สุดยอดการเข้าถึงจิตวิญญาณสื่อได้ดีจริงๆ “เพ็ญจักร” งี้ “สุนัย” งี้ จีบปากจีบคอเรียกร้องสื่อเป็นกลาง ฟุ้งซ่านหนักออกกฎเหล็กห้ามสื่อรัฐเสนอข่าวหนุนรัฐประหาร ฝ่าฝืนถือว่ามีโทษทางวินัย
เมื่อเวลา 12.30 น.วันนี้ (10 พ.ค.) ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มีการสัมมนาหัวข้อ “บทบาทสื่อกับความเป็นกลางในยุคสังคมแตกแยก (ความคิด)” ซึ่งจัดโดยนักศึกษาเอกวิชาการประชาสัมพันธ์ นายมณฑล ใบบัว อาจารย์ประจำเอกวิชาฯ ร่วมกับวิทยุชุมชนคนแท็กซี่เอฟเอ็ม 92.75 โดยมีประชาชนจากกลุ่ม นปก.กลุ่มคนรักทักษิณ กลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อธิบการบดี คณบดีคณะวิทยาการจัดการ ร่วมงานเต็มห้องประชุมประมาณ 500 คน
ขายของที่ระลึก “แม้ว”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า งานดังกล่าวมีการจำหน่ายหนังสือสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หนังสือรวบรวมบทความของ “นายประดาบ” จากเว็บไฮ-ทักษิณ เสื้อยืดสีขาวที่มีข้อความว่า “ต้านสื่อเลว กำจัดสื่อชั่ว” รวมทั้งเสื้อยืดสีแดงสกรีนข้อความสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกับนำเสื้อฟุตบอลทีมแมนเชสเตอร์ซิตีของปลอมจำหน่ายในราคา 200 บาท ซึ่งได้สกรีนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานสโมสร
นปก.เต็มเวที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นที่น่าสังเกตว่า ประชาชนผู้ร่วมฟังสัมมนาส่วนใหญ่เป็นเครือข่าย นปก.เก่า และกลุ่มมวลชนที่เคยต่อต้าน คมช.นอกจากนี้ วิทยากรคนอื่นๆ ยังอยู่ในเครือข่ายต่อต้าน คมช.มาก่อน อาทิ นายอดิศร เพียงเกษ นายสุทิน คลังแสง นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ผอ.วิทยุชุมชนคนแท็กซี่ นายสุนัย จุลพงศธร อาจารย์สุนีย์ สินธุเดชะ นายวรพล พรหมมิกบุตร เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ได้อธิปรายโจมตี คมช.การรัฐประหาร รวมถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยมีการแสดงจุดยืนสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ และโจมตีการทำหน้าที่ของสื่อหนังสือพิมพ์ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตัว นายสมัคร สุนทรเวช รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะการเสนอข่าวเรื่องธงไตรรงค์
ทั้งนี้ เมื่อ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดากองเชียร์ที่รุมให้กำลังใจ และตะโกน “ต้านสื่อเลว กำจัดสื่อชั่ว” เสียงดัง นอกจากนี้ ในระหว่างการให้สัมภาษณ์นายจักรภพเพิ่มเติม บรรดากองเชียร์ยังตามเฝ้าสังเกตการณ์และกล่าวตำหนิการทำงานของสื่อตลอดเวลา และมีบางส่วนได้นำธนบัตรมาให้นายจักรภพเซ็นชื่อ แต่ถูกปฏิเสธเพราะไม่อยากตกเป็นประเด็นโจมตี
ลั่นไม่ลืมสัญญาสนามหลวง
นายจักรภพ กล่าวเปิดงานสัมมนาว่า นักศึกษาที่จัดงานนี้ต้องการเห็นสื่อมวลชนที่มีความเป็นกลาง จิตใจเมตตา และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่ตอกลิ่มความแตกแยกในสังคมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งสำหรับตนนั้นมีส่วนเพียงเล็กน้อย หลังจากที่สนามหลวงได้ส่งให้ตนมาทำหน้าที่ในปัจจุบันนี้ ก็ขอให้ทราบว่าสัญญาทั้งหลายนั้นไม่มีวันลืมหรอก เป็นเพียงยุทธวิธีที่จะทำก่อนทำหลัง ในเมื่อที่ผ่านมา ลับ ลวง พราง กันมาก ก็เจออย่างเดียวกันก็แล้วกัน อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนมีบทบาทในการสร้างและในทางทำลายได้แค่ไหน ถ้าไม่ตั้งบนฐานของประชาธิปไตยแล้วสื่อมวลชนที่รับใช้ระบอบอื่นใดนั้น สำหรับตนแล้วก็ไม่ใช่สื่อมวลชนอีกต่อไปเหมือนกัน
แจงงาน “หมัก” สั่งคุมสื่อรัฐ เดินหน้าล้างเชื้อโรคเดิม
นายจักรภพ กล่าวตอนหนึ่งในการปาฐกถาในหัวข้อดังกล่าวดังกล่าวว่า ตนมีส่วนร่วมในฐานะที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ดูแลงานสื่อภาครัฐ ซึ่งตนในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในความเป็นรัฐมนตรีของตนย่อมรายงานให้นายกทราบ โดยตนดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีสถานีโทรทัศน์สำคัญ 1 คลื่นสถานี คือ สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 เดิม ที่ปัจจุบันตนได้มุ่งหน้าปรับให้เป็นสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที นอกจากนั้น ยังมีวิทยุอีกหลายคลื่น สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ ฉะนั้นสิ่งแรกที่ตนต้องทำในกรมประชาสัมพันธ์ก็คือมองหาว่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดการทำลายประชาธิปไตยอยู่ตรงไหนบ้าง ก็จัดการตรงนั้นก่อน ส่วนข้าราชการและพนักงาน ลูกจ้างในกรมตนขอยืนยันว่าเป็นคนดี มืออาชีพ รักในการทำงานเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ห้ามคนกรมกร๊วกหนุนรัฐประหาร ฝากสังคมดูแล นสพ.
“แต่ฐานะกำกับดูแล ผมเองจำเป็นในเชิงอุดมการณ์ที่ต้องให้นโยบายไปอย่างหนึ่งที่ต้องเรียนให้ทราบและเป็นสักขีพยานด้วย คือ ในสัปดาห์หน้ากรมประชาสัมพันธ์จะมีการปรับระเบียบกฎเกณฑ์ภายในของกรมอย่างหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของกรมที่มีการปรับกฎตรงนี้ นั่นคือว่าข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้างของกรมฯ ที่มีโอกาสได้ออกสื่อทั้งหน้าจอและหลังจอ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งหมด ระเบียบใหม่จะออกมาอย่างชัดเจนว่าสนับสนุนการรัฐประหารไม่ได้ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” นายจักรภพ กล่าว
นายจักรภพ กล่าวว่า การที่สื่อภาครัฐเชียร์ทั้งทางตรงทางอ้อมให้เกิดการรัฐประการนั้นถือว่ามีความผิดทางวินัย ซึ่งความเห็นเราไม่ตรงกันได้แต่จะเลยไกลไปถึงเชียร์ให้ทำลายประชาธิปไตยไม่ได้ นั่นคือ การข้ามเส้น เพราะฉะนั้นตนจึงต้องขีดเส้นนั้นไว้เป็นยังไงก็เป็นกัน อย่างไรก็ตามหากการถกเถียงทางสังคมก็ไม่โกรธ ก็เถียงไปเลย ก็จะได้เห็นหน้ากันว่าใครจะเป็นคนออกมายืนยันว่าสื่อมวลชนนั้นสนับสนุนการยึดอำนาจได้ ตนอยากจะเห็นหน้าจริงๆ เพราะฉะนั้นไม่มีที่สำหรับสื่อมวลชนที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร อย่างน้อยในเครือข่ายของภาครัฐ ส่วนสื่อเอกชนนั้นตนไม่ก้าวล่วงและไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วง แต่เป็นวิจารณญาณและจิตสำนึกของแต่ละท่านแต่ละคนที่จะทำกัน
“โดยเฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์ที่เอกชนอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องให้สังคมเป็นคนกำกับดูแล ไม่ใช่รัฐบาลกำกับดูแล ก็ฝากให้พี่น้องช่วยดูกันต่อด้วยในเรื่องนี้” นายจักรภพ กล่าว
นายจักรภพ กล่าวว่า การที่ต้องมาพูดว่าสื่อเอกชน หรือสื่อของรัฐนั้น เพราะสื่อแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.สื่อที่รัฐเป็นเจ้าของมีอำนาจตามกฎหมายที่จะควบคุม 2.สื่อมวลชนเอกชนที่รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ ถ้าเข้ายุ่งเกี่ยวก็จะเป็นจะเป็นการแทรกแซงเสรีภาพของสื่อมวลชน แต่ในสื่อภาครัฐถึงแม้จะมีสิทธิเสรีภาพในคราวที่จะแสดงความรู้สึกนึกคิดส่วนบุคคล แต่ตนในฐานะที่กำกับดูแลต้องขอยืนยันว่าสื่อภาครัฐไม่มีสิทธิที่จะตอกลิ่มให้เกิดความแตกแยกทางสังคม วิธีการก็คือถ้าเสนอปัญหาต้องเสนอทางออก ถ้ามองในแง่ของการจับผิดต้องบอกด้วยว่าในทางที่เหมาะสมนั้นรัฐบาลหรือใครก็ตามที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นั้นเขาทำอย่างไร
ชี้บ้านเมืองเครียดให้ช่วยรักษา ปชต.
รมต.สำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ในขณะนี้บรรยากาศของบ้านเมืองเราก็เครียดกันมา เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็เน้นย้ำในประเด็นของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันทุกคนไม่ได้ขีดเส้นไว้เลยว่า ถ้าหากเราไม่รักษาระบอบประชาธิปไตยไว้แล้ว ไม่มีทางที่บ้านของเราจะสงบสุขอย่างแท้จริงได้ ไม่มีใครมีอำนาจขนาดนั้นยกเว้นประชาชนเท่านั้น
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นตนจึงอยากกราบเรียนต่อที่ประชุมและคณาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์ และวารสารศาสตร์ กราบเรียนต่อสื่อมวลชนในอนาคตและปัจจุบันว่า เราทุกคนเห็นความสำคัญของท่าน เรารู้ว่าสื่อมวลชนเป็นบุคคลที่ขาดเสียมิได้ในสังคมประชาธิปไตย แต่ขณะเดียวกันสื่อมวลชนเองก็กรุณายอมรับความจริงด้วยว่าท่านเองนั้นมิได้อยู่เหนือการกำกับทางสังคมเหมือนกัน เราอยู่ร่วมกันเท่ากัน เราอยู่เท่าเทียมเสมอภาคและเราก็เตือนกันและกัน
ติงบางสื่อหยาบคาย 24 ชม.เตรียมเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่
“ถามว่าสื่อมวลชนเตือนรัฐบาลได้ ไหม ก็เตือนมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาจนวันนี้ก็ยังเตือนอยู่ เพราะฉะนั้นเสรีภาพด้านสื่อไม่ต้องพูดถึง มีรัฐบาลที่ไหนบ้างยกเว้นรัฐบาลประชาธิปไตยยอมให้สื่อมวลมาพูดเรื่องที่ไม่ดีกันตั้งแต่เช้าจรดดึก ใช้ถ้อยคำหยาบคาย มีที่ไหน ยกเว้นประชาธิปไตยเท่านั้น ที่ทนอยู่นี่ก็ไม่ใช่ว่าเห็นด้วย แต่เพราะว่าเราเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยจะมาใช้วิธีการเผด็จการไม่ได้” นายจักรภพ กล่าว
นายจักรภพ กล่าวว่า ถามว่าจะแก้ไขอย่างไรถ้าไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่อยากใช้วิธีเผด็จการ เพื่อให้สื่อของเรานั้นมีการปฏิรูปขึ้นเฉพาะในส่วนที่มีปัญหา ส่วนที่ดีแล้วก็แล้วกันไปไม่ต้องไปข้องแวะ ส่วนที่มีปัญหาตนขอเสนอวิธีแก้ไขและให้ลงมือทำกันแล้วพอสมควรนั่นก็คือเราจะต้องเปิดพื้นที่สื่อให้กับคนรุ่นใหม่ที่รักประชาธิปไตยเข้าสู่วงการสื่อมากขึ้น ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงชนกลุ่มน้อยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
อ้างสื่อเกี้ยเซียะ ปชช.เสียประโยชน์
“เพราะวงการใดที่มีผู้เล่นน้อยรายมันก็เกี้ยเซียะกัน เกี้ยเซียะไปเกี้ยเซียะมาประชาชนส่วนใหญ่ก็เสียประโยชน์ เพราะฉะนั้นวิธีการก็คือว่าผมจะได้เปิดโอกาสให้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยทำให้ต้นทุนในการทำสื่อมันถูกลง พี่น้องนึกภาพสิครับว่าก่อนนี้ประชาชนจะเป็นเจ้าของสถานีวิทยุได้ เพราะว่าใช้เงินมาก เดี๋ยวนี้ใช้เงินไม่เท่าไร ใช้กำลังใจบวกเข้าไป มันใกล้เคียงความเป็นจริงว่าสื่อมวลชนภาคประชาชนนั้นกำลังจะเกิดขึ้นได้จริงในแผ่นดินนี้” นายจักภรพ กล่าว
นายจักรภพ กล่าวว่า จิตใจของประชาชนที่รักความเป็นธรรมอยากจะเห็นสื่อประเภทใหม่เกิดขึ้น คือ สื่อทางเลือกมาคานและถ่วงดุล ไม่ใช่ใครมีอำนาจถือไมค์พูดไม่สร้างสรรค์ หยาบคาย มดเท็จ ก็พูดได้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองบางพรรคเสนอยื่นถอดถอนตน
อ้างประชาชนดูสื่อแล้วไม่สบายใจ
“ประชาชนจะต้องนั่งดูสื่อด้วยความสบายใจ ไม่ใช่นั่งแช่งชักหักกระดูกไอ้คนทำไปด้วย ใครจะทำอย่างไรมาในช่วงที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ก็ขอให้ประชาชนช่วยกันล้างความไม่ดี ตรงไหนผมจะเอาน้ำสะอาดมาราดกลับให้หายเหม็น ผมไม่ได้มาทำหน้าที่นี้ เพื่อต่อยตีกับใคร ยกเว้นคนที่จ้องทำลายประชาธิปไตยเท่านั้น ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม แต่จรรยาบรรณและความภูมิใจในอาชีพสื่อยังมี พี่น้องอย่างได้โกรธสื่อเวลาไม่ถูกใจ แต่ต้องคิดว่า จะทำอย่างไรให้สื่อที่ดี มีพื้นที่ในการนำเสนอมากขึ้น เราให้คนชั่วกลับมาดีนั่นยาก แต่หาโอกาสให้คนดีมากขึ้นได้” นายจักรภพ กล่าว
เตรียมแจงข้อกล่าวหาไม่จงรักภักดี
นายจักรภพ กล่าวว่า ที่สื่อหลายแขนง หลายสถานี จึงไม่สนับสนุนประชาธิปไตย ตอบได้คำเดียวว่า ที่ผ่านมา สื่อสารมวลชนของเราจำนวนหนึ่ง ไปผูกตนเองไว้กับกลุ่มผลประโยชน์ เวลาเกิดขัดแย้งการเมือง จึงไม่ได้คิดว่าใครผิดถูก แต่คิดใครชนะใครแพ้ แต่ประชาธิปไตยไม่มีวันแพ้เป็นอันขาด วันนี้ตนโดนโจมตี 5 เรื่อง คือ ไม่จงรักภักดีซึ่งสัปดาห์หน้า ตนจะออกเอกสารเอาคำบรรยายที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ กล่าวหาว่า มีถ้อยคำหมิ่นให้ประชาชนทั่วประเทศดูว่าจริงหรือไม่ เป็นนายหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แทรกแซงสื่อ มีพฤติกรรมส่วนตัวโอ่อ่าอลังการ และเป็นสายล่อฟ้า ตนยอมรับประเด็นหลังประเด็นเดียว
“สิ่งที่เป็นระลอกคลื่นมาปะทะตัวผม ถ้ากระทบส่วนตัวผมรับได้ แต่ตอนนี้ขอให้จับตามองคนที่พยายามใช้ประเด็นนี้เป็นจิ๊กซอว์ต่อไปเรื่อยๆ จากกระทรวงนี้ไปกระทรวงนั้น เพื่อหาเหตุทำการบางอย่าง ขอให้จับตามองดู” นายจักรภพ กล่าว
ด้าน นายสุนัย จุลพงศธร ประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า สื่อมวลชนถือเป็นส่วนหนึ่งมในการนำเสนอข้อมูลไปยังประชาชนและมีบทบาทต่อความเปลี่ยนแปลงทางความคิด จึงต้องวางตัวเป็นกลาง เพราะแม้ข่าวที่ออกมาจะผิดแต่วัฒนธรรมความเชื่อของคนในสังคมก็จะเชื่อสื่อหนังสือพิมพ์มาก สื่อที่ไม่เป็นกลางกำลังจะทำความลำบากให้สังคม จึงขอให้ยึดสิทธิเสรีภาพ ไม่ปลุกระดมทางความคิดหรือแบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ส่วน นายสุวิช สุทธิประภา ผู้จัดการส่วนสร้างสรรค์ สำนักข่าวไทย มองว่า สื่อไทยมีความเป็นอิสระสูง และปัจจุบันมีการแบ่งค่ายที่เกิดจากธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนจึงต้องเลือกรับ ยอมรับว่าความเป็นกลางของสื่อมีน้อยลง เพราะมีการนำเสนอข่าวเพื่อผลประโยชน์และอำนาจที่เป็นอันตรายต่อสังคม
เชียร์รัฐประหาร คาดโทษผิดวินัย
นายจักรภพ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมหลังการสัมมนาว่า สื่อของรัฐจะสนับสนุนการเกิดรัฐประหารไม่ได้ หากมีการสนับสนุนรัฐประหารถือเป็นการทำผิดวินัยราชการ นั้นคือเรียกร้องให้ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยและล้มล้างรัฐธรรมนูญประชาชน ซึ่งถือว่ามีความผิดอยู่แล้วแต่เราไม่เคยหยิบจุดนี้มาเป็นจุดเด่น ดังนั้นเราจะเดินหน้าสร้างความถูกต้องให้กับบ้านเมือง หากใครคิดว่าสื่อควรจะเชียร์ให้ยึดอำนาจได้ ขอให้แสดงเหตุผลออกมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า วิธีการทำข่าวจะทำอย่างไร นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่มีอะไร ก็สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ควรทำท่านั้น
เมื่อถามว่า กรอบคือต้องนำเสนอข่าวที่ไม่เกี่ยวกับการรัฐประหาร นายจักรภพกล่าวว่าไม่มีเนื้อหาสาระที่เชียร์หรือกระตุ้นให้เกิดความคิดว่าบ้านเมืองให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยอาวุธหรือด้วยกำลังทหาร ถือว่าเป็นการเรียกร้องให้เกิดการรัฐประหารตรงนี้ถือว่าไม่สามารถยอมรับได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ต้องกำหนดตรงนี้ออกมาเพราะตอนนี้มีข่าวลือเรื่องการรัฐประหารออกมาหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ใช่ครับ
เมื่อซักว่าเพื่อไม่ให้กระแสแรงขึ้นหรือปรามกระแส นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ใช่ เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะสื่อมวลชนมีความสำคัญมากต่อบ้านเมือง ถ้าสื่อมวลชนมีจุดยืนไม่แน่นอน ว่าวันนี้เป็นประชาธิปไตย พรุ่งนี้จะไม่เป็น บ้านเมืองคงไม่สงบ ขอให้ฟังให้ชัดสื่อมวลชนไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา ต้นเหตุอยู่ที่อื่นแต่ถ้าหากคนกลางหรือพาหะที่นำข่าวสารไป มีจุดยืนที่ไม่แน่นอนชัดเจนตรงนี้จะทำให้บ้านเมืองมีความวุ่นวายไม่รู้จบ เราต้องการความสงบของบ้านเมือง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่เราขัดแย้งทางการเมือง อัตราความเจริญเติบโตของประเทศลดเหลือไม่ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ หลังจากประเทศใกล้ๆ เราขึ้นไปถึง 10 ตรงนี้น่าจะเตือนสติได้พอสมควร การเรียกร้องให้เกิดความรุนแรงทางบ้านเมืองโดยใช้กลวิธีทางทหารเข้ามามันไม่ใช่ทางออกและทำให้บ้านเมืองวุ่นวายขึ้นกว่าเดิม มันง่าย สั้นตรง และมีเหตุผล ตอบอยู่ตัวเอง
เมื่อถามว่าจะทำให้สื่อในกำกับของรัฐไม่กล้าเสนอข่าวหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ สื่อของรัฐสามารถที่จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ไม่มีปัญหา ความจริงมันชัดเจนอยู่แล้วว่า เลี้ยวไปเชียร์รัฐประหารไม่ได้แค่นั้นเอง อย่างอื่นเป็นสิทธิเสรีภาพไปยุ่งไม่ได้ สิทธิเสรีภาพของสื่อรัฐก็มีอยู่ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่ว่าการที่ก้าวไปสู่ทำลายบ้านของตัวเอง จุดไฟเผาบ้านของตัวเองทำลายรัฐธรรมนูญและรัฐประหารทำไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่ายกตัวอย่างได้หรือไม่ว่าสื่อประเภทไหน นายจักรภพ กล่าวว่า เยอะแยะ ไปอ่านเอาเอง เมื่อซักว่าจับตาสื่อประเภทหนังสือพิมพ์ นายจักรภพ กล่าวว่า อย่าหาเรื่อง ของสื่อต้องให้ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่ม นปช.ไปชุมนุมให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ นายจักรภพ ย้อนตอบทันทีว่า อย่ามาถามผมเลย จุดประสงค์ของการถามต้องการดึงให้ผมไปเกี่ยวกับเรื่องนั้นผมไม่ตอบเรื่องนี้ เพราะไม่เกี่ยวข้องกัน
ไม่หวั่นโดนเขี่ยพ้นเก้าอี้ ป้อ “หมัก” มีวิจารณญาณสูง
นายจักรภพ ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับคณะรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องเล็กที่สุด นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่มีวิจารณญาณสูง จะปรับใครออก เข้า เป็นเรื่องธรรมดามาก ถ้าตนเป็นคนหนึ่งที่ถูกปรับออกด้วยก็รับโดยดุษฎี แต่ถ้าทำหน้าที่ต่อไป ก็เดินหน้าต่อไปทุกเม็ดทุกหยดเหมือนกัน
ทั้งนี้นายจักรภพ กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่าการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้จะเป็นปรับเล็กหรือปรับใหญ่ต้องไปถามนายสมัครเอาเอง
/0110