เมื่อเวลา 14.00 น.วานนี้ (26พ.ค.) นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนัก
นายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ซึ่งการแถลง
ข่าวในครั้งนี้ มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
(NBT)
นายจักรภพ กล่าวว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อให้ทราบเรื่องปากของตนเอง ถึง
เรื่องพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุด หากสามารถพิสูจน์ตาม
กฎหมายได้ว่าผิดจริงแล้ว สมควรที่ต้องได้รับโทษอย่างรุนแรง แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น
เพราะ เป็นเพียงคำกล่าวหาจากบุคคลกลุ่มหนึ่งผ่านสื่อมวลชน จนกลายเป็นประเด็น
ใหญ่ของบ้านเมือง
นายจักรภพ กล่าวว่า ตนถูกกล่าวหาในเรื่องนี้โดยคำพูดของคนอื่น ไม่ใช่คำ
พูดของตัวเองเลย ซึ่งมีเหตุอยู่ 3 ประการ คือ 1. เป็นคำบรรยายภาษาอังกฤษ ซึ่งพูดสด
ไม่ได้มีคำบรรยายละเอียดแบบคำต่อคำ มีแต่เพียงหัวเรื่องของผู้บรรยายเท่านั้น โดยใช้
เวลาประมาณ 45 นาที ซึ่งหมายความว่าถ้าจะเข้าใจเอกสารนี้ ก็ต้องแปลเป็นไทย เมื่อ
แปลแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าจะแปลอย่างซื่อสัตย์ หรือแปลอย่างฉ้อฉล
2.เป็นการพูดต่อหน้าคนฟังที่เป็นชาวต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้มี
ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมไทยน้อยกว่าคนไทย จะบรรยายอะไรให้เขาฟังเกี่ยวกับคนไทย
ก็ต้องลำดับความเป็นขั้นๆ โดยละเอียด ก่อนที่จะมุ่งสู่เป้าคือ ข้อสรุป เพราะฉะนั้นการ
อธิบายต่างๆ ศัพท์สำนวน ถึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบริบทในการพูกับคนไทย
ได้
3. เป็นคำบรรยายเชิงวิชาการซึ่ง ตนขึ้นเวทีคู่กับนักวิชาการอีกท่านหนึ่งจาก
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งก็พูดเป็นวิชาการเหมือนกัน และตนรู้สึกโกรธที่ถูกกล่าว
หาในความไม่จงรักภักดี โดยนำเอาเรื่องที่เป็นเรื่องนี้มาชี้ประเด็นที่เป็นการสร้างความ
เสื่อมเสียให้กับตนเอง ทั้งๆที่ตนและครอบครัวมีความจงรักภักดีเป็นที่ประจักษ์มา
หลายชั่วอายุคนแล้ว
"ครอบครัวผมเป็นครอบครัวทหารอากาศเคยรับราชการมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ถึง
คุณพ่อ และถึงพี่ชายสองคน ซึ่งก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพอยู่ท่านหนึ่ง ส่วน
อีกท่านนั้นลาออกมาประกอบอาชีพในรัฐวิสาหกิจกับคนทั้งหมดเหล่านี้ได้ปลูกฝังให้ผม
รับรู้ถึงความสำคัญและความหมายของสถานบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก สิ่ง
เหล่านี้ติดตัวผมมาทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่โตขึ้นมาแล้วก็เขียนกลอน เขียนงานนิพนธ์
ต่างๆ ในทางที่เป็นงานเฉลิมพระเกียรติมาหลายครั้ง ก็ขอให้ประวัติเหล่านี้เป็นตัวบอก
ด้วยตนเองมาจนถึงขณะนี้"
นายจักรภพ กล่าวว่า การบรรยายในวันที่ 29 ส.ค.50 นั้นตนได้กระทำอย่าง
เปิดเผยต่อหน้าผู้คน สื่อมวลชนมายมาย ดังนั้นนั้นตนจึงมีความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
ที่จะทำให้การบรรยายครั้งนั้น เป็นเรื่องของวิชาการ ให้ชาวต่างประเทศฟัง เพื่อให้เกิด
ความเข้าใจ และที่สำคัญก็คือต้องพูดในภาษาที่เขาจะเข้าใจได้ โดยที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจาก
ความหมาย ในภาษาไทยของเรา
ทั้งนี้ นายจักรภพได้แจกเอกสารให้ผู้สื่อข่าวคนละ 1ชุด มีเอกสารอยู่ 4 อย่าง
ประกอบด้วย 1. คำบรรยายภาษาอังกฤษ 2.คำแปลภาษาไทย 3.สำนวนแปลของผู้แจ้ง
ความคือ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี 4. สำนวนแปลของพรรคประชาธิปัตย์ ที่นาย
อภิสิทธิ์ ส่งมาให้นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปลดตนออกจากรัฐมนตรี นาย
จักรภพ กล่าวว่า ในสำนวนแปลทั้ง 3 สำนวนนี้ ได้ปรากฏความแตกต่าง ในทางที่เป็น
ความเป็นความตายในคดีนี้อยู่มาก เช่น ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็นหัวใจของการบรรยายใน
ครั้งนี้ คือคำว่า ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งใช้ในภาษาอังกฤษว่า "pettiness" นั้น ในสำนวนแปล
ทั้งของตนเอง และพรรคประชาธิปัตย์ แปลตรงกันว่าระบบอุปถัมภ์ แต่สำนวนแปลของ
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กลับระบุว่า "ราชาธิปไตยระบบเผด็จการ"
นอกจากนี้ยังมีบางคำซึ่งไม่ได้ส่งผลทางกฎหมายแต่ สะเทือนใจมาก เช่น คำ
ว่า "myth" ซึ่งคำแปลที่ถูกต้องคือ ตำนาน คือ เรื่องที่เล่าขานกันต่อๆมา คือเรื่องที่เชื่อ ที่
เคารพ ที่ยึดมั่นเป็นจิตใจกันต่อๆมา สำนวนแปลของตน และประชาธิปัตย์แปลตรงกันว่า
หมายความว่า ตำนาน แต่ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ แปลว่า เทพนิยาย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำ
ที่การแปลมีปัญหา
นายจักรภพ กล่าวว่า ขออนุญาตยกตัวอย่าง 2 ประโยค ที่สื่อหยิบยกขึ้นมา
เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง คือ We are led into beliving that the best form of
government is guided democracy or democracy hith His Majesty gracious guidance. It has
continual development of ideas and beliefs into rhe current situation in which I see as a
clash or the clash between democracy and patronage system.ประโยคนี้ เจตนาของการ
แปลก็คือ เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้นคือเป็นการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบมีการนำวิถีในทางที่ดี นั่นก็คือ การปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
"ความหมายของประโยคนี้ได้ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นการพูดว่า we are led
into belive คือ มีคนมีทำให้เชื่อ ไม่ใช่ มันเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด เหมือนเป็นการ
แปล breakfast ว่า หยุดเร็ว ทั้งที่มันแปลว่าอาหารเช้า ฉะนั้นการแปลแบบนี้ เป็นการ
แปลที่มีเจตนาให้เกิดเรื่อง มีอคติ ตนจึงต้องเอาสำนวนแปลของทุกคนมาเรียงให้เห็นว่า
ของจริงเป็นอย่างไร และอีกประโยคหนึ่งก็คือ This politicals situation will not end like
the May incident of 1992. There is no one to end because everyone in involved. คือ
สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ จะไม่จบเหมือนสถานการณ์เดือนพฤษภา 2535 เนื่องจาก
จะไม่มีใครยุติเหตุการณ์ เพราะทุกคนเกี่ยวข้อง ประโยคนี้ ได้ถูกตีความว่า ผมหมายถึง
บุคคลระดับสูง ก็ขอเรียนในที่นี้ว่านั่นก็สามานย์เหมือนกัน ที่แปลแบบนั้น ความคิดที่
ไปบรรยายวันนั้นก็คือ ตัวผมเอง คือการชี้ให้เห็นว่า ในครั้งนั้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ได้โปรดเกล้าฯให้บุคคลต่างๆ ไปแก้ปัญหาต่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานองคมนตรี และองคมนตรีในขณะนั้น ซึ่งมีศ.สัญญา ธรรมศักดิ์
และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถ้าหากพี่น้องประชาชนยังจำได้ แต่คราวนี้น่าเสียดายว่ามี
ความเชื่อกันว่าบุคคลที่น่าจะรับใส่เกล้าฯ ไปช่วยแก้ปัญหากลับเกี่ยวข้องกับการขัดแย้ง
ทางการเมืองเสียเอง ความคิดของผมคืออย่างนั้น ในการที่จะอธิบาย " นายจักรภพกล่าว
นายจักรภพ กล่าวต่อว่า นี่เป็นการพูดที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายว่า องค์พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงอยู่เหนือการเมือง คนอย่างตน ไม่ต้องมานั่งอธิบายตรงนี้
เพราะฝรั่งถ้าอยากอยู่เมืองไทยก็ต้องเข้าใจเหมือนกัน ว่า เรื่องสถาบันกษัตริย์เกี่ยวข้องการ
เมืองไม่ได้ นำมาคิดว่าเกี่ยวพันกันก็ไม่เป็นสิริมงคลแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่ปรากฏเป็น
ความแตกต่างในการแปล เมื่อเห็นเจตนาอย่างนี้แล้วตนจึงอยู่เฉยไม่ได้ ตนกำลังมอบ
หมายให้ทีมกฎหมาย ดำเนินการทางกฎหมายกับพรรคประชาธิปัตย์ การใช้สถาบัน
ระดับสูงมาทำลายทางการเมือง
"ผมขอให้ คุณอภิสิทธิ์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจงแสดงความรับผิด
ชอบในการแปลออกมา ขอให้บอกกับสังคมว่า ใครแปลสำนวนของพรรคประชาธิปัตย์
ระบุชื่อนามสกุลที่เป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอมออกมา ผมจะได้ฟ้องถูก ถ้าหากหาคน
แปลไม่ได้ หรือไม่กล้าเปิดเผย ให้คุณอภิสิทธิ์ ค้ำประกันการแปลนั้น ที่พวกคุณอภิสิทธิ์
และพรรคมองว่าถูกต้อง"
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า ประการที่ 2 การเรียกร้องให้ปลด หรือถอดถอนตน
จากตำแหน่ง โดยไม่ให้โอกาสกับกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นความไม่เคารพต่อระบบ
ที่มีอยู่ ถือเป็นความสิ้นคิด ขาดความเป็นผู้ใหญ่
ประการที่ 3 เรื่องนี้ต้องมีการพิสูจน์ต่อคนทั้งหลายในระยะยาวว่า ระหว่าง
ตนกับนายอภิสิทธิ์ ใครเป็นผู้จงรักภักดีแท้จริงกับพระมหากษัตริย์ หรือ ใครเป็นคน "ดึง
ฟ้าต่ำ" ซึ่งเรื่องนี้ตนพร้อมเผชิญหน้ากับนายอภิสิทธิ์ ทุกเวที ถ้าอยากจะหยิบมาทีละคำ
ประโยค สะกดกันทีละตัวก็เอา
นายจักรภพ กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพ ตนไม่สบายใจที่เห็นความตึง
เครียดระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ อันเนื่องมาจากเรื่องนี้ ตนเข้าใจว่าทหารเป็นองค์กร
สำคัญที่สุดในบ้านเมืองในการรักษาราชบัลลังก์ เมื่อมีคนตั้งใจจะหาเรื่อง เอาเรื่องที่แปล
ผิดๆพลาดๆ อย่างนี้ ทหารย่อมไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นเอกสารที่ถูกต้องในวันนี้ ตนเชื่อว่า
กองทัพคงจะได้อ่านและทำความเข้าใจ ในที่สุดก็จะสามารถทำความเข้าในกันและกัน
มากยิ่งขึ้น"ผมเข้าใจว่าวันนี้จะยุติความเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่มีคนอื่นคอยเสี้ยม คอยยุนั้น
ได้ และสุดท้ายผมขอโอกาสนี้ขอบคุณบุคคล 2 คน ซึ่งความจริงก็สู้กันมาในตอนเรียก
ร้องประชาธิปไตย แต่มาวันนี้ ผมต้องเอ่ยถึงท่านในทางตรงข้าม คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลา
นนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรีในปัจจุบัน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.
สส. ผมก็วิจารณ์ท่านมาแรงๆ ด้วย แต่มาวันนี้โดยเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ เมื่อท่านถอดหัว
โขน แล้วกลับมาเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ท่านก็ให้ความเห็นอย่างน่ารับฟัง และจำเป็น
ต้องปฏิบัติตาม นั่นก็คือว่าทุกฝ่ายไม่ควรนำสถาบันมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง ใน
วันนั้น ทัศนะนี้ของพล.อ.สุรยุทธ์ และพล.อ.บุญสร้าง ผมขอแสดงความคารวะ ส่วน
ความคิดที่ไม่ตรงกันนั้น และก็ไม่ตรงกันต่อไปในทางประชาธิปไตย แต่ความคิดต่อ
สถาบันตรงกัน แล้วเราก็ยึดตรงนี้เป็นหลักต่อไป"
นายจักรภพ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการอ่าน การศึกษาค่อนข้างเยอะ
เอกสารเพิ่งจะมาเปิดเผยในวันนี้ ตนได้ขออนุญาตนายกรัฐมนตรีลากิจเป็นเวลา 7 วัน
เนื่องจากว่า คนทุกคนน่าจะมีเวลาได้อ่าน และจะได้ตัดสินกับตนในขั้นต้น ก่อนที่ตน
จะกลับมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่อีกครั้ง ฉะนั้นตั้งแต่การแถลงข่าวนี้ไป ตนจะลากิจไป
ก่อน และจะกลับมาเริ่มทำงานใหม่ในสัปดาห์หน้า แต่ระหว่างนี้ตนจะสดับตรับฟังข่าว
สารความเห็นต่างๆ ของบุคคลทั่วไป เพื่อจะนำมาประกอบการตัดสินใจในการดำเนิน
การต่อไป
นายกรัฐมนตรี เปิดแถลงข่าวชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ซึ่งการแถลง
ข่าวในครั้งนี้ มีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
(NBT)
นายจักรภพ กล่าวว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ เพื่อให้ทราบเรื่องปากของตนเอง ถึง
เรื่องพฤติกรรมหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุด หากสามารถพิสูจน์ตาม
กฎหมายได้ว่าผิดจริงแล้ว สมควรที่ต้องได้รับโทษอย่างรุนแรง แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น
เพราะ เป็นเพียงคำกล่าวหาจากบุคคลกลุ่มหนึ่งผ่านสื่อมวลชน จนกลายเป็นประเด็น
ใหญ่ของบ้านเมือง
นายจักรภพ กล่าวว่า ตนถูกกล่าวหาในเรื่องนี้โดยคำพูดของคนอื่น ไม่ใช่คำ
พูดของตัวเองเลย ซึ่งมีเหตุอยู่ 3 ประการ คือ 1. เป็นคำบรรยายภาษาอังกฤษ ซึ่งพูดสด
ไม่ได้มีคำบรรยายละเอียดแบบคำต่อคำ มีแต่เพียงหัวเรื่องของผู้บรรยายเท่านั้น โดยใช้
เวลาประมาณ 45 นาที ซึ่งหมายความว่าถ้าจะเข้าใจเอกสารนี้ ก็ต้องแปลเป็นไทย เมื่อ
แปลแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าจะแปลอย่างซื่อสัตย์ หรือแปลอย่างฉ้อฉล
2.เป็นการพูดต่อหน้าคนฟังที่เป็นชาวต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ คนเหล่านี้มี
ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมไทยน้อยกว่าคนไทย จะบรรยายอะไรให้เขาฟังเกี่ยวกับคนไทย
ก็ต้องลำดับความเป็นขั้นๆ โดยละเอียด ก่อนที่จะมุ่งสู่เป้าคือ ข้อสรุป เพราะฉะนั้นการ
อธิบายต่างๆ ศัพท์สำนวน ถึงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับบริบทในการพูกับคนไทย
ได้
3. เป็นคำบรรยายเชิงวิชาการซึ่ง ตนขึ้นเวทีคู่กับนักวิชาการอีกท่านหนึ่งจาก
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งก็พูดเป็นวิชาการเหมือนกัน และตนรู้สึกโกรธที่ถูกกล่าว
หาในความไม่จงรักภักดี โดยนำเอาเรื่องที่เป็นเรื่องนี้มาชี้ประเด็นที่เป็นการสร้างความ
เสื่อมเสียให้กับตนเอง ทั้งๆที่ตนและครอบครัวมีความจงรักภักดีเป็นที่ประจักษ์มา
หลายชั่วอายุคนแล้ว
"ครอบครัวผมเป็นครอบครัวทหารอากาศเคยรับราชการมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ถึง
คุณพ่อ และถึงพี่ชายสองคน ซึ่งก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพอยู่ท่านหนึ่ง ส่วน
อีกท่านนั้นลาออกมาประกอบอาชีพในรัฐวิสาหกิจกับคนทั้งหมดเหล่านี้ได้ปลูกฝังให้ผม
รับรู้ถึงความสำคัญและความหมายของสถานบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก สิ่ง
เหล่านี้ติดตัวผมมาทำให้ผมกลายเป็นเด็กที่โตขึ้นมาแล้วก็เขียนกลอน เขียนงานนิพนธ์
ต่างๆ ในทางที่เป็นงานเฉลิมพระเกียรติมาหลายครั้ง ก็ขอให้ประวัติเหล่านี้เป็นตัวบอก
ด้วยตนเองมาจนถึงขณะนี้"
นายจักรภพ กล่าวว่า การบรรยายในวันที่ 29 ส.ค.50 นั้นตนได้กระทำอย่าง
เปิดเผยต่อหน้าผู้คน สื่อมวลชนมายมาย ดังนั้นนั้นตนจึงมีความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ
ที่จะทำให้การบรรยายครั้งนั้น เป็นเรื่องของวิชาการ ให้ชาวต่างประเทศฟัง เพื่อให้เกิด
ความเข้าใจ และที่สำคัญก็คือต้องพูดในภาษาที่เขาจะเข้าใจได้ โดยที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจาก
ความหมาย ในภาษาไทยของเรา
ทั้งนี้ นายจักรภพได้แจกเอกสารให้ผู้สื่อข่าวคนละ 1ชุด มีเอกสารอยู่ 4 อย่าง
ประกอบด้วย 1. คำบรรยายภาษาอังกฤษ 2.คำแปลภาษาไทย 3.สำนวนแปลของผู้แจ้ง
ความคือ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี 4. สำนวนแปลของพรรคประชาธิปัตย์ ที่นาย
อภิสิทธิ์ ส่งมาให้นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปลดตนออกจากรัฐมนตรี นาย
จักรภพ กล่าวว่า ในสำนวนแปลทั้ง 3 สำนวนนี้ ได้ปรากฏความแตกต่าง ในทางที่เป็น
ความเป็นความตายในคดีนี้อยู่มาก เช่น ศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็นหัวใจของการบรรยายใน
ครั้งนี้ คือคำว่า ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งใช้ในภาษาอังกฤษว่า "pettiness" นั้น ในสำนวนแปล
ทั้งของตนเอง และพรรคประชาธิปัตย์ แปลตรงกันว่าระบบอุปถัมภ์ แต่สำนวนแปลของ
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กลับระบุว่า "ราชาธิปไตยระบบเผด็จการ"
นอกจากนี้ยังมีบางคำซึ่งไม่ได้ส่งผลทางกฎหมายแต่ สะเทือนใจมาก เช่น คำ
ว่า "myth" ซึ่งคำแปลที่ถูกต้องคือ ตำนาน คือ เรื่องที่เล่าขานกันต่อๆมา คือเรื่องที่เชื่อ ที่
เคารพ ที่ยึดมั่นเป็นจิตใจกันต่อๆมา สำนวนแปลของตน และประชาธิปัตย์แปลตรงกันว่า
หมายความว่า ตำนาน แต่ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ แปลว่า เทพนิยาย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำ
ที่การแปลมีปัญหา
นายจักรภพ กล่าวว่า ขออนุญาตยกตัวอย่าง 2 ประโยค ที่สื่อหยิบยกขึ้นมา
เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง คือ We are led into beliving that the best form of
government is guided democracy or democracy hith His Majesty gracious guidance. It has
continual development of ideas and beliefs into rhe current situation in which I see as a
clash or the clash between democracy and patronage system.ประโยคนี้ เจตนาของการ
แปลก็คือ เราได้เห็นมาเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าระบบการปกครองที่ดีที่สุดนั้นคือเป็นการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบมีการนำวิถีในทางที่ดี นั่นก็คือ การปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
"ความหมายของประโยคนี้ได้ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็นการพูดว่า we are led
into belive คือ มีคนมีทำให้เชื่อ ไม่ใช่ มันเป็นการแปลภาษาอังกฤษที่ผิด เหมือนเป็นการ
แปล breakfast ว่า หยุดเร็ว ทั้งที่มันแปลว่าอาหารเช้า ฉะนั้นการแปลแบบนี้ เป็นการ
แปลที่มีเจตนาให้เกิดเรื่อง มีอคติ ตนจึงต้องเอาสำนวนแปลของทุกคนมาเรียงให้เห็นว่า
ของจริงเป็นอย่างไร และอีกประโยคหนึ่งก็คือ This politicals situation will not end like
the May incident of 1992. There is no one to end because everyone in involved. คือ
สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ จะไม่จบเหมือนสถานการณ์เดือนพฤษภา 2535 เนื่องจาก
จะไม่มีใครยุติเหตุการณ์ เพราะทุกคนเกี่ยวข้อง ประโยคนี้ ได้ถูกตีความว่า ผมหมายถึง
บุคคลระดับสูง ก็ขอเรียนในที่นี้ว่านั่นก็สามานย์เหมือนกัน ที่แปลแบบนั้น ความคิดที่
ไปบรรยายวันนั้นก็คือ ตัวผมเอง คือการชี้ให้เห็นว่า ในครั้งนั้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ ได้โปรดเกล้าฯให้บุคคลต่างๆ ไปแก้ปัญหาต่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานองคมนตรี และองคมนตรีในขณะนั้น ซึ่งมีศ.สัญญา ธรรมศักดิ์
และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ถ้าหากพี่น้องประชาชนยังจำได้ แต่คราวนี้น่าเสียดายว่ามี
ความเชื่อกันว่าบุคคลที่น่าจะรับใส่เกล้าฯ ไปช่วยแก้ปัญหากลับเกี่ยวข้องกับการขัดแย้ง
ทางการเมืองเสียเอง ความคิดของผมคืออย่างนั้น ในการที่จะอธิบาย " นายจักรภพกล่าว
นายจักรภพ กล่าวต่อว่า นี่เป็นการพูดที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายว่า องค์พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงอยู่เหนือการเมือง คนอย่างตน ไม่ต้องมานั่งอธิบายตรงนี้
เพราะฝรั่งถ้าอยากอยู่เมืองไทยก็ต้องเข้าใจเหมือนกัน ว่า เรื่องสถาบันกษัตริย์เกี่ยวข้องการ
เมืองไม่ได้ นำมาคิดว่าเกี่ยวพันกันก็ไม่เป็นสิริมงคลแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่ปรากฏเป็น
ความแตกต่างในการแปล เมื่อเห็นเจตนาอย่างนี้แล้วตนจึงอยู่เฉยไม่ได้ ตนกำลังมอบ
หมายให้ทีมกฎหมาย ดำเนินการทางกฎหมายกับพรรคประชาธิปัตย์ การใช้สถาบัน
ระดับสูงมาทำลายทางการเมือง
"ผมขอให้ คุณอภิสิทธิ์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจงแสดงความรับผิด
ชอบในการแปลออกมา ขอให้บอกกับสังคมว่า ใครแปลสำนวนของพรรคประชาธิปัตย์
ระบุชื่อนามสกุลที่เป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอมออกมา ผมจะได้ฟ้องถูก ถ้าหากหาคน
แปลไม่ได้ หรือไม่กล้าเปิดเผย ให้คุณอภิสิทธิ์ ค้ำประกันการแปลนั้น ที่พวกคุณอภิสิทธิ์
และพรรคมองว่าถูกต้อง"
นายจักรภพ กล่าวอีกว่า ประการที่ 2 การเรียกร้องให้ปลด หรือถอดถอนตน
จากตำแหน่ง โดยไม่ให้โอกาสกับกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นความไม่เคารพต่อระบบ
ที่มีอยู่ ถือเป็นความสิ้นคิด ขาดความเป็นผู้ใหญ่
ประการที่ 3 เรื่องนี้ต้องมีการพิสูจน์ต่อคนทั้งหลายในระยะยาวว่า ระหว่าง
ตนกับนายอภิสิทธิ์ ใครเป็นผู้จงรักภักดีแท้จริงกับพระมหากษัตริย์ หรือ ใครเป็นคน "ดึง
ฟ้าต่ำ" ซึ่งเรื่องนี้ตนพร้อมเผชิญหน้ากับนายอภิสิทธิ์ ทุกเวที ถ้าอยากจะหยิบมาทีละคำ
ประโยค สะกดกันทีละตัวก็เอา
นายจักรภพ กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพ ตนไม่สบายใจที่เห็นความตึง
เครียดระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ อันเนื่องมาจากเรื่องนี้ ตนเข้าใจว่าทหารเป็นองค์กร
สำคัญที่สุดในบ้านเมืองในการรักษาราชบัลลังก์ เมื่อมีคนตั้งใจจะหาเรื่อง เอาเรื่องที่แปล
ผิดๆพลาดๆ อย่างนี้ ทหารย่อมไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นเอกสารที่ถูกต้องในวันนี้ ตนเชื่อว่า
กองทัพคงจะได้อ่านและทำความเข้าใจ ในที่สุดก็จะสามารถทำความเข้าในกันและกัน
มากยิ่งขึ้น"ผมเข้าใจว่าวันนี้จะยุติความเข้าใจคลาดเคลื่อน ที่มีคนอื่นคอยเสี้ยม คอยยุนั้น
ได้ และสุดท้ายผมขอโอกาสนี้ขอบคุณบุคคล 2 คน ซึ่งความจริงก็สู้กันมาในตอนเรียก
ร้องประชาธิปไตย แต่มาวันนี้ ผมต้องเอ่ยถึงท่านในทางตรงข้าม คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลา
นนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรีในปัจจุบัน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.
สส. ผมก็วิจารณ์ท่านมาแรงๆ ด้วย แต่มาวันนี้โดยเฉพาะ พล.อ.สุรยุทธ์ เมื่อท่านถอดหัว
โขน แล้วกลับมาเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ท่านก็ให้ความเห็นอย่างน่ารับฟัง และจำเป็น
ต้องปฏิบัติตาม นั่นก็คือว่าทุกฝ่ายไม่ควรนำสถาบันมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง ใน
วันนั้น ทัศนะนี้ของพล.อ.สุรยุทธ์ และพล.อ.บุญสร้าง ผมขอแสดงความคารวะ ส่วน
ความคิดที่ไม่ตรงกันนั้น และก็ไม่ตรงกันต่อไปในทางประชาธิปไตย แต่ความคิดต่อ
สถาบันตรงกัน แล้วเราก็ยึดตรงนี้เป็นหลักต่อไป"
นายจักรภพ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการอ่าน การศึกษาค่อนข้างเยอะ
เอกสารเพิ่งจะมาเปิดเผยในวันนี้ ตนได้ขออนุญาตนายกรัฐมนตรีลากิจเป็นเวลา 7 วัน
เนื่องจากว่า คนทุกคนน่าจะมีเวลาได้อ่าน และจะได้ตัดสินกับตนในขั้นต้น ก่อนที่ตน
จะกลับมาทำหน้าที่อย่างเต็มที่อีกครั้ง ฉะนั้นตั้งแต่การแถลงข่าวนี้ไป ตนจะลากิจไป
ก่อน และจะกลับมาเริ่มทำงานใหม่ในสัปดาห์หน้า แต่ระหว่างนี้ตนจะสดับตรับฟังข่าว
สารความเห็นต่างๆ ของบุคคลทั่วไป เพื่อจะนำมาประกอบการตัดสินใจในการดำเนิน
การต่อไป