูกจ้างในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมตัวกันตั้งแต่ประตูทางเข้าจากสวนลุมพินีด้านถนนวิทยุ และตำรวจก็ขยับแผงเหล็กร่นถอยปล่อยให้ม็อบถ่อยเหล่านี้เข้ามาได้เรื่อยทั้งๆที่มีมีด ประทัดยักษ์ และไม้ไผ่ปลายแหลมเป็นอาวุธ จนมาอยู่เผชิญหน้าก่อกวนผู้ชุมนุมที่ฟังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรอยู่ในสวนลุมฯ ด้านถนนพระรามที่ 4 เหตุการณ์ครั้งนั้นมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ และเป็นผลทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุลประกาศชุมนุมใหญ่ครั้งแรกในเวลาต่อมา
ผลการทำงานเพื่อทำให้ผู้ชุมนุมกลัวสำเร็จหรือไม่ ก็คงได้รับการพิสูจน์ไปแล้วหลังจากการนำเดี่ยวเพื่อชุมนุมใหญ่ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นมา!
หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็เกิดกรณีที่กุ๊ยรุมทำร้ายประชาชนคนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญตะโกนขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ในเวลานั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งบางคนมีพฤติกรรมสมรู้ร่วมคิดกับเหล่ากุ๊ย จนมีบางคดีศาลอาญาได้พิพากษาเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนั้นว่ามีความผิดจริงไปแล้ว
และนั่นคือบทเรียนที่สำคัญก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่คิดว่าคนในระบอบทักษิณควรจะต้องจดจำได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ปี 2551 ก่อนการชุมนุมใหญ่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้เคยจัดการสัมมนาทางวิชาการที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์มาแล้วถึง 2 ครั้ง และการจัดสัมมนาทั้ง 2 ครั้งก็ถูกกลุ่มกุ๊ยได้ทำร้ายประชาชนผู้เข้ามาฟังสัมมนาในระหว่างเดินทางกลับบ้าน โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ดำเนินการใดๆ ได้อีก
คำถามจึงมีอยู่ว่า ความเชื่อที่ว่า “ยิ่งถูกรังแก ยิ่งกลัว” ได้ผลดีหรือไม่ คงได้รับการพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน ด้วยประชาชนจำนวนมากมหาศาลที่ต้องถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งในการเข้าร่วมชุมนุมใหญ่กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงคือสาเหตุสำคัญในการปล่อยให้ประชาชนฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกก่อกวนอยู่เช่นเดิม
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปล่อยปละละเลยให้ม็อบก่อกวนที่รวมตัวเข้าแถวตั้งแต่บริเวณสี่แยกคอกวัวและแสดงพฤติกรรมถ่อยให้รู้ตั้งแต่แรกเข้ามาใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยใกล้กับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อย่างไร? ทั้งๆที่ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศว่าจะมีการชุมนุมใหญ่มาล่วงหน้าหลายวันแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยให้กลุ่มกุ๊ยที่มาก่อกวนขว้างสิ่งของมาทำร้ายประชาชนซึ่งๆ หน้าโดยไม่ทำอะไร ได้อย่างไร?
ต่อให้ “สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ” อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถอำนวยความปลอดภัยพื้นฐานของผู้ที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญได้ ประชาชนมีมือมีเท้าพอย่อมไม่โง่ปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้ายร่างกายไปเรื่อยๆโดยไม่ปกป้องให้กับตัวเอง และนั่นคือสาเหตุในการปะทะกันตามที่ปรากฏเป็นข่าวในที่สุด
แทนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปห้ามพวกกุ๊ยให้เข้ามาใกล้ผู้ชุมนุมก็ดี หรือดำเนินการจับกุ๊ยที่ขว้างปาสิ่งของมายังผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ดี นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเพิกเฉยแล้ว ยังทำหน้าที่ห้ามปรามมิให้ผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตอบโต้อยู่ฝ่ายเดียวเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย
ในการเคลื่อนตัวจากบริเวณหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อไปที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับนำกำลังตำรวจจำนวนมากปิดบริเวณสะพานผ่านฟ้าไม่ให้ผู้ชุมนุมผ่านเข้าไป ทั้งๆที่เป็นทางจราจรสาธารณะและเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญของประชาชน
แม้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเจรจาและฝ่าด่านสะพานผ่านฟ้าไปด้วยความสงบเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทั้งหมดที่มาจากภาษีของประชาชนขัดขวางเพื่อไม่ให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปที่ทำเนียบรัฐบาล
รถเครื่องเสียง รถฉีดน้ำไล่ม็อบ รถบรรทุก อุปกรณ์สลายม็อบ และหน่วยคอมมานโดจำนวนมาก ได้ถูกนำมาเตรียมพร้อมใช้ขวางกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์
เครื่องมือและอุปกรณ์ตลอดจนข้าราชการที่มีงบประมาณรายจ่ายของประชาชนทั้งประเทศถูกนำมาใช้ขัดขวางกลุ่มผู้ชุมนุมที่ “สงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ” ที่ส่วนใหญ่เป็นสตรีและผู้สูงวัย เพียงเพราะว่าคนเหล่านี้ต้องการแสดงออกตามสิทธิที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ
ในขณะที่ด้านหลังของขบวนผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับยืนมองเฉยๆปล่อยม็อบกุ๊ยรุมทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนแม้รถขบวนปิดที่มีพิธีกรชายหญิงของเอเอสทีวีก็ยังถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
เป็นเรื่องที่น่าอัปยศที่สุดของผู้ที่อ้างว่าตัวเองคือ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” !!
บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ผู้ดูแลกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้ ประชาชนที่ถูกทำร้ายจึงต้องพึ่งพาตัวเองตอบโต้กลับไปตามสัญชาตญาณของมนุษย์ทันที
วันนี้อนาคตของชาติกับภารกิจศักดิ์สิทธิ์ในการปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการพิทักษ์ไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญของประชาชนมีสองทางเลือก
ทางเลือกแรก หวาดกลัวและหลบอยู่กับบ้านยอมศิโรราบ พ่ายแพ้ต่อกุ๊ยกระจอกในระบอบทักษิณ ยอมถูกปกครองด้วยกลุ่มอันธพาล เสมือนอยู่ในประเทศที่เปลี่ยนการปกครองไปแล้วเป็น “ระบอบกุ๊ยธิปไตยอันมีประธานาธิบดีเป็นประมุข”
ทางเลือกที่สอง มาชุมนุมรวมตัวกันเพิ่มมากขึ้นและมากขึ้น เพื่อหยุดความฮึกเหิมของอันธพาลที่ปกครองบ้านเมือง พึ่งพาตัวเองและเตรียมความพร้อมรับมือกับการต่อสู้ทุกรูปแบบในยุคที่ตำรวจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในยามที่ชาติบ้านเมืองมีแต่พวกทหารไร้น้ำยา เดินหน้าพิทักษ์รักษา “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างถึงที่สุดต่อไป
ผลปรากฏมาแล้วว่าคืนวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2551 แม้จะเป็นวันทำการและเปิดเทอม แต่ในช่วงเวลากลางคืนประชาชนก็ยังมาเข้าร่วมชุมนุมอย่างหนาแน่นเช่นเคย
อาจจะมีประชาชนบางส่วนกลับบ้านไปเพราะความหวาดกลัวบ้าง หรือต้องกลับบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดไปก่อนเพราะไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อปักหลักพักค้าง
แต่เราเริ่มเห็นคนที่ทนไม่ได้และเข้าร่วมชุมนุมในจำนวนที่เพิ่มเจริญเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด
สัญญาณนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังสู้ต่อไป และมั่นใจได้ว่าจะเพิ่มจำนวนอย่างมหาศาลในช่วงปลายสัปดาห์ !
และขอคารวะจิตใจที่เข้มแข็งของพี่น้องประชาชนเอาไว้ล่วงหน้า และขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงที่ไม่ทิ้งให้พวกเราต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว
แต่คราวนี้คงไม่ใช่ภารกิจเพื่อหยุดการล้มล้างรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว อีกต่อไปแล้ว
เพราะอาจจะถึงเวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนจะต้องรวมพลังกันเพื่อขับไล่รัฐบาล เพื่อมิให้คนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง.