00 กำลังเดินเข้ามุมอับเข้าไปทุกทีแล้วสำหรับ “เพ็ญ” ซึ่งก็คือคนๆเดียวกับ “จักรภพ เพ็ญแข” ที่ก่อนหน้านี้น่าเชื่อว่าได้ดิบได้ดีเพราะ “ปาก” แต่ในอีกไม่อีกเพลาข้างหน้าก็น่าเชื่อว่ากำลังจะถึงจุดจบจากปากของตัวเอง เช่นเดียวกัน
00 เพราะถ้าพิจารณาจากเทปบันทึกภาพและเสียงเมื่อครั้งที่ไปอวดภูมิบรรยายว่าด้วยเรื่อง “ระบบอุปถัมภ์” ของไทย เมื่อปลายปีที่แล้ว และหากใครที่พอรู้เรื่องภาษาปะกิตรับรองจะต้องตบอกผางพร้อมพึมพึมกับตัวเองว่า “เพ็ญนี่มันไปซึมซับวิธีคิดแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
00 ไม่ว่าจะพลิกปูมย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตนักศึกษารั้วมหาลัยมาจนกระทั่งถึงทำงานด้านสื่อก็ไม่เคยเห็นแววเป็น “นักต่อสู้” ให้เห็นแม้แต่น้อย เพิ่งมาในช่วงหลังที่แหละหลังจากรับหน้าเสื่อสวมบท “ม็อบไข่แม้ว” แล้ว “ด่าเปรม” ได้ชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นก็ได้ดิบได้ดีพรวดพราดมาเป็นรัฐมนตรีอย่างไม่น่าเชื่อ
00 ถ้าพินิจพิจารณาจากคำพูดในสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อปลายปีที่แล้วตั้งแต่ต้นจนจบคงจะไม่แปลกที่หลายคนแม้กระทั่ง ผู้นำฝ่ายค้านฯออกมาสรุปตรงกันว่า “มันเป็นทัศนคติที่อันตรายต่อสถาบัน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปบรรยายในเวลาไล่เลี่ยกันที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา มันก็ชัดเจนยิ่งขึ้นจนไม่กล้านำมายกตัวอย่าง เพราะมันหมิ่นเหม่เหลือเกิน และอันตรายจริงๆ
00 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวลานี้แทบทุกฝ่ายเริ่มตื่นตัวมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับ เพ็ญมากขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าจับตาก็คือกรณีผู้นำเหล่าทัพ(ยกเว้น พล.ร.อ.สถิรพันธุ์) ที่เริ่มสุดทนและเริ่มฮึ่มฮ่ำกันบ้างแล้ว จนต้องมีนัดประเมินสถานการณ์ว่ากันว่าหลายคนมีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด ไม่เชื่อลองถามนายพลทัพฟ้าอย่าง “ชลิต พุกผาสุข” ก็ได้
00 นาทีนี้ถ้าจะให้ฟันธงก็จะมีรายการ “ตอนเพ็ญ” กันอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เป็นไปได้สูงยิ่ง สังเกตได้จากสัญญาณที่ส่งออกมาจากพรรคพลังประชาชนที่ออกอาการ “ชิ่ง” อย่างเห็นได้ชัดแถมยังให้พิจารณาตัวเอง ก่อนที่พาทุกคนพลอยซวยไปด้วย
00 ดังนั้นความพยายามในการที่ใช้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษเพื่อแปลคำพูดของตัวเองออกมาแก้ต่างมันก็คงจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนอกจากสังคมจะไม่ให้น้ำหนักแล้ว ยังทำให้เกิดแรงเหวี่ยงกลับมาหาตัวมากกว่าเก่าอีก เหตุผลที่อ้างข้างๆคูๆทำนองแปลกใจว่าเรื่องเกิดนานแล้วทำไมเพิ่งมากระพือมันไม่ใช่ประเด็น สำคัญก็คือคุณพูดแบบนั้นจริงหรือเปล่ามากกว่า !!
00 ถ้าพูดถึง เพ็ญ แล้วก็จะกล่าวถึง “หมัก” พร้อมกันไปด้วย รายนี้ก็อันตรายไม่แพ้กันและทำท่าจะต้องสะดุดขาตัวเองล้มคะมำก็เป็นไปได้สูงจากเรื่อง “ชิมไปด่าไป” นั่นแหละ หลังจากถูก “ส.ว.เรืองไกร” ยื่นร้อง กกต. ฐานรับจ๊อบเอกชนแบ่งปันกำไร
00 ฟังๆแล้วพร้อมกับพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว อย่างแรกรับรองว่าไม่ว่าจะมองในมุมไหนมันก็ “ไม่สมควร” ที่คนเป็นถึงผู้นำประเทศ เป็นผู้บริหารสูงสุดจะมาจัดรายการผ่านสื่อแล้วมีโฆษณาขายของกันอย่างโจ๋งครึ่มหากำไรกันจนพุงปลิ้น เนื่องจากทำให้บริษัทเอกชนรายอื่นๆเกิดความเสียเปรียบ ขณะเดียวกันยังอาจทำให้บริษัทที่ว่าจ้างให้ “คนที่เป็นนายกฯ” ดำเนินรายการแล้วไปใช้วิธีขอร้องแกมบังคับให้ซื้อเวลาโฆษณาก็เป็นได้
00 แม้ว่าในแง่กฎหมายไม่รู้ว่า “ลุงหมัก” จะ “พลาด” ขนาดจรดปากลงนามเซ็นรับค่าจ้างบริษัทเอกชน “ชิมไปด่าไป” หรือเปล่า ไม่เช่นนั้นก็ยิ่งไปกันใหญ่ รู้แต่ว่าเวลานี้ทางกกต.ได้ตั้งอนุกรรมการการมาสอบสวนแล้ว ก็ได้แต่รอ เชื่อว่าอีกไม่นานก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า แต่ที่แน่ๆถ้าย้อนดูประวัติของ “เรืองไกร” รับรองว่าไม่ธรรมดา ถ้าจับเรื่องไหนแล้ว ไม่ค่อยพลาด ก็บอกแล้วไงว่า ทั้งเพ็ญทั้งหมักนี่อันตรายจริงๆ !!
00 เพราะถ้าพิจารณาจากเทปบันทึกภาพและเสียงเมื่อครั้งที่ไปอวดภูมิบรรยายว่าด้วยเรื่อง “ระบบอุปถัมภ์” ของไทย เมื่อปลายปีที่แล้ว และหากใครที่พอรู้เรื่องภาษาปะกิตรับรองจะต้องตบอกผางพร้อมพึมพึมกับตัวเองว่า “เพ็ญนี่มันไปซึมซับวิธีคิดแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
00 ไม่ว่าจะพลิกปูมย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตนักศึกษารั้วมหาลัยมาจนกระทั่งถึงทำงานด้านสื่อก็ไม่เคยเห็นแววเป็น “นักต่อสู้” ให้เห็นแม้แต่น้อย เพิ่งมาในช่วงหลังที่แหละหลังจากรับหน้าเสื่อสวมบท “ม็อบไข่แม้ว” แล้ว “ด่าเปรม” ได้ชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นก็ได้ดิบได้ดีพรวดพราดมาเป็นรัฐมนตรีอย่างไม่น่าเชื่อ
00 ถ้าพินิจพิจารณาจากคำพูดในสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเมื่อปลายปีที่แล้วตั้งแต่ต้นจนจบคงจะไม่แปลกที่หลายคนแม้กระทั่ง ผู้นำฝ่ายค้านฯออกมาสรุปตรงกันว่า “มันเป็นทัศนคติที่อันตรายต่อสถาบัน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปบรรยายในเวลาไล่เลี่ยกันที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา มันก็ชัดเจนยิ่งขึ้นจนไม่กล้านำมายกตัวอย่าง เพราะมันหมิ่นเหม่เหลือเกิน และอันตรายจริงๆ
00 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวลานี้แทบทุกฝ่ายเริ่มตื่นตัวมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับ เพ็ญมากขึ้นเรื่อยๆ ที่น่าจับตาก็คือกรณีผู้นำเหล่าทัพ(ยกเว้น พล.ร.อ.สถิรพันธุ์) ที่เริ่มสุดทนและเริ่มฮึ่มฮ่ำกันบ้างแล้ว จนต้องมีนัดประเมินสถานการณ์ว่ากันว่าหลายคนมีสีหน้าค่อนข้างเคร่งเครียด ไม่เชื่อลองถามนายพลทัพฟ้าอย่าง “ชลิต พุกผาสุข” ก็ได้
00 นาทีนี้ถ้าจะให้ฟันธงก็จะมีรายการ “ตอนเพ็ญ” กันอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็เป็นไปได้สูงยิ่ง สังเกตได้จากสัญญาณที่ส่งออกมาจากพรรคพลังประชาชนที่ออกอาการ “ชิ่ง” อย่างเห็นได้ชัดแถมยังให้พิจารณาตัวเอง ก่อนที่พาทุกคนพลอยซวยไปด้วย
00 ดังนั้นความพยายามในการที่ใช้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษเพื่อแปลคำพูดของตัวเองออกมาแก้ต่างมันก็คงจะไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนอกจากสังคมจะไม่ให้น้ำหนักแล้ว ยังทำให้เกิดแรงเหวี่ยงกลับมาหาตัวมากกว่าเก่าอีก เหตุผลที่อ้างข้างๆคูๆทำนองแปลกใจว่าเรื่องเกิดนานแล้วทำไมเพิ่งมากระพือมันไม่ใช่ประเด็น สำคัญก็คือคุณพูดแบบนั้นจริงหรือเปล่ามากกว่า !!
00 ถ้าพูดถึง เพ็ญ แล้วก็จะกล่าวถึง “หมัก” พร้อมกันไปด้วย รายนี้ก็อันตรายไม่แพ้กันและทำท่าจะต้องสะดุดขาตัวเองล้มคะมำก็เป็นไปได้สูงจากเรื่อง “ชิมไปด่าไป” นั่นแหละ หลังจากถูก “ส.ว.เรืองไกร” ยื่นร้อง กกต. ฐานรับจ๊อบเอกชนแบ่งปันกำไร
00 ฟังๆแล้วพร้อมกับพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว อย่างแรกรับรองว่าไม่ว่าจะมองในมุมไหนมันก็ “ไม่สมควร” ที่คนเป็นถึงผู้นำประเทศ เป็นผู้บริหารสูงสุดจะมาจัดรายการผ่านสื่อแล้วมีโฆษณาขายของกันอย่างโจ๋งครึ่มหากำไรกันจนพุงปลิ้น เนื่องจากทำให้บริษัทเอกชนรายอื่นๆเกิดความเสียเปรียบ ขณะเดียวกันยังอาจทำให้บริษัทที่ว่าจ้างให้ “คนที่เป็นนายกฯ” ดำเนินรายการแล้วไปใช้วิธีขอร้องแกมบังคับให้ซื้อเวลาโฆษณาก็เป็นได้
00 แม้ว่าในแง่กฎหมายไม่รู้ว่า “ลุงหมัก” จะ “พลาด” ขนาดจรดปากลงนามเซ็นรับค่าจ้างบริษัทเอกชน “ชิมไปด่าไป” หรือเปล่า ไม่เช่นนั้นก็ยิ่งไปกันใหญ่ รู้แต่ว่าเวลานี้ทางกกต.ได้ตั้งอนุกรรมการการมาสอบสวนแล้ว ก็ได้แต่รอ เชื่อว่าอีกไม่นานก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า แต่ที่แน่ๆถ้าย้อนดูประวัติของ “เรืองไกร” รับรองว่าไม่ธรรมดา ถ้าจับเรื่องไหนแล้ว ไม่ค่อยพลาด ก็บอกแล้วไงว่า ทั้งเพ็ญทั้งหมักนี่อันตรายจริงๆ !!
