“จักรภพ” แถลงข่าวหลังกบดานเงียบพลิกแพลงแปลคำบรรยายจาบจ้วงสถาบัน เป็นไปตามคาดปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จีบปากฟุ้งขอปกป้องสถาบันกษัตริย์สุดชีวิต ขอซุกหัวต่ออีก 7 วันแต่ไม่ยอมลาออกเพื่อแสดงสปิริต
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายจักรภพ เพ็ญแข แถลงข่าว
วันนี้ (26 พ.ค.) นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมกับเพื่อนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้นำคำแปลการปาฐกถาพิเศษที่เคยกล่าวไว้ในงานสัมมนาผู้สื่อข่าวต่างประเทศ มาชี้แจงต่อสาธารณชน ซึ่งมีทั้งหมด 4 ชุด ชุดหนึ่งเป็นของนายจักรภพเอง อีกชุดเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นภาษาอังกฤษอีก 1 ชุด รวมถึงเป็นของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ อีก 1 ชุด ซึ่งทั้งหมดเพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า ในคำปาฐกถาดังกล่าวนั้นไม่มีข้อความใดที่สื่อให้เห็นว่านายจักรภพนั้นมีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันตามที่ฝ่ายค้านออกมากล่าวอ้าง
ทั้งนี้ นายจักรภพยังไม่ระบุชัดเจนว่าจะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แม้ว่าก่อนหน้านี้ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาจะถูกดดันอย่างหนักจากหลายฝ่ายเพื่อขอให้ลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงการที่ฝ่ายค้านยื่นเรื่องขอถอดถอนออกจากตำแหน่งด้วย
ล่าสุด นายจักรภพระบุว่าจะขอลากิจ 7 วัน และจะกลับมาทำงานอีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยก่อนหน้านี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน ออกมายืนยันชัดเจนว่าจะไม่ลาออกอย่างแน่นอน
รายละเอียด “จักรภพ” แถลงชี้แจงถูกกล่าวหาหมิ่นเบื้องสูง
“... ซึ่งถ้าพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่าผิดจริงแล้ว สมควรที่ต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างรุนแรง ทุกท่านที่เคารพครับ เรื่องนี้ไม่ถึงขั้นนั้นเลย เป็นเพียงคำกล่าวหาจากบุคคลหนึ่ง ซึ่งไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผสมด้วยการขยายประเด็นอย่างบิดเบือน โดยพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ ขยายความสื่อมวลชนจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ของบ้านเมือง ทั้งที่ความจริงแล้ว ผู้ที่มีโอกาสหรือมีเวลาได้อ่านคำบรรยายที่นำมาเป็นต้นเรื่อง อย่างแท้จริงและตลอดนั้น คนที่ได้อ่านมีไม่กี่คนหรอกครับ ส่วนใหญ่เป็นการนำคำพูดของผู้อื่นมาถ่ายทอดซ้ำ พูดง่ายๆ คือผมถูกกล่าวหาทางสังคมโดยคำพูดของคนอื่น ไม่ใช่คำพูดตัวเองเลย
หากวิเคราะห์เรื่องนี้ ผมขอใช้เวลาตอนต้นซักนิดก่อนเข้าสู่เอกสารที่เป็นตัวต้นเรื่อง เราพบว่า เหตุที่เขาสามารถบิดเบือนเรื่องนี้กันได้มาก และยาวนานจนบัดนี้ มีเหตุ 3 ประการ
ประการแรก คือ เป็นคำบรรยายภาษาอังกฤษ ซึ่งพูดสด ไม่ได้มีคำบรรยายละเอียดแบบคำต่อคำล่วงหน้า มีแต่เพียงหัวเรื่องของผู้บรรยายเท่านั้น และบรรยายสดไป โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถ้าผมจำไม่ผิด ซึ่งหมายความว่า ถ้าจะเข้าใจเอกสารนี้ ก็ต้องแปลเป็นไทย เมื่อแปลแล้ว มันก็ขึ้นกับคนแปลว่า จะแปลอย่างซื่อสัตย์ หรือแปลอย่างฉ้อฉล
ประการที่ 2 ที่บิดเบือนกันได้มาก เพราะว่าเป็นการพูดต่อหน้าคนฟังที่เป็นชาวต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมไทยน้อยกว่าคนไทย จะบรรยายอะไรให้เขาฟัง เกี่ยวกับเมืองไทย ก็ต้องลำดับความเป็นขั้นๆ โดยละเอียดก่อนมุ่งสู่เป้า คือข้อสรุป ไม่เหมือนพูดกับคนไทย เพราะฉะนั้นการอธิบายต่างๆ ศัพท์สำนวน จึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบริบทในการพูดกับคนไทยได้
ประการที่ 3 นี่เป็นคำบรรยายเชิงวิชาการ ซึ่งผมขึ้นเวทีคู่กับนักวิชาการอีกท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านก็พูดเป็นวิชาการเหมือนกัน นี่ไม่ใช่เป็นการบรรยายเรื่องการเมือง หรือให้นโยบายใดๆ ทั้งสิ้น พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนที่เคารพครับ ผมเองยอมรับว่า รู้สึกโกรธที่ถูกกล่าวหาในความไม่จงรักภักดี โดยนำเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ มาชี้ประเด็นที่เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับตัวผมเอง รัฐบาล และคนที่อยู่ในแวดวง ครอบครัว ญาติสนิท มิตรสหายของผม ท่านเหล่านี้ได้รับผลกระทบไปด้วย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ มีความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา ผมจึงถือว่าเรื่องนี้เป็นความสำคัญที่ต้องมานั่งอธิบายกันให้ชัด ผมคงไม่ถือโอกาสวันนี้ในการลำดับความ ในรายละเอียด แต่จะพูดโดยคร่าวว่า ความจงรักภักดีของผมและครอบครัวนั้น เป็นที่ประจักษ์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว
ครอบครัวผมเป็นครอบครัวทหารอากาศ ได้รับราชการมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ถึงคุณพ่อและถึงพี่ชาย 2 คน ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพอยู่ท่านหนึ่ง อีกท่านลาออกมาประกอบอาชีพในรัฐวิสาหกิจ คนทั้งหมดเหล่านี้ได้ปลูกฝังให้ผมรับรู้ความสำคัญ และความหมายของสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่เกิด สิ่งเหล่านี้ติดตัวผมมา ทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่โตแล้วก็เขียนกลอน เขียนงานนิพนธ์ต่างๆ ในทางที่เป็นการเฉลิมพระเกียรติมาหลายครั้ง แต่นี่คงไม่เป็นเวลาที่จะพูดในรายละเอียดนั้น ก็ขอให้ประวัติเหล่านี้เป็นตัวบอกด้วยตัวเอง และมาจนถึงขณะนี้ ดีแล้วครับที่มีการกล่าวหาเรื่องนี้ ผมจะได้บอกว่าขณะนี้เองผมเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งนอกจากจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรี
หลังจากมีคำบรรยายนี้แล้ว ผมยังทำหน้าที่ในการถวายงานแก่เจ้านายในพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นจำนวนมากมายหลายงาน เช่น งานพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งผมเป็นประธาน อนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ งานที่เกี่ยวกับหอภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว งานที่เกี่ยวกับโครงการตามแนวพระราชดำริ และโครงการพระราชดำริต่างๆ มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องความดี เป็นเรื่องจิตใจที่ต้องทำ ผมไม่ได้คิดว่าดี หรือเสีย กับผม แต่คิดว่าต้องทำ เพราะสถาบันระดับสูงนั้นเป็นเลือดเนื้อ เป็นจิตวิญญาณของความเป็นคนไทย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว คนที่พยายามจะปลุกเรื่องนี้และมองไปถึงขั้นว่า มีแนวความคิดที่ไม่เป็นผลดีต่างๆ ต่อสังคม ต่อไป คงได้เห็นหลักฐานที่จะทำให้ละอายแก่ใจตนเอง ถ้ายังมีความละอายนั้นอยู่ในกมลสำนึกบ้าง
การบรรยายในวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ท่านสื่อมวลชนและท่านผู้มีเกียรติครับ ผมได้กระทำอย่างเปิดเผย ต่อหน้าผู้คน สื่อมวลชน กล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายภาพยนตร์เป็นจำนวนมาก ซึ่งผมก็รู้ล่วงหน้า เพราะฉะนั้น ผมจึงมีความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ ที่จะทำให้การบรรยายครั้งนั้น เป็นเรื่องของวิชาการ เป็นการบรรยายให้ชาวต่างประเทศฟังเพื่อเกิดความเข้าใจ และที่สำคัญคือ ต้องพูดในภาษาที่เขาจะเข้าใจได้ โดยไม่ผิดเพี้ยนไปจากความหมายในภาษาไทยของเรา
เอาละครับ เกริ่นมายาวต้องบอกว่า ผมขอให้แต่ละท่านในวันนี้ รับเอกสารไปท่านละ 1 ชุด ขอให้ถามหาและตามไปให้ครบทุกๆ สำนวนในนั้น ในเอกสารที่แจกนี้ มีเอกสารอยู่ 4 อย่างด้วยกัน ขอให้ท่านเช็คว่าได้ไปครบ
1.คือ คำบรรยายภาษาอังกฤษ
2.คือ คำแปลภาษาไทย
3.สำนวนแปลของผู้แจ้งความ คือ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี
และ 4 สำนวนแปลของพรรคประชาธิปัตย์ ที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่งมาให้ นายกรัฐมนตรี เพื่อเรียกร้องให้ปลดผมจากคณะรัฐมนตรี ผมคงใช้เวลาซักเล็กน้อยตรงนี้ เพราะการแปลตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในสำนวนแปลทั้ง 3 สำนวนนี้ได้ปรากฏความแตกต่างในทางที่เป็นความเป็นความตายในคดีนี้อยู่มาก
เป็นต้นว่า ศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่เป็นหัวใจของการบรรยายครั้งนี้ คือคำว่า ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งในภาษาอังกฤษว่า Patronage นั้น ปรากฏว่าในสำนวนแปลทั้งของผมเอง และของพรรคประชาธิปัตย์ แปลตรงกันว่า ระบบอุปถัมภ์ ถูกต้อง แต่สำนวนแปลของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กลับระบุคำแปลนี้ ว่า ราชาธิปไตยระบบเผด็จการ
ท่านมองเห็นไหมครับ บิดเบือนกันอย่างดื้อๆ เอาคำว่า ระบบอุปถัมภ์ เป็นคำว่า ราชาธิปไตย และบางคำซึ่งไม่ได้ส่งผลผิดทางกฎหมาย แต่กระเทือนใจมาก เช่นคำว่า myth ซึ่งคำแปลที่ถูกต้องคือ ตำนาน คือเรื่องที่เล่าขานกันต่อๆ มา คือเรื่องที่เชื่อ ที่เคารพ ที่ยึดมั่นเป็นจิตใจกันต่อๆ มา สำนวนแปลของผม กับของประชาธิปัตย์ แปลตรงกันว่า ตำนาน สำนวนแปลของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กลับแปลว่า เทพนิยาย นี่คือตัวอย่างเบาะๆ เท่านั้น ยังมีเต็มไปหมดทั้งฉบับเลย ซึ่งผมขอให้ท่านได้อ่าน และจะถามกันบ่อยๆ ถามกันอีกเชิญ มีเวลาดูอยากให้ถามวันนี้ด้วย ผมจะได้อธิบายไปทีละคำทีละประโยค และขออนุญาตพูดยาวนิดเถอะ เพราะมี 2 ประโยค ที่สื่อมวลชนยกขึ้นมา และบอกนี่ละ สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง ต้องขอประทานโทษที่ต้องขอนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ เป็นประโยคยาวหน่อย ซึ่งผมจะแปลให้ฟัง
มีการหยิบยกประโยคนี้ขึ้นมาว่า We are led into believing that the best form of government is guided democracy, or democracy with His Majesty greatest guidance. ประโยคนี้ เจตนาของการแปลนั้น คือว่า เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า ระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้น คือ เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบมีการนำวิถีในทางที่ดี นั่นคือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความหมายของประโยคนี้ได้ถูกนำไปบิดเบือนว่า เป็นการพูดว่า มีคนมาทำให้เราเชื่อ ไม่ใช่ นั่นเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด เหมือนกับแปล Breakfast ว่าหยุดเร็ว ซึ่งต้องแปลว่าอาหารเช้า เพราะฉะนั้น การแปลแบบนี้มีอคติ เป็นการแปลที่มีเจตนาจะให้เกิดเรื่อง เพราะฉะนั้น ผมถึงต้องเอาสำนวนแปลทุกคนมาเรียงให้ท่านได้เห็น เพื่อที่จะดูว่าของจริงเป็นเช่นไร
นี่อีกประโยคหนึ่ง the current state…..will not end like the May incident of 1992. There’s no one to end it because everyone is involved. สถานการณ์การเมืองขณะนี้จะไม่จบเหมือนสถานการณ์เดือนพฤษภาคม เมื่อปี 2535 เนื่องจากไม่มีใครคิดจะยุติเหตุการณ์ ก็ทุกคนเกี่ยวข้อง ประโยคนี้ได้ถูกนำมาตีความ ว่าผมหมายถึงบุคคลระดับสูง ก็ขอเรียนในที่นี้ว่า นั่นก็สามานย์เหมือนกัน แปลแบบนั้น ความคิดของคนที่ไปบรรยายวันนั้น คือตัวผมเอง คือการชี้ให้เห็นว่าในครั้งนั้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ได้โปรดเกล้าฯ ให้บุคคลต่างๆ ไปดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานองคมนตรีและองคมนตรีในขณะนั้น ซึ่งคือ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถ้าหากพี่น้องประชาชนยังจำได้ แต่ในคราวนี้น่าเสียดายว่า มีความเชื่อกันว่าบุคคลที่น่าจะรับใส่เกล้าไปช่วยแก้ปัญหา กลับเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองเสียเอง ความคิดของผมคืออย่างนั้นในการที่จะอธิบาย นี่เป็นการพูดโดยที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายครับว่า องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นทรงอยู่เหนือการเมือง คนอย่างผมไม่ต้องมานั่งอธิบายตรงนี้ ก็ฝรั่งถ้าอยากอยู่เมืองไทยก็ต้องเข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ได้ นำมาคิดว่าเกี่ยวพันกันก็ไม่เป็นสิริมงคลแล้ว
เพราะฉะนั้น เรื่องที่ได้ปรากฏในตัวอย่างอย่างนี้ เป็นความแตกต่างในการแปล เมื่อเห็นเจตนาอย่างนี้แล้ว ผมจึงจะอยู่เฉยไม่ได้ ผมกำลังมอบหมายให้ทีมงานกฎหมาย หลังจากที่เราได้ผ่านขั้นตอนในการพิสูจน์ในส่วนผมแล้ว ผมจะดำเนินการทางกฎหมายกับพรรคประชาธิปัตย์ การใช้สถาบันระดับสูงมาทำลายทางการเมือง จะเป็นวัฒนธรรมของใครไม่สำคัญ แต่ผมถือว่าเป็นการทำต่อเนื่องที่สร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องให้กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ผมขอเรียกร้องในวันนี้ หลังจากเห็นสำนวนแปลของทุกคนแล้ว ผมขอให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จงแสดงความรับผิดชอบในการแปลออกมา ขอให้บอกกับสังคมว่า ใครแปลสำนวนของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุชื่อ-นามสกุล ที่เป็นของจริงไม่ใช่ของปลอมออกมา ผมจะได้ฟ้องถูก ถ้าหากหาคนแปลไม่ได้ หรือไม่กล้าเปิดเผย ให้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ค้ำประกันการแปลนั้น ว่าพรรคประชาธิปัตย์และคุณอภิสิทธิ์คิดว่าถูกต้อง ประการที่ 2 การเรียกร้องให้ปลดผม หรือการดำเนินการถอดถอนโดยไม่ให้โอกาสกับกระบวนการยุติธรรมตามหน้าที่ ถือเป็นการแสดงความไม่เคารพต่อระบบที่มีอยู่ ถือเป็นความสิ้นคิด ขาดความเป็นผู้ใหญ่ ประการที่ 3 ผมอยากจะเอ่ยไว้ตรงนี้นะครับ จะมีความหมายหรือไม่ มีความสำคัญหรือไม่ไม่สำคัญ
แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้ว่า เรื่องนี้จะเป็นการพิสูจน์กับคนทั้งหลายในระยะยาวว่า ระหว่างผมกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใครเป็นผู้จงรักภักดีอย่างแท้จริงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่ถวายงาน คนที่ถูกกล่าวหาแล้วพยายามหาหนทางทุกอย่างในการอธิบาย กับคนที่คอยใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตน ใครเป็นคนดึงฟ้าต่ำ สังคมกำลังรอตัดสินเรื่องนี้อยู่ ขณะเดียวกัน เรื่องของการทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมนั้น ผมก็ได้เรียนแล้ว ว่าผมเชื่อว่า นักการเมืองไม่ว่าซีกรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็ต้องให้ความเคารพต่อระบบนี้เช่นเดียวกัน
ในเรื่องนี้ผมพร้อมจะเผชิญหน้ากับคุณอภิสิทธิ์ทุกเวที ถ้าอยากจะหยิบมาทีละคำ ทีละประโยค สะกดกันทีละตัวเลยเอา บอกมาว่าที่ไหนอย่างไรเวลาใดแล้วผมจะไป ให้มันรู้กันสักทีครับว่า จะใช้วิธีการนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ในสังคมไทย ผมเสียดายที่คุณอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่แต่มีความคิดที่เก่าสุดกู่ ยังคงนำเอาความต่อเนื่องของด้านลบในอดีตมาใช้ต่อไปในขณะที่เมืองไทยมาถึงขั้นนี้แล้ว
ในส่วนของกองทัพนั้น ผมขอเรียนผ่านตรงนี้ไปนะครับว่า ผมเองนั้นไม่สบายใจที่เห็นความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ อันเนื่องมาจากเรื่องนี้ ผมจึงขอเรียนตรงนี้ว่า ผมเข้าใจในฐานะลูกทหารและครอบครัวทหาร ซึ่งยังรับราชการทหารจนถึงทุกวันนี้ครอบครัวผม ผมเข้าใจดีกว่าทหารนั้นเป็นองค์กรสำคัญที่สุดในบ้านเมือง ในการรักษาราชบัลลังก์ เมื่อมีคนตั้งใจจะหาเรื่อง เอาเรื่องที่แปลผิดๆ พลาดๆ ไปอย่างนี้ ทหารย่อมโกรธ ย่อมไม่พอใจ แต่เมื่อได้เห็นเอกสารที่ถูกต้องในวันนี้ ผมเชื่อว่ากองทัพจะได้อ่านและทำความเข้าใจ และในที่สุดจะมีความเข้าใจกันและกันมากขึ้น ผมขอบคุณที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่และทุกระดับในกองทัพได้ออกมาแสดงกิริยาที่น่าสรรเสริญ คือการปกป้องสถาบันเมื่อตนคิดว่ามีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นกับสถาบัน นี่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว แต่ผมเชื่อว่าวันนี้เราจะยุติความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่มีคนอื่นคอยเสี้ยม คอยยุนั้นได้
แล้วสุดท้ายครับ ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณบุคคล 2 คน ซึ่งความจริงสู้กันมาในตอนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่มาวันนี้ผมต้องเอ่ยถึงท่านในทางตรงกันข้าม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรีในปัจจุบัน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผมก็วิจารณ์ท่านมาแรงๆ ด้วย แต่มาในวันนี้ โดยเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ เมื่อท่านถอดหัวโขนแล้วกลับมาเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ท่านให้ความเห็นได้อย่างที่น่ารับฟัง และจำเป็นต้องปฏิบัติตาม นั่นก็คือว่า ทุกฝ่ายไม่ควรนำสถาบันมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง เพราะฉะนั้นในวันนี้ สำหรับทัศนะนี้ของ พล.อ.สุรยุทธ์ และพล.อ.บุญสร้าง ผมขอแสดงความคารวะ ส่วนความคิดที่ไม่ตรงกันนั้นเราก็ไม่ตรงกันต่อไปในทางประชาธิปไตย แต่ความคิดต่อสถาบันตรงกันแล้วเรายึดตรงนี้เป็นหลักต่อไป
ท่านสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ เนื่องจากเรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการอ่าน ในการศึกษาค่อนข้างเยอะ เอกสารซึ่งมาเปิดเผยในวันนี้ ผมได้ขออนุญาตท่านนายกรัฐมนตรีลากิจ เป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากว่า คนทุกคนน่าจะมีเวลาได้อ่าน แล้วก็ได้ตัดสินเกี่ยวกับผมในขั้นต้นก่อนที่ผมจะกลับมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นตั้งแต่การแถลงข่าวนี้ไปผมจะลากิจไปก่อน แล้วจะกลับมาเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่งในสัปดาห์หน้า ระหว่างนี้ผมจะสดับรับฟังข่าวสารความเห็นของบุคคลต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อจะนำมาประกอบการตัดสินใจในการดำเนินการต่อไป ทั้งหมดนี้ครับคือสิ่งที่ผมอยากจะมาเรียนในวันนี้”