หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงซัด “เพ็ญ” จอมบิดเบือน-ลวงโลก พร้อมเปิดวีซีดีเปิดโปง 20 ประเด็นพูดแทน “แม้ว” ย้ำชัดจงรักภักดีเพียงบางส่วน จี้ “หมัก” รับผิดชอบหากบานปลาย ย้อนอดีต “ไข่แม้วดำ” ตบปาก ระบุ โดนคดีหมิ่นก็เคยจี้ให้ลาออกโดยไม่รอกระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (27 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เปิดแถลงข่าวตอบโต้ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีแปลคำปาฐกถาที่ถูกระบุว่า ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ว่า การแถลงข่าววันนี้ทำไปด้วยความไม่สบายใจ ประการหนึ่ง เพราะเรื่องที่จะหยิบยกมาขยายความเป็นละเอียดอ่อน จึงได้ระมัดระวังหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกขยายผลออกไป แต่มีความจำเป็นที่จะต้องแถลงข่าว เพราะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้เปิดแถลงข่าว และได้ใช้สถานะความเป็นรัฐมนตรีให้มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐ มีการกล่าวหาตน และพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอความเป็นธรรมจากสื่อทุกแขนงในการให้พื้นที่เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้อย่างสมบูรณ์และรอบด้าน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนและพรรคยืนยันจุดยืนและความเห็นของพรรค และยืนยันคำแปลที่เป็นปัญหาของนายจักรภพ และยืนยันความเห็นว่าเป็นทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และไม่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งอีกต่อไป และการยืนยันความเห็นของพรรคในเรื่องนี้ มีขึ้นหลังจากที่ได้ฟังคำชี้ของนายจักรภพ ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของพวกเราที่ได้นำเสนอโดยไม่ได้ผิดเพี้ยน การแถลงวันนี้จะอธิบายว่านายจักรภพมีจุดประสงค์อะไร และทัศนคติที่สะท้อนผ่านคำบรรยายอย่างไรบ้าง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ก่อตั้งเมื่อปี 2489 ประกาศอุดมการณ์ชัดเจว่าต่อสู้รักษาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นอุดมการณ์ที่ได้สืบทอดสืบสานมาจนปัจจุบัน ถ้าการสืบสานรวมความจงรักต่อสถาบันเป็นความคิดที่นายจักรภพคิดว่าเป็นเรื่องเก่า ตนก็พร้อมที่จะยอมรับและรักษาไว้ตลอดไป พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ทีดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีหน้าที่ปกปักรักษาสถาบันหลักของชาติ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นเพราะมีนายตำรวจไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายจักรภพ เมื่อเกือบสองเดือนที่ผ่านมาในข้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างที่เข้ าใจกัน ตนป็นนักการเมืองก็มีความจำเป็นต้องตรวจสอบ สิ่งที่ทำได้ไปคือการขอดีวีดีทีบันทึกภาพและเสียง จากนั้นได้ไปถอดเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นก่อนที่นายจักรภพจะเป็นรัฐมนตรี ซึ่งแนวความคิดคือสาระสำคัญ ตนไม่เคยเห็นคำแปลที่นายตำรวจเป็นผู้แปลๆ ว่าอย่างไร มีการบิดเบือนหรือไม่
“ผมใช้ชีวิตกว่าสิบปีในประเทศอังกฤษ อ่านภาษาอังกฤษแล้วตกใจ คาดไม่ถึงว่าจะมีบุคคลแสดงความคิดเห็นท้าทายเช่นนี้ จึงลองเอาคำบรรยายภาษาอังกฤษให้คนที่รู้จักและอ่านภาษาอังกฤษได้อ่าน ก็พบว่ามีความเห็นไม่ต่างจากผม จึงตัดสินใจว่าดำเนินการอย่างไร เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงทำหนังสือเป็นการภายในถึงนายกฯ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องเว็บไซต์ต่างๆ ที่เปิดขึ้นมาประหนึ่งว่าจะให้มีการล้มล้างสถาบัน ก็นำเสนอนายกฯ เป็นการภายใน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพื่อจะได้ตัดสินใจลดชนวนความขัดแย้ง เพราะขณะนั้นเริ่มมีคำบรรยายและการมีแปลกันไม่ทราบกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ขยายสู่วงกว้างในสังคม จึงระมัดระวังไม่ให้นำเรื่องสู่เวทีการการเมือง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรายืนยันเจตนาที่จะตรวจสอบตามข้อเท็จจริง หากวันนี้นายจักรภพลาออกหรือนายกฯ ปรับออก ก็นึกไม่อออกว่ารัฐมนตรีคนใดจะเป็นปัญหาอีก เพราะอยู่ที่พฤติกรรมของแต่ละบุคคล การที่ นายจักรภพ บอกว่า พวกเราไม่เคารพกระบวนยุติธรรมนั้นไม่น่าเชื่อว่า นายจักรภพ เรียนจบรัฐศาสตร์ เพราะความรับผิดชอบทางการเมืองและกฎหมายต่างกัน กระบวนการยุติธรรมก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม แต่ทางการเมืองต้องปลดชวนความขัดแย้ง ไม่ให้เป็นช่องให้เหิมเกริมในหมู่คนที่จ้องจะทำลายหรือลบล้างสถาบันหลักของชาติ
ผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า การแถลงข่าวของนายจักรภพต้องการการเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญที่ได้พูดและทำอะไรไว้ ว่าเป็นการขัดแย้งกับตน ซึ่งไม่ใช่ เพราะเป็นเรืองใหญ่กว่าความขัดแย้งระหว่างพรรคและบุคคลอย่างแน่นอน และตนจะไม่ให้สังคมไขว้เขวอย่างที่นายจักรภพ ต้องการชักนำ โดยการไปต่อล้อต่อเถียงกับนายจักรภพ นายจักรภพใช้เวลานานนับสัปดาห์ในการเตรียมตัวแถลง ถ้าพรรคประชาธิปัตย์แปลผิดด้วยอคติแล้วนำมาบิดเบือน ป่านนี้นายจักรภพต้องออกมาชี้สิ่งที่แปลผิดและบิดเบือน แต่คำแถลงของนายจักรภพที่พูดว่าพรรคประชาธิปัตย์บิดเบือน แต่กลับยกตัวอย่างไม่ได้แม้แต่คำเดียว เมื่อถูกสอบถามก็ตอบไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายจักรภพ ระบุว่า นายตำรวจที่ไปแจ้งความดำเนินคดีบิดเบือน ขณะเดียวกัน บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์แปลได้ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อแถลงเสร็จแล้วกลับบอกว่าจะฟ้องพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ฟ้องผู้ที่แปลบิดเบือน นอกจากนี้ ยังจับเท็จได้ว่าพูดไม่จริงอย่างไร เช่น เรื่องเล็กๆ ทางภาษาที่ง่ายต่อความเข้าใจ ก็ทำให้ตนรู้ว่ามาตรฐานทางภาษาและคุณธรรมของนายจักรภาพ เป็นไปอย่างที่ตนคิดทุกประการ
“นายจักรภพ ตอบคำถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) มีความจงรักภักดีเต็มร้อยหรือไม่ ว่า some royalty ซึ่งย่อมหมายความว่าบางส่วน ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ได้มีความจงรักภักดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่ง นายศิริโชค โสภา ผู้แปล ก็พร้อมจะดีเบต” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวในช่วงนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดดีวีดี ช่วงที่ นายจักภพกล่าวปาฐกถา ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ กล่าวตอบผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศที่ถามว่า พ.ต.ทักษิณ มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ แต่ นายจักรภพ ได้ตอบยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความจงรักภักดีอยู่บ้าง ซ้ำกันถึง 2 ครั้ง
จากนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากจะเบี่ยงเบนแล้ว นายจักรภพ ยังระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ดึงสถานบันมาเกี่ยวกับการเมือง เพราะพวกเราไม่มีความประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น แต่มีความสงสัยว่าเอกสารที่ที่ปรึกษาของนายจักรภพ ที่เสนอว่า หาก นายจักรภพ ถูกพาดพิงเสียหายให้เผยแพร่สารคดีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ นายจักรภพ ก็ให้ดำเนินการตามที่เสนอ ถ้าบอกว่า ทำไปเพื่อสยบกระแสข่าวดังกล่าวพฤติกรรมอย่างนี้ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ขอเรียกร้องว่า สังคมอย่างสับสนและถูกเบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริง ไม่ต้องไปหลงว่าใครแปลผิดถูก เพราะมีทัศนะของนักวิชาการ คือ นายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้วิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการว่าหมายความว่าอย่างไร
“นายจักรภพ ได้บรรยายถึงสาระหลัก คือ ประชาธิปไตยไม่ก้าวหน้าเพราะระบบอุปถัมภ์ ความหมายคือนายจักรภพต้องการสื่อว่าอย่างไร เห็นครั้งแรกแล้วไม่น่าเชื่อว่านายจักรภพจะเป็นคนมุ่งมั่นต่อต้านระบบอุปถัมภ์ เพราะนายจักรภพไม่เคยพูดหรือมีพฤติกรรมต่อต้านระบบอุปถัมภ์ แต่ที่ทำให้นายจักรภพนั่งในที่มีความสุข เพราะได้ระบบอุปถัมภ์ แต่บังเอิญระบบไพร่อุปถัมภ์ หรือระบบอุปถัมภ์สามานย์ที่สุด ที่บางคนประกาศว่าถ้าไม่เลือกผมไม่ต้องเอางบประมาณ เหล่านี้นายจักรภพไม่เคยต่อต้าน แต่นายจักรภพกลับอ้างว่าต่อต้านระบบขุนนาง เป็นการยืนยันต่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คำบรรยายหลายหน้าของ นายจักรภพ ไม่มีคำว่าอมาตยาธิปไตย ไม่มีคำว่าขุนนาง พูดถึงแต่สถาบันพระมหาษัตริย์ องค์พระมหากษัตริย์ตั้งแต่สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ไม่ได้พูดถึงขุนนาง มีการปลุกเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ตกลงหมายถึงขุนนางหรือไม่ เช่น ระบุว่า การลงประชามติรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ว่าฝ่ายหนุนคือกลุ่มประชาชนคนเสื้อเหลือง โดยระบุว่า yellow shirt people
“ผมถามว่า เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของขุนนางและศักดินาหรือ นายจักรภพ บอกว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถจบได้อย่างปี 2535 เพราะครั้งนี้ทุกคนเกี่ยวข้อง จะไม่มีผู้ตัดสินเหมือนปี 2535 เพราะทุกคนลงมาเล่นทั้งหมด และพยายามอ้างว่าหมายถึง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ และ พล.อ.เปรม แต่ถามว่าในความคิดของชาวโลกเหตุการณ์ครั้งนั้นจบลงได้ด้วยการไกล่เกลี่ยของใคร ฉะนั้น ไม่ได้น่าจะหมายถึงขุนนางหรือศักดินาอย่างที่นายจักรภพกล่าวอ้าง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า อีกตัวอย่างคือ นายจักรภพ ได้บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้บริหารมืออาชีพ ถ้าเจ้าของประเทศไม่พอใจ ก็จะไปบริหารบริษัทอื่น แล้วนำมาเทียบเคียงกับการบริหารประเทศ เจ้าของประเทศ คือ ขุนนาง หรือศักดินา ที่นายจักรภพบอกว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงถอนรากเพื่อล้างระบบอุปถัมภ์ ถ้าเป้าหมายอยู่ที่ประธานองคมนตรี ซึ่งจะเปลี่ยนระบบแบบถอนรากถอนโคน จะไม่กระทบสถาบันได้อย่างไร ซึ่งถ้อยคำพาดพึงสถาบันไม่ได้มีเพียงเท่านี้ โดยมีมากว่า 20 ประเด็น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นสุดท้าย นายจักรภพ ได้พาดพิงว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำลายล้างผู้อื่น โดยตั้งแต่ตนมาอยู่กับพรรคในปี 2535 พวกเราเป็นฝ่ายค้านหลายรัฐบาล ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ ถ้าในความทรงจำของตน จำได้กรณี นายวีระ มุสิกพงศ์ ซึ่งวันนั้นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นเลขาธิการพรรคได้รับโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในปี 2529 ศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่ นายสมัคร สุนทรเวช ได้อภิปราย จนต้องมีการประชุมลับ จากนั้น นายวีระ ก็ลาออกจากนั้น 1 สัปดาห์ ส่วนอีกกรณีที่มักจะพาดพิงถึงคือกรณี นายปรีดี พนมยงค์ คนรุ่นตน และนายจักรภพ รู้เท่ากัน และตนสารภาพว่าไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าตั้งแต่มาอยู่ที่พรรค หัวหน้าพรรคทุกคนได้ยกย่องนายปรีดีทุกคน เพราะสองหัวหน้าเป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ ส.ก.ของพรรคยังมีส่วนในการผลักดันให้ตั้งชื่อถนนปรีดี พนมยงค์ และถนนประดิษฐ์มนูธรรม นายจักรภาพอย่าได้เบี่ยงเบนไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีต เพราะสาระสำคัญคือนายจักรภพขาดความเหมาะเพราะได้แสดงทัศนคติซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“วันนั้น นายสมัคร ก็ไม่ได้รอคำพิพากษาเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากเหตุการณ์ทั้งหมดจากการจาบจ้างสถาบัน จนบานปลาย นายสมัคร ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหน้าที่ชี้แนะไปแล้ว และจะไม่ให้ขยายลุกลามใหญ่โตไปไหนอีก” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังยอมรับคำท้าของ นายจักรภพ เพื่อขึ้นเวทีดิเบต โดยมอบหมายให้นาย ศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ไปขึ้นเวทีชี้แจง เนื่องจาก นายศิริโชค เป็นผู้แปลเอกสารฉบับนี้