“ศิริโชค” สุดทนออกโรงโต้ “เพ็ญ” พร้อมเปิดโปงคำแปรเอกสารเทียบคำต่อคำ ชี้ชัดวลี “เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์อีกต่อไป” เปิดเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริง-บังอาจบิดเบือนเพียงเพื่อหวังเพียงเอาตัวรอด
วันนี้ (27 พ.ค.) นายศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้แปลเอกสารคำบรรยายของนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ นายจักรภพ และคณะพยายามบิดเบือนคำแปลที่นำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ว่า นายจักรภพ แถลงกับสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปว่า “มีการหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมา คือ “we re led into believing that the best form of government is guided democracy of her majesty” ประโยคนี้ เจตนาของการแปลนั้น คือ “เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุด คือ…” และความหมายของประโยคนี้ได้ถูกนำไปบิดเบือนเป็นคำพูดว่า “มีคนมาทำให้เราเชื่อ” ไม่ใช่นั่นเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด ……
“เพราะฉะนั้น การแปลแบบนี้มีอคติ เป็นการแปลที่มีเจตนาจะให้เกิดเรื่อง” ในเอกสารคำแปลที่นายจักรภพ และพวกแปลนั้น ใช้คำว่า “เราถูกชักนำให้เชื่อว่า...” ซึ่งก็เหมือนกับคำแปลของคนที่นายจักรภพ กล่าวหาว่าแปลอย่างมีอคติ ไม่ต่างกัน คือ “มีคนมาทำให้เราเชื่อ...” มิได้แปลว่า “เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า” ตามที่ได้แถลงข่าวแต่อย่างใด” นายศิริโชค กล่าว
นายศิริโชค กล่าวอีกว่า นายจักรภพ และพวก ยังบังอาจแปลเอกสารที่บิดเบือนเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดหลายๆ กรณี เช่น “เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์อีกต่อไป” ทั้งที่ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “your” ซึ่งแปลว่าของท่าน ดังนั้นคำแปลที่ถูกควรเป็น “เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป” การแปลบิดเบือนเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่า คำว่า “ของท่าน” ต้องถามคุณจักรภพว่า “ของท่าน” ในที่นี้หมายถึงของใคร ถ้าเป็นของไพร่ หรือขุนนาง ทำไมถึงกลัวนักหนา
นอกจากนี้ นายศิริโชคยังกล่าวถึงประโยคของนายจักรภพ ที่ว่า “หากยังมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องมีระบอบประชาธิปไตย เราถูกชักจูงให้เชื่อว่ารูปแบบของการปกครองที่ดีที่สุด คือ การปกครองแบบประชาธิปไตยที่ถูกชี้นำ หรือการปกครองแบบประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอันสง่างามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งคำพูดดังกล่าวถูกบิดเบือนมาเป็น “ประชาธิปไตยภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยตัดคำว่า “การชี้นำอันสง่างามออก” ที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะในบริบทที่นายจักรภพ พูดตลอดก็คือ ไม่ต้องการได้ประชาธิปไตยแบบชี้นำ ถ้าไม่ตัดตรงนี้ออก ก็จะเห็นชัดว่าในความหมายของนายจักรภพ ใครคือผู้ชี้นำระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย
“นายจักรภพยังบังอาจบิดเบือนประโยคที่ว่า “ดังนั้น การมีพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือนั้น ไม่ใช่เรื่องบาป ไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่ทั้งหมดกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมตอนนี้เราจึงต้องปะทะกัน” ซึ่งเปลี่ยนไปเป็น “ดังนั้นการได้รับอุปถัมภ์จึงไม่ใช่การไม่มีอารยธรรม แต่เวลานี้ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และทำให้เกิดความขัดแย้งกัน” ประโยคนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นายจักรภพ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำว่าปะทะกัน และเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ต้องถามต่อไปว่านายจักรภพต้องการปะทะเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นอะไรหรือ” นายศิริโชค ระบุ
ส่วนคำตอบที่ชัดเจนนั้น นายศิริโชค กล่าวว่า อยู่ในประโยคต่อไปที่ว่า “ไม่ เราไม่ต้องการระบบอุปถัมภ์ และเฮงซวย ของท่านอีกต่อไป” ถ้านายจักรภพ บริสุทธิ์จริงตามที่แถลงข่าว และพูดชัดเจนว่า “patronage” แปลว่า “อุปถัมภ์” ทำไมคราวนี้ นายจักรภพ กลับบิดเบือนคำแปลอย่างน่าเกลียดเป็น “เราไม่ต้องการความสุขลมๆ แล้งๆ แบบนั้นอีก” ใครกันแน่ที่บิดเบือน และตะแบง ไม่ยอมรับข้อเท็จจริง ถามว่าระบบอุปถัมภ์เฮงซวย ของใครหรือ ตนคิดว่าการบิดเบือนคำแปลประโยคนี้ เปิดเผยตัวตนของนายจักรภพ อย่างเห็นได้ชัดว่า อะไรคือความหมายของประโยคนี้
“ที่สำคัญยังมีความพยายามอีกหลายๆ ประโยคที่พยายามตัดตอนความผิดให้กับขุนนาง เช่น “ทักษิณละเมิดกฎของการที่ต้องพึ่งพาคนอื่น ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นอีกต่อไป” โดยนายจักรภพ มีการเติมคำว่า “ผู้นำ” และแปรเปลี่ยนประโยคเป็น “พึ่งพาผู้นำคนอื่นๆ” เพื่อกลบเกลื่อนเจตุนารมย์ที่ชัดเจนของนายจักรภพ ซึ่งต้องการตัดตอนเพียงแค่ประธานองคมนตรี และเมื่อนายจักรภพ พูดถึงรัฐบาลพลัดถิ่น โดยบอกว่า “แม้ว่ามันอาจทำให้เกิดการปะทะกัน ก็ควรปล่อยให้เป็นเช่นนั้น” ซึ่งถูกบิดเบือนไปเป็น “ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเกิดการขัดแย้ง และการต่อสู้อย่างรุนแรงในประเทศไทย” ซึ่งนายจักรภพ ทำให้เห็นว่าเป็นการบรรยายในเชิงวิชาการ แต่หารู้ไม่ว่าในข้อเท็จจริงแล้ว โดยความสำนึกของตัวเอง คือ ต้องการให้มีการปะทะกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เข้าทำนองว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” นายศิริโชค กล่าว
นายศิริโชค กล่าวต่อว่า สำหรับประโยคที่ไม่เข้าใจว่าทำไมนายจักรภพ ต้องบิดเบือน คือ “และทักษิณ มิได้ทำไปเพื่อท้าทายใคร แต่มีคนที่รู้สึกว่าถูกท้าทายจากสิ่งที่เขาทำ” เปลี่ยนไปเป็น “และคุณ ทักษิณ ท้าทายทุกคน แต่บางคนก็พ่ายแพ้ เพราะสิ่งที่เขาเป็น” เพื่อให้เห็นว่า มิได้ท้าทายคนหนึ่งคนใด ซึ่งจริงๆ แล้วต้องถามว่านายจักรภพกำลังหมายถึงใคร ทำไมถึงไม่กล้าระบุชื่อ
“ถ้าเป็นการบรรยายตามหลักวิชาการจริง ทำไมในคำแปลต้องตัดประโยคที่พิธีกรชาวต่างชาติพูด “ยังไม่แย่งไมโครโฟนกัน เพราะกำลังตะลึงกับสิ่งที่คุณจักรภพได้บรรยายไป” เพราะถ้าเป็นการบรรยายเชิงวิชาการที่เกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์โดยขุนนางแบบไม่มีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ผมเชื่อว่าฝรั่งคงไม่ตะลึงหรอกครับ เพราะคุณจักรภพ ก็พูดเองไม่ใช่หรือว่า ฝรั่งมีข้อมูล และความรู้ที่ดีมากเกี่ยวกัประเทศไทย รวมทั้งสถานการณ์ที่สลับซับซ้อน และชวนปวดหัวอย่างไม่จำเป็นของการเมืองไทย แต่นี่เพราะเขาเข้าใจในสิ่งที่คุณจักรภพบรรยายมากกว่าในเอกสารที่คุณจักรภพนำมาแปล และนำมาเผยแพร่ใช่หรือไม่” นายศิริโชคกล่าวทิ้งท้าย