"อภิสิทธิ์" จับโกหก"เพ็ญ"บิดเบือนอย่างร้ายกาจ จาบจ้างสถาบันเบื้องสูง มากกว่า 20 ประเด็น เปิดดีวีดีตอกย้ำ "แม้ว"จงรักภักดีบางส่วน ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ จี้"หมัก" รับผิดชอบหากปล่อยไว้จนเหตุการณ์บานปลาย ย้อนอดีต"ไข่มุกดำ" ยังโดน"หมัก"ถลกกลางสภา โดยไม่เห็นต้องรอคำพิพากษา ด้าน"ศิริโชค" เทียบคำต่อคำ มัด"เพ็ญ" โกหก แปลเอกสารออกทีวีถ่ายทอดสดหลอกประชาชน ระบุสื่อต่างชาติยังตกตะลึง
วานนี้ (27 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดแถลงข่าวตอบโต้นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีแปลคำปาฐกถาของนายจักรภพว่า การแถลงข่าววันนี้ทำไปด้วยความไม่สบาย ประการหนึ่ง เพราะเรื่องที่จะหยิบยกมาขยายความเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงได้ระมัดระวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกขยายผลออกไป แต่มีความจำเป็นที่จะต้องแถลงข่าว เพราะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดแถลงข่าว และได้ใช้สถานะความเป็นรัฐมนตรี ให้มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐ มีการกล่าวหาตน และพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอความเป็นธรรมจากสื่อทุกแขนง ในการให้พื้นที่เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้อย่างสมบูรณ์ และรอบด้าน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ตนและพรรค ยืนยันจุดยืน และความเห็นของพรรค และยืนยันคำแปลที่เป็นปัญหาของนายจักรภพ และยืนยันความเห็นว่า เป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งอีกต่อไป และการยืนยันความเห็นของพรรคในเรื่องนี้ มีขึ้นหลังจากที่ได้ฟังคำชี้แจงของนายจักรภพ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของพวกเราที่ได้นำเสนอโดยไม่ได้ผิดเพี้ยน การแถลงครั้งจะอธิบายว่านายจักรภพ มีจุดประสงค์อะไร และทัศนคติที่สะท้อนผ่านคำบรรยายอย่างไรบ้าง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้งเมื่อปี 2489 ประกาศอุดมการณ์ชัดเจว่า ต่อสู้รักษาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นอุดมการณ์ที่ได้สืบทอดสืบสานมาจนปัจจุบัน ถ้าการสืบสานรวมความจงรักต่อสถาบันเป็นความคิดที่นายจักรภพ คิดว่าเป็นเรื่องเก่า ตนก็พร้อมที่จะยอมรับ และรักษาไว้ตลอดไป พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ทีดำรงตำแหน่งทางการเมือง และมีหน้าที่ปกปักรักษาสถาบันหลักของชาติ
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นเพราะมีนายตำรวจไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายจักรภพ เมื่อเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ในข้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างที่เข้าใจกัน ตนเป็นนักการเมืองก็มีความจำเป็นต้องตรวจสอบ สิ่งที่ได้ทำไปคือ การขอดีวีดีทีบันทึกภาพ และเสียง จากนั้นได้ไปถอดเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นก่อนที่ นายจักรภพ จะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งแนวความคิดคือสาระสำคัญ ตนไม่เคยเห็นคำแปลที่นายตำรวจเป็นผู้แปล ว่าอย่างไร มีการบิดเบือนหรือไม่
“ผมใช้ชีวิตกว่าสิบปีในประเทศอังกฤษ อ่านภาษาอังกฤษแล้วตกใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีบุคคลแสดงความคิดเห็นท้าทายเช่นนี้ จึงลองเอาคำบรรยายภาษาอังกฤษให้คนที่รู้จัก และอ่านภาษาอังกฤษได้ดีอ่าน ก็พบว่ามีความเห็นไม่ต่างจากผม จึงตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงทำหนังสือเป็นการภายในถึงนายกฯ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องเว็บไซต์ต่างๆ ที่เปิดขึ้นมาประหนึ่งว่า จะให้มีการล้มล้างสถาบันฯ ก็นำเสนอนายกฯ เป็นการภายใน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพื่อจะได้ตัดสินใจลดชนวนความขัดแย้ง เพราะขณะนั้นเริ่มมีคำบรรยาย และการมีการแปลกันไม่ทราบกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ขยายสู่วงกว้างในสังคม จึงระมัดระวังไม่ให้นำเรื่องสู่เวทีการการเมือง”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรายืนยันเจตนาที่จะตรวจสอบตามข้อเท็จจริง หากวันนี้นายจักรภพ ลาออกหรือนายกฯ ปรับออก ก็นึกไม่อออกว่า รัฐมนตรีคนใดจะเป็นปัญหาอีก เพราะอยู่ที่พฤติกรรมของแต่ละบุคคล การที่นายจักรภาพ บอกว่าพวกเราไม่เคารพกระบวนยุติธรรมนั้น ไม่น่าเชื่อว่านายจักรภพเรียนจบรัฐศาสตร์ เพราะความรับผิดชอบทางการเมือง และกฎหมายต่างกัน กระบวนการยุติธรรมก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่ทางการเมือง ต้องปลดชวนความขัดแย้ง ไม่ให้เป็นช่องให้เหิมเกริมในหมู่คนที่จ้องจะทำลาย หรือลบล้างสถาบันหลักของชาติ
ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า การแถลงข่าวของนายจักรภพ ต้องการการเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญที่ได้พูด และทำอะไรไว้ ว่าเป็นการขัดแย้งกับตน ซึ่งไม่ใช่ เพราะเป็นเรืองใหญ่กว่าความขัดแย้งระหว่างพรรค และบุคคลอย่างแน่นอน และตนจะไม่ให้สังคมไขว้เขวอย่างที่นายจักรภพ ต้องการชักนำ โดยการไปต่อล้อต่อเถียงกับนายจักรภพ นายจักรภพใช้เวลานานนับสัปดาห์ ในการเตรียมตัวแถลง ถ้าพรรคประชาธิปัตย์แปลผิดด้วยอคติแล้วนำมาบิดเบือน ป่านนี้นายจักรภพ ต้องออกมาชี้สิ่งที่แปลผิด และบิดเบือน แต่คำแถลงของนายจักรภพ ที่พูดว่าพรรคประชาธิปัตย์บิดเบือน แต่กลับ ยกตัวอย่างไม่ได้แม้แต่คำเดียว เมื่อถูกสอบถาม ก็ตอบไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นายจักรภพ ระบุว่า นายตำรวจที่ไปแจ้งความดำเนินคดีบิดเบือน ขณะเดียวกันบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์แปลได้ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อแถลงเสร็จแล้วกลับบอกว่า จะฟ้องพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ฟ้องผู้ที่แปลบิดเบือน นอกจากนี้ ยังจับเท็จได้ว่า พูดไม่จริงอย่างไร เช่น เรื่องเล็กๆ ทางภาษาที่ง่ายต่อความเข้าใจ ก็ทำให้ตนรู้ว่ามาตรฐานทางภาษา และคุณธรรมของนายจักรภาพ เป็นไปอย่างที่ตนคิดทุกประการ
“นายจักรภพ ตอบคำถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) มีความจงรักภักดีเต็มร้อยหรือไม่ ว่า some loyalty ซึ่งย่อมหมายความว่า บางส่วน ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่ได้มีความจงรักภักดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนายศิริโชค โสภา ผู้แปล ก็พร้อมจะดีเบต”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวในช่วงนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดดีวีดี ช่วงที่นายจักภพ กล่าวปกฐกถา ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ กล่าวตอบผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศที่ถามว่า พ.ต.ทักษิณ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ แต่นายจักรภพ ได้ตอบยืนยันว่า พ.ต.ทักษิณ มีความจงรักภักดีอยู่บ้าง ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากจะเบี่ยงเบนแล้ว นายจักรภพ ยังระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ ดึงสถานบันฯ มาเกี่ยวกับการเมือง เพราะพวกเราไม่มีความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น แต่มีความสงสัยว่า เอกสารที่ที่ปรึกษาของนายจักรภพ ที่เสนอว่า หากนายจักรภพถูกพาดพิงเสียหาย ให้เผยแพร่ สารคดีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ นายจักรภพก็ให้ดำเนินการตามที่เสนอ ถ้าบอกว่าทำไปเพื่อสยบกระแสข่าวดังกล่าว พฤติกรรมอย่างนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ขอเรียกร้องว่า สังคมอย่างสับสนและถูกเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง ไม่ต้องไปหลงว่า ใครแปลผิดถูก เพราะมีทัศนะของนักวิชาการคือ นายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้วิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการว่า หมายความว่าอย่างไร
“นายจักรภพ ได้บรรยายถึงสาระหลักคือ ประชาธิปไตยไม่ก้าวหน้าเพราะระบบอุปถัมภ์ ความหมายคือ นายจักรภพ ต้องการสื่อว่าอย่างไร เห็นครั้งแรกแล้วไม่น่าเชื่อว่านายจักรภพ จะเป็นคนมุ่งมั่นต่อต้านระบบอุปถัมภ์ เพราะนายจักรภพ ไม่เคยพูดหรือมีพฤติกรรมต่อต้านระบบอุปถัมภ์ แต่ที่ทำให้นายจักรภพนั่งในที่มีความสุข เพราะได้ระบบอุปถัมภ์ แต่บังเอิญระบบไพร่อุปถัมภ์ หรือระบบอุปถัมภ์สามานย์ที่สุด ที่บางคนประกาศว่า ถ้าไม่เลือกผมไม่ต้องเอางบประมาณ เหล่านี้นายจักรภพไม่เคยต่อต้าน แต่นายจักรภพ กลับอ้างว่าต่อต้านระบบขุนนาง เป็นการยืนยันต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี”นายอภิสิทธิ์ ระบุ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คำบรรยายหลายหน้าของนายจักรภพไม่มีคำว่า อมาตยาธิปไตย ไม่มีคำว่า ขุนนาง พูดถึงแต่สถาบันพระมหาษัตริย์ องค์พระมหากษัตริย์ ตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ไม่ได้พูดถึงขุนนาง มีการปลุกเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตกลงหมายถึงขุนนาง หรือไม่ เช่น ระบุว่า การลงประชามติรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ว่าฝ่ายหนุนคือ กลุ่มประชาชนคนเสื้อเหลือง โดยระบุว่า yellow shirt people
“ผมถามว่า เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของขุนนาง และศักดินาหรือ นายจักรภพ บอกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถจบได้อย่างปี 2535 เพราะครั้งนี้ ทุกคนเกี่ยวข้อง จะไม่มีผู้ตัดสินเหมือนปี 2535 เพราะทุกคนลงมาเล่นทั้งหมด และพยายามอ้างว่า หมายถึงนายสัญญา ธรรมศักดิ์ และพล.อ.เปรม แต่ถามว่า ในความคิดของชาวโลกเหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงได้ด้วยการไกล่เกลี่ยของใคร ฉะนั้นไม่ได้น่าจะหมายถึงขุนนาง หรือศักดินา อย่างที่นายจักรภพกล่าวอ้าง”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า อีกตัวอย่างคือ นายจักรภพได้บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้บริหารมืออาชีพ ถ้าเจ้าของประเทศไม่พอใจ ก็จะไปบริหารบริษัทอื่น แล้วนำมาเทียบเคียงกับการบริหารประเทศ เจ้าของประเทศ คือขุนนาง หรือศักดินา ที่นายจักรภพ บอกว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงถอนราก เพื่อล้างระบบอุปถัมภ์ ถ้าเป้าหมายอยู่ที่ประธานองคมนตรี ซึ่งจะเปลี่ยนระบบแบบถอนรากถอนโคน จะไม่กระทบสถาบันฯ ได้อย่างไร ซึ่งถ้อยคำพาดพิงสถาบันฯ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ โดยมีมากว่า 20 ประเด็น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นสุดท้าย นายจักรภาพได้พาดพิงว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำลายล้างผู้อื่น โดยตั้งแต่ตนมาอยู่กับพรรคในปี 2535 พวกเราเป็นฝ่ายค้านหลายรัฐบาล ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ ถ้าในความทรงจำของตน จำได้กรณี นายวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งวันนั้นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นเลขาธิการพรรคได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น รมช.มหาดไทย ในปี 2529 ศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่นายสมัคร สุนทรเวช ได้อภิปราย จนต้องมีการประชุมลับ จากนั้นนายวีระ ก็ลาออกจากนั้น 1 สัปดาห์
ส่วนอีกกรณีที่มักจะพาดพิงถึง คือ กรณีนายปรีดี พนมยงค์ คนรุ่นตนและนายจักรภพ รู้เท่ากัน และตนสารภาพว่า ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รู้แต่ว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่พรรคหัวหน้าพรรคทุกคนได้ยกย่องนายปรีดีทุกคน เพราะสองหัวหน้าเป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ ส.ก.ของพรรค ยังมีส่วนในการผลักดันให้ตั้งชื่อถนนปรีดี พนมยงค์ และถนนประดิษฐ์มนูธรรม นายจักรภาพ อย่าได้เบี่ยงเบน ไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีต เพราะสาระสำคัญคือ นายจักรภพ ขาดความเหมาะเพราะได้แสดงทัศนคติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“วันนั้น นายสมัครก็ไม่ได้รอคำพิพากษาเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากเหตุการณ์ทั้งหมดจากการจาบจ้างสถาบันฯ จนบานปลาย นายสมัคร ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหน้าที่ชี้แนะไปแล้ว และจะไม่ให้ขยายลุกลามใหญ่โตไปไหนอีก”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังยอมรับคำท้าของนายจักรภพ เพื่อขึ้นเวทีดีเบต โดยมอบหมายให้นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ไปขึ้นเวทีชี้แจง เนื่องจากนายศิริโชค เป็นผู้แปลเอกสารฉบับนี้
ด้าน นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้แปลเอกสารคำบรรยายของนายจักรภพ กล่าวว่า นายจักรภพ และคณะพยายามบิดเบือนคำแปลที่นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน กล่าวคือ นายจักรภพ แถลงกับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปว่า “มีการหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมาว่า "we re led into believing that the best form of government is guided democracy of her majesty”ประโยคนี้ เจตนาของการแปลนั้นคือว่า เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุด คือ…… ความหมายของประโยคนี้ ได้ถูกนำไปบิดเบือนว่า เป็นการพูดว่า มีคนมาทำให้เราเชื่อ ไม่ใช่ นั่นเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด ……เพราะฉะนั้น การแปลแบบนี้มีอคติ เป็นการแปลที่มีเจตนาจะให้เกิดเรื่อง”
ในเอกสารคำแปลที่นายจักรภพ และพวกแปลนั้น ใช้คำว่า "เราถูกชักนำให้เชื่อว่า….." ซึ่งก็เหมือนกับคำแปลของคนที่นายจักรภพ กล่าวหาว่าแปลอย่างมีอคติ ไม่ต่างกันคือ "มีคนมาทำให้เราเชื่อ….." มิได้แปลว่า "เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า" ตามที่ได้แถลงข่าวแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายจักรภพ และพวกยังบังอาจแปลเอกสารที่บิดเบือน เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดหลายๆ กรณี เช่น “เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์อีกต่อไป” ทั้งที่ในภาษา อังกฤษใช้คำว่า your ซึ่งแปลว่า ของท่าน ดังนั้นคำแปลที่ถูกควรเป็น " เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป” การแปลบิดเบือนเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า กลัวคำว่าของท่าน ต้องถามคุณจักรภพ ว่า ของท่าน ในที่นี้หมายถึงของใคร ถ้าเป็นของไพร่ หรือขุนนาง ทำไมถึงกลัวนักหนา
หรือประโยค "หากยังมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นเลย ที่ต้องมีระบอบประชาธิปไตย เราถูกชักจูงให้เชื่อว่ารูปแบบของการปกครองที่ดีที่สุดคือ การปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำ หรือการปกครอง แบบประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอันสง่างามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ถูกบิดเบือนมาเป็น "ประชาธิปไตยภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดยตัดคำว่า "การชี้นำอันสง่างามออก" ที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะในบริบทที่นายจักรภพพูดตลอดก็คือ ไม่ต้องการได้ประชาธิปไตยแบบชี้นำ ถ้าไม่ตัดตรงนี้ออก ก็จะเห็นชัดว่าในความหมายของ นายจักรภพ ใครคือผู้ชี้นำระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
นายจักรภพ ยังบังอาจบิดเบือนประโยค "ดังนั้น การมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เรื่องบาป ไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่ทั้งหมด กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมตอนนี้เราจึงต้องปะทะกัน" มาเป็น " ดังนั้นการได้รับอุปถัมภ์จึงไม่ใช่การไม่มีอารยธรรม แต่เวลานี้ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และทำให้เกิดความขัดแย้งกัน" ประโยคนี้แสดงให้เห็นชัดว่า นายจักรภพ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าปะทะกัน และเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้องถามต่อไปว่า นายจักรภพ ต้องการปะทะเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอะไรหรือ
แต่คำตอบที่ชัดอยู่ในประโยคต่อไป "ไม่ เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์ เฮงซวย ของท่านอีกต่อไป" ถ้านายจักรภพ บริสุทธิ์จริงตามที่แถลงข่าว และพูดชัดว่า patronage แปลว่า อุปถัมภ์ ทำไมคราวนี้ นายจักรภพ กลับบิดเบือนคำแปลอย่างน่าเกลียดเป็น "เราไม่ต้องการความสุขลมๆ แล้งๆ แบบนั้นอีก" ใครกันแน่ที่บิดเบือน ตะแบง ไม่ยอมรับข้อเท็จจริง "ระบบอุปถัมภ์เฮงซวย ของใครหรือ" ตนคิดว่าการบิดเบือนคำแปลประโยคนี้เปิดเผยตัวตนของนายจักรภพ อย่างเห็นได้ชัดว่า อะไรคือความหมายของประโยคนี้
และมีความพยายามอีกหลายๆ ประโยค ที่พยายามตัดตอนความผิดให้กับขุนนาง เช่น "ทักษิณ ละเมิดกฎของการที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นอีกต่อไป" มีการเติมคำว่า "ผู้นำ" และแปรเปลี่ยนประโยคเป็น "พึ่งพาผู้นำคนอื่นๆ" เพื่อกลบเกลื่อนเจตุนารมย์ที่ชัดเจนของนายจักรภพ ที่ต้องการตัดตอนเพียงแค่ประธานองคมนตรี และเมื่อนายจักรภพ พูดถึงรัฐบาลพลัดถิ่น โดยบอกว่า "แม้ว่ามันอาจทำให้เกิดการปะทะกัน ก็ควรปล่อยให้เป็นเช่นนั้น" ก็บิดเบือนมาเป็น " และถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดการขัดแย้ง การต่อสู้อย่างรุนแรงในประเทศไทย" ทำให้เห็นว่า เป็นการบรรยายในเชิงวิชาการ แต่หารู้ไม่ว่า ในข้อเท็จจริงแล้ว โดยความสำนึกของตนต้องการให้มีการปะทะกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำนองว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
นอกจากนี้ ทำไมจึงต้องบิดเบือนประโยค "และทักษิณมิได้ทำไปเพื่อท้าทายใคร แต่มีคนที่รู้สึกว่าถูกท้าทายจากสิ่งที่เขาทำ" มาเป็น "และคุณทักษิณ ท้าทายทุกคน แต่บาง คนก็พ่ายแพ้ เพราะสิ่งที่เขาเป็น" เพื่อให้เห็นว่า มิได้ท้าทายคนหนึ่งคนใด จริงๆ แล้ว ต้องถามว่า นายจักรภพ กำลังหมายถึงใคร ทำไมถึงไม่กล้าระบุชื่อ
"ถ้าเป็นการบรรยายตามหลักวิชาการจริง ทำไมในคำแปลต้องตัดประโยคที่พิธีกรชาวต่างชาติพูด "ยังไม่แย่งไมโครโฟนกัน เพราะกำลังตะลึงกับสิ่งที่ คุณจักรภพ ได้บรรยายไป" เพราะถ้าเป็นการบรรยายเชิงวิชาการที่เกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์โดยขุนนางแบบไม่มีทัศนคติ ที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมเชื่อว่า ฝรั่งคงไม่ตะลึงหรอกครับ เพราะคุณจักรภพ ก็พูดเองไม่ใช่หรือว่า ฝรั่งมีข้อมูล และความรู้ที่ดีมากเกี่ยวกัประเทศไทย และสถานการณ์ที่สลับซับซ้อน และชวนปวดหัวอย่างไม่จำเป็นของการเมืองไทย แต่นี่เพราะเขาเข้าใจในสิ่งที่คุณจักรภพ บรรยาย มากกว่าในเอกสารที่คุณจักรภพนำมาแปล และนำมาเผยแพร่ใช่หรือไม่”นายศิริโชค กล่าว
วานนี้ (27 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดแถลงข่าวตอบโต้นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีแปลคำปาฐกถาของนายจักรภพว่า การแถลงข่าววันนี้ทำไปด้วยความไม่สบาย ประการหนึ่ง เพราะเรื่องที่จะหยิบยกมาขยายความเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงได้ระมัดระวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกขยายผลออกไป แต่มีความจำเป็นที่จะต้องแถลงข่าว เพราะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดแถลงข่าว และได้ใช้สถานะความเป็นรัฐมนตรี ให้มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐ มีการกล่าวหาตน และพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอความเป็นธรรมจากสื่อทุกแขนง ในการให้พื้นที่เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้อย่างสมบูรณ์ และรอบด้าน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ตนและพรรค ยืนยันจุดยืน และความเห็นของพรรค และยืนยันคำแปลที่เป็นปัญหาของนายจักรภพ และยืนยันความเห็นว่า เป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งอีกต่อไป และการยืนยันความเห็นของพรรคในเรื่องนี้ มีขึ้นหลังจากที่ได้ฟังคำชี้แจงของนายจักรภพ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของพวกเราที่ได้นำเสนอโดยไม่ได้ผิดเพี้ยน การแถลงครั้งจะอธิบายว่านายจักรภพ มีจุดประสงค์อะไร และทัศนคติที่สะท้อนผ่านคำบรรยายอย่างไรบ้าง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้งเมื่อปี 2489 ประกาศอุดมการณ์ชัดเจว่า ต่อสู้รักษาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นอุดมการณ์ที่ได้สืบทอดสืบสานมาจนปัจจุบัน ถ้าการสืบสานรวมความจงรักต่อสถาบันเป็นความคิดที่นายจักรภพ คิดว่าเป็นเรื่องเก่า ตนก็พร้อมที่จะยอมรับ และรักษาไว้ตลอดไป พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ทีดำรงตำแหน่งทางการเมือง และมีหน้าที่ปกปักรักษาสถาบันหลักของชาติ
ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นเพราะมีนายตำรวจไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายจักรภพ เมื่อเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ในข้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์ หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างที่เข้าใจกัน ตนเป็นนักการเมืองก็มีความจำเป็นต้องตรวจสอบ สิ่งที่ได้ทำไปคือ การขอดีวีดีทีบันทึกภาพ และเสียง จากนั้นได้ไปถอดเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นก่อนที่ นายจักรภพ จะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งแนวความคิดคือสาระสำคัญ ตนไม่เคยเห็นคำแปลที่นายตำรวจเป็นผู้แปล ว่าอย่างไร มีการบิดเบือนหรือไม่
“ผมใช้ชีวิตกว่าสิบปีในประเทศอังกฤษ อ่านภาษาอังกฤษแล้วตกใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีบุคคลแสดงความคิดเห็นท้าทายเช่นนี้ จึงลองเอาคำบรรยายภาษาอังกฤษให้คนที่รู้จัก และอ่านภาษาอังกฤษได้ดีอ่าน ก็พบว่ามีความเห็นไม่ต่างจากผม จึงตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงทำหนังสือเป็นการภายในถึงนายกฯ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องเว็บไซต์ต่างๆ ที่เปิดขึ้นมาประหนึ่งว่า จะให้มีการล้มล้างสถาบันฯ ก็นำเสนอนายกฯ เป็นการภายใน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพื่อจะได้ตัดสินใจลดชนวนความขัดแย้ง เพราะขณะนั้นเริ่มมีคำบรรยาย และการมีการแปลกันไม่ทราบกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ขยายสู่วงกว้างในสังคม จึงระมัดระวังไม่ให้นำเรื่องสู่เวทีการการเมือง”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรายืนยันเจตนาที่จะตรวจสอบตามข้อเท็จจริง หากวันนี้นายจักรภพ ลาออกหรือนายกฯ ปรับออก ก็นึกไม่อออกว่า รัฐมนตรีคนใดจะเป็นปัญหาอีก เพราะอยู่ที่พฤติกรรมของแต่ละบุคคล การที่นายจักรภาพ บอกว่าพวกเราไม่เคารพกระบวนยุติธรรมนั้น ไม่น่าเชื่อว่านายจักรภพเรียนจบรัฐศาสตร์ เพราะความรับผิดชอบทางการเมือง และกฎหมายต่างกัน กระบวนการยุติธรรมก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่ทางการเมือง ต้องปลดชวนความขัดแย้ง ไม่ให้เป็นช่องให้เหิมเกริมในหมู่คนที่จ้องจะทำลาย หรือลบล้างสถาบันหลักของชาติ
ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า การแถลงข่าวของนายจักรภพ ต้องการการเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญที่ได้พูด และทำอะไรไว้ ว่าเป็นการขัดแย้งกับตน ซึ่งไม่ใช่ เพราะเป็นเรืองใหญ่กว่าความขัดแย้งระหว่างพรรค และบุคคลอย่างแน่นอน และตนจะไม่ให้สังคมไขว้เขวอย่างที่นายจักรภพ ต้องการชักนำ โดยการไปต่อล้อต่อเถียงกับนายจักรภพ นายจักรภพใช้เวลานานนับสัปดาห์ ในการเตรียมตัวแถลง ถ้าพรรคประชาธิปัตย์แปลผิดด้วยอคติแล้วนำมาบิดเบือน ป่านนี้นายจักรภพ ต้องออกมาชี้สิ่งที่แปลผิด และบิดเบือน แต่คำแถลงของนายจักรภพ ที่พูดว่าพรรคประชาธิปัตย์บิดเบือน แต่กลับ ยกตัวอย่างไม่ได้แม้แต่คำเดียว เมื่อถูกสอบถาม ก็ตอบไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า นายจักรภพ ระบุว่า นายตำรวจที่ไปแจ้งความดำเนินคดีบิดเบือน ขณะเดียวกันบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์แปลได้ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อแถลงเสร็จแล้วกลับบอกว่า จะฟ้องพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ฟ้องผู้ที่แปลบิดเบือน นอกจากนี้ ยังจับเท็จได้ว่า พูดไม่จริงอย่างไร เช่น เรื่องเล็กๆ ทางภาษาที่ง่ายต่อความเข้าใจ ก็ทำให้ตนรู้ว่ามาตรฐานทางภาษา และคุณธรรมของนายจักรภาพ เป็นไปอย่างที่ตนคิดทุกประการ
“นายจักรภพ ตอบคำถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) มีความจงรักภักดีเต็มร้อยหรือไม่ ว่า some loyalty ซึ่งย่อมหมายความว่า บางส่วน ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่ได้มีความจงรักภักดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งนายศิริโชค โสภา ผู้แปล ก็พร้อมจะดีเบต”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวในช่วงนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เปิดดีวีดี ช่วงที่นายจักภพ กล่าวปกฐกถา ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ กล่าวตอบผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศที่ถามว่า พ.ต.ทักษิณ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ 100 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ แต่นายจักรภพ ได้ตอบยืนยันว่า พ.ต.ทักษิณ มีความจงรักภักดีอยู่บ้าง ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากจะเบี่ยงเบนแล้ว นายจักรภพ ยังระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ ดึงสถานบันฯ มาเกี่ยวกับการเมือง เพราะพวกเราไม่มีความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น แต่มีความสงสัยว่า เอกสารที่ที่ปรึกษาของนายจักรภพ ที่เสนอว่า หากนายจักรภพถูกพาดพิงเสียหาย ให้เผยแพร่ สารคดีเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ นายจักรภพก็ให้ดำเนินการตามที่เสนอ ถ้าบอกว่าทำไปเพื่อสยบกระแสข่าวดังกล่าว พฤติกรรมอย่างนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ขอเรียกร้องว่า สังคมอย่างสับสนและถูกเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง ไม่ต้องไปหลงว่า ใครแปลผิดถูก เพราะมีทัศนะของนักวิชาการคือ นายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้วิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการว่า หมายความว่าอย่างไร
“นายจักรภพ ได้บรรยายถึงสาระหลักคือ ประชาธิปไตยไม่ก้าวหน้าเพราะระบบอุปถัมภ์ ความหมายคือ นายจักรภพ ต้องการสื่อว่าอย่างไร เห็นครั้งแรกแล้วไม่น่าเชื่อว่านายจักรภพ จะเป็นคนมุ่งมั่นต่อต้านระบบอุปถัมภ์ เพราะนายจักรภพ ไม่เคยพูดหรือมีพฤติกรรมต่อต้านระบบอุปถัมภ์ แต่ที่ทำให้นายจักรภพนั่งในที่มีความสุข เพราะได้ระบบอุปถัมภ์ แต่บังเอิญระบบไพร่อุปถัมภ์ หรือระบบอุปถัมภ์สามานย์ที่สุด ที่บางคนประกาศว่า ถ้าไม่เลือกผมไม่ต้องเอางบประมาณ เหล่านี้นายจักรภพไม่เคยต่อต้าน แต่นายจักรภพ กลับอ้างว่าต่อต้านระบบขุนนาง เป็นการยืนยันต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี”นายอภิสิทธิ์ ระบุ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คำบรรยายหลายหน้าของนายจักรภพไม่มีคำว่า อมาตยาธิปไตย ไม่มีคำว่า ขุนนาง พูดถึงแต่สถาบันพระมหาษัตริย์ องค์พระมหากษัตริย์ ตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ไม่ได้พูดถึงขุนนาง มีการปลุกเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตกลงหมายถึงขุนนาง หรือไม่ เช่น ระบุว่า การลงประชามติรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ว่าฝ่ายหนุนคือ กลุ่มประชาชนคนเสื้อเหลือง โดยระบุว่า yellow shirt people
“ผมถามว่า เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของขุนนาง และศักดินาหรือ นายจักรภพ บอกว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถจบได้อย่างปี 2535 เพราะครั้งนี้ ทุกคนเกี่ยวข้อง จะไม่มีผู้ตัดสินเหมือนปี 2535 เพราะทุกคนลงมาเล่นทั้งหมด และพยายามอ้างว่า หมายถึงนายสัญญา ธรรมศักดิ์ และพล.อ.เปรม แต่ถามว่า ในความคิดของชาวโลกเหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงได้ด้วยการไกล่เกลี่ยของใคร ฉะนั้นไม่ได้น่าจะหมายถึงขุนนาง หรือศักดินา อย่างที่นายจักรภพกล่าวอ้าง”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า อีกตัวอย่างคือ นายจักรภพได้บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้บริหารมืออาชีพ ถ้าเจ้าของประเทศไม่พอใจ ก็จะไปบริหารบริษัทอื่น แล้วนำมาเทียบเคียงกับการบริหารประเทศ เจ้าของประเทศ คือขุนนาง หรือศักดินา ที่นายจักรภพ บอกว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงถอนราก เพื่อล้างระบบอุปถัมภ์ ถ้าเป้าหมายอยู่ที่ประธานองคมนตรี ซึ่งจะเปลี่ยนระบบแบบถอนรากถอนโคน จะไม่กระทบสถาบันฯ ได้อย่างไร ซึ่งถ้อยคำพาดพิงสถาบันฯ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ โดยมีมากว่า 20 ประเด็น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นสุดท้าย นายจักรภาพได้พาดพิงว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำลายล้างผู้อื่น โดยตั้งแต่ตนมาอยู่กับพรรคในปี 2535 พวกเราเป็นฝ่ายค้านหลายรัฐบาล ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ ถ้าในความทรงจำของตน จำได้กรณี นายวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งวันนั้นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นเลขาธิการพรรคได้รับโปรดเกล้าฯ เป็น รมช.มหาดไทย ในปี 2529 ศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่นายสมัคร สุนทรเวช ได้อภิปราย จนต้องมีการประชุมลับ จากนั้นนายวีระ ก็ลาออกจากนั้น 1 สัปดาห์
ส่วนอีกกรณีที่มักจะพาดพิงถึง คือ กรณีนายปรีดี พนมยงค์ คนรุ่นตนและนายจักรภพ รู้เท่ากัน และตนสารภาพว่า ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รู้แต่ว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่พรรคหัวหน้าพรรคทุกคนได้ยกย่องนายปรีดีทุกคน เพราะสองหัวหน้าเป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ ส.ก.ของพรรค ยังมีส่วนในการผลักดันให้ตั้งชื่อถนนปรีดี พนมยงค์ และถนนประดิษฐ์มนูธรรม นายจักรภาพ อย่าได้เบี่ยงเบน ไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีต เพราะสาระสำคัญคือ นายจักรภพ ขาดความเหมาะเพราะได้แสดงทัศนคติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“วันนั้น นายสมัครก็ไม่ได้รอคำพิพากษาเช่นเดียวกัน ดังนั้น หากเหตุการณ์ทั้งหมดจากการจาบจ้างสถาบันฯ จนบานปลาย นายสมัคร ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหน้าที่ชี้แนะไปแล้ว และจะไม่ให้ขยายลุกลามใหญ่โตไปไหนอีก”หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังยอมรับคำท้าของนายจักรภพ เพื่อขึ้นเวทีดีเบต โดยมอบหมายให้นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ไปขึ้นเวทีชี้แจง เนื่องจากนายศิริโชค เป็นผู้แปลเอกสารฉบับนี้
ด้าน นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้แปลเอกสารคำบรรยายของนายจักรภพ กล่าวว่า นายจักรภพ และคณะพยายามบิดเบือนคำแปลที่นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน กล่าวคือ นายจักรภพ แถลงกับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปว่า “มีการหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมาว่า "we re led into believing that the best form of government is guided democracy of her majesty”ประโยคนี้ เจตนาของการแปลนั้นคือว่า เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุด คือ…… ความหมายของประโยคนี้ ได้ถูกนำไปบิดเบือนว่า เป็นการพูดว่า มีคนมาทำให้เราเชื่อ ไม่ใช่ นั่นเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด ……เพราะฉะนั้น การแปลแบบนี้มีอคติ เป็นการแปลที่มีเจตนาจะให้เกิดเรื่อง”
ในเอกสารคำแปลที่นายจักรภพ และพวกแปลนั้น ใช้คำว่า "เราถูกชักนำให้เชื่อว่า….." ซึ่งก็เหมือนกับคำแปลของคนที่นายจักรภพ กล่าวหาว่าแปลอย่างมีอคติ ไม่ต่างกันคือ "มีคนมาทำให้เราเชื่อ….." มิได้แปลว่า "เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า" ตามที่ได้แถลงข่าวแต่อย่างใด
นอกจากนี้ นายจักรภพ และพวกยังบังอาจแปลเอกสารที่บิดเบือน เพื่อให้ตัวเองพ้นผิดหลายๆ กรณี เช่น “เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์อีกต่อไป” ทั้งที่ในภาษา อังกฤษใช้คำว่า your ซึ่งแปลว่า ของท่าน ดังนั้นคำแปลที่ถูกควรเป็น " เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป” การแปลบิดเบือนเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า กลัวคำว่าของท่าน ต้องถามคุณจักรภพ ว่า ของท่าน ในที่นี้หมายถึงของใคร ถ้าเป็นของไพร่ หรือขุนนาง ทำไมถึงกลัวนักหนา
หรือประโยค "หากยังมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นเลย ที่ต้องมีระบอบประชาธิปไตย เราถูกชักจูงให้เชื่อว่ารูปแบบของการปกครองที่ดีที่สุดคือ การปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำ หรือการปกครอง แบบประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอันสง่างามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ถูกบิดเบือนมาเป็น "ประชาธิปไตยภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดยตัดคำว่า "การชี้นำอันสง่างามออก" ที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะในบริบทที่นายจักรภพพูดตลอดก็คือ ไม่ต้องการได้ประชาธิปไตยแบบชี้นำ ถ้าไม่ตัดตรงนี้ออก ก็จะเห็นชัดว่าในความหมายของ นายจักรภพ ใครคือผู้ชี้นำระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
นายจักรภพ ยังบังอาจบิดเบือนประโยค "ดังนั้น การมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เรื่องบาป ไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่ทั้งหมด กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมตอนนี้เราจึงต้องปะทะกัน" มาเป็น " ดังนั้นการได้รับอุปถัมภ์จึงไม่ใช่การไม่มีอารยธรรม แต่เวลานี้ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และทำให้เกิดความขัดแย้งกัน" ประโยคนี้แสดงให้เห็นชัดว่า นายจักรภพ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าปะทะกัน และเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้องถามต่อไปว่า นายจักรภพ ต้องการปะทะเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอะไรหรือ
แต่คำตอบที่ชัดอยู่ในประโยคต่อไป "ไม่ เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์ เฮงซวย ของท่านอีกต่อไป" ถ้านายจักรภพ บริสุทธิ์จริงตามที่แถลงข่าว และพูดชัดว่า patronage แปลว่า อุปถัมภ์ ทำไมคราวนี้ นายจักรภพ กลับบิดเบือนคำแปลอย่างน่าเกลียดเป็น "เราไม่ต้องการความสุขลมๆ แล้งๆ แบบนั้นอีก" ใครกันแน่ที่บิดเบือน ตะแบง ไม่ยอมรับข้อเท็จจริง "ระบบอุปถัมภ์เฮงซวย ของใครหรือ" ตนคิดว่าการบิดเบือนคำแปลประโยคนี้เปิดเผยตัวตนของนายจักรภพ อย่างเห็นได้ชัดว่า อะไรคือความหมายของประโยคนี้
และมีความพยายามอีกหลายๆ ประโยค ที่พยายามตัดตอนความผิดให้กับขุนนาง เช่น "ทักษิณ ละเมิดกฎของการที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นอีกต่อไป" มีการเติมคำว่า "ผู้นำ" และแปรเปลี่ยนประโยคเป็น "พึ่งพาผู้นำคนอื่นๆ" เพื่อกลบเกลื่อนเจตุนารมย์ที่ชัดเจนของนายจักรภพ ที่ต้องการตัดตอนเพียงแค่ประธานองคมนตรี และเมื่อนายจักรภพ พูดถึงรัฐบาลพลัดถิ่น โดยบอกว่า "แม้ว่ามันอาจทำให้เกิดการปะทะกัน ก็ควรปล่อยให้เป็นเช่นนั้น" ก็บิดเบือนมาเป็น " และถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดการขัดแย้ง การต่อสู้อย่างรุนแรงในประเทศไทย" ทำให้เห็นว่า เป็นการบรรยายในเชิงวิชาการ แต่หารู้ไม่ว่า ในข้อเท็จจริงแล้ว โดยความสำนึกของตนต้องการให้มีการปะทะกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำนองว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
นอกจากนี้ ทำไมจึงต้องบิดเบือนประโยค "และทักษิณมิได้ทำไปเพื่อท้าทายใคร แต่มีคนที่รู้สึกว่าถูกท้าทายจากสิ่งที่เขาทำ" มาเป็น "และคุณทักษิณ ท้าทายทุกคน แต่บาง คนก็พ่ายแพ้ เพราะสิ่งที่เขาเป็น" เพื่อให้เห็นว่า มิได้ท้าทายคนหนึ่งคนใด จริงๆ แล้ว ต้องถามว่า นายจักรภพ กำลังหมายถึงใคร ทำไมถึงไม่กล้าระบุชื่อ
"ถ้าเป็นการบรรยายตามหลักวิชาการจริง ทำไมในคำแปลต้องตัดประโยคที่พิธีกรชาวต่างชาติพูด "ยังไม่แย่งไมโครโฟนกัน เพราะกำลังตะลึงกับสิ่งที่ คุณจักรภพ ได้บรรยายไป" เพราะถ้าเป็นการบรรยายเชิงวิชาการที่เกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์โดยขุนนางแบบไม่มีทัศนคติ ที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมเชื่อว่า ฝรั่งคงไม่ตะลึงหรอกครับ เพราะคุณจักรภพ ก็พูดเองไม่ใช่หรือว่า ฝรั่งมีข้อมูล และความรู้ที่ดีมากเกี่ยวกัประเทศไทย และสถานการณ์ที่สลับซับซ้อน และชวนปวดหัวอย่างไม่จำเป็นของการเมืองไทย แต่นี่เพราะเขาเข้าใจในสิ่งที่คุณจักรภพ บรรยาย มากกว่าในเอกสารที่คุณจักรภพนำมาแปล และนำมาเผยแพร่ใช่หรือไม่”นายศิริโชค กล่าว