ขอยืมบางส่วนของหัวเรื่องวันนี้มาจาก “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับที่แล้ว (25 เมษายน 2551) หน่อยนะครับ เพราะเจ็บ ๆ คัน ๆ ถูกใจดี แต่เนื้อหาของเรื่องแม้จะมีลักษณะใกล้เคียงกันแต่รายละเอียดและตัวอย่างจะคืบไปมาก
รบ(ทางความคิด)กับคุณจักรภพ เพ็ญแขนี่ – เป็นเรื่องรื่นรมย์สมใจประการหนึ่ง
จิตใจกล้าต่อสู้กล้าเอาชนะของท่านทำให้เป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่อำพรางความคิด คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเขียนอย่างนั้น มีหลักฐานปรากฏให้อ้างอิงได้อย่างมีน้ำหนัก
ที่มาแรงแซงโค้งตีคู่มาทางตรงก็เห็นจะเป็นคุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง และคุณจิตรา คชเดช คนหนึ่งยอมรับอย่างเปิดเผยว่าไม่ยืนถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีมาแล้วหลายปี และเมื่อถูกดำเนินคดีก็ถือโอกาสรณรงค์ “ไม่ยืน – ไม่ใช่อาชญากร, เห็นต่าง - ไม่ใช่อาชญากรรม” ให้ยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 เสียเลย อีกคนหนึ่งกล้าใส่เสื้อมีข้อความรณรงค์ดั่งว่าไปออกช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ “เย้ย” ให้เห็นกันจะ ๆ
ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 ที่คุณจักรภพ เพ็ญแขให้สัมภาษณ์ “มติชนรายวัน” ว่า...
“ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้ และมีความรู้สึกว่าในตัวคุณทักษิณซึ่งมีจุดอ่อนอยู่หลายเรื่อง แต่คุณทักษิณก็ยังเป็นความหวังที่ดีที่สุดในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน...”
และโดยเฉพาะที่ให้สัมภาษณ์ “ไทยโพสต์ – แทบลอยด์” ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ว่า...
“ผมต้องการสงครามประชาชน...ที่ไม่มีการจัดตั้ง...”
รวมทั้งการเปิดศึกเดินหน้าชนกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อย่างเปิดเผยและรุนแรง
จะเป็นการแสดงตัวที่ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดแล้ว
ปรากฏว่าผมคิดผิด และประมาทคุณจักรภพ เพ็ญแขไปโขอยู่ !
หลังจากวันที่ 24 มีนาคม 2551 ที่พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดีไปแจ้งความท่านว่ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 จึงไม่ได้ขวนขวายหาเนื้อหาสปีชมาพิจารณา แม้เมื่อมีข่าวว่าวีซีดีสปีชชิ้นนี้พร้อมทั้งเอกสารถอดเทปภาษาอังกฤษและคำแปลภาษาไทยแพร่หลายในหมู่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ผมก็ยังใจเย็น แถมพูดด้วยความประมาททำนองว่าไปตื่นเต้นสนใจอะไรกับสปีชภาษาอังกฤษ คำสัมภาษณ์ภาษาไทยในมติชนกับไทยโพสต์น่ะชัดเจนที่สุดแล้ว
จนกระทั่งได้มีโอกาสดูและอ่านเมื่อวันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 โดยได้สำรวจกับคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ – ผู้ที่น่าจะเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษไม่แพ้ใคร – แล้ว ว่าเป็นบทถอดเทปภาษาอังกฤษที่ตรงกับเนื้อหาการพูดในวีซีดีและบทแปลภาษาไทยที่ไม่ผิด
จึงเข้าใจว่าเหตุไฉนคุณจักรภพ เพ็ญแขให้ความสำคัญกับการชี้แจงเจตนารมณ์ของสปีชชิ้นนี้ !
นอกจากจะกล่าวถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อย่างชนิดไม่มีความยำเกรงและการให้เกียรติเหลืออยู่แล้ว ยังแสดงความมั่นใจเหลือล้นว่าการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง (the complete change) กำลังเริ่มขึ้นแล้ว
“...Current political crisis in my opinion is the clash between democracy and patronage system directly. It’s a head-on clash, and this would change Thailand and its foundations....
“...Never before that such a high number of people came out to say that we no longer need your patronage. It’s simply democracy that we want, not someone to pad in the back, not someone to say that, well, “I’ll make your life a little better but you shoud feel most greateful to us.”....”
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนที่วันนี้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นต้นประโยคว่า...
“We missed some opportunities in the past...”
แล้วก็ต่อด้วยเหตุการณ์ปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎรที่มีท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เป็นมันสมอง กล่าวถึงชีวประวัติสั้น ๆ ของท่านอาจารย์ปรีดี โดยเน้นประโยคอมตะของท่านที่ให้สัมภาษณ์ นิตยสารเอเชียวีคเมื่อราว ๆ ปี 2524 ว่า “เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ – เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจ” แล้วต่อด้วยประโยคที่ว่า...
“...The idea of having things at a wrong time has been reminding us that we probably need a leader to rearrange all of that for us.”
ภาษาอังกฤษของผมไม่ดีพอ – อันที่จริงแย่เลยแหละ – จึงไม่กล้านำไปเปรียบเทียบกับภาษาไทยที่คุณจักรภพ เพ็ญแขพูดกับมติชนรายวัน 4 เดือนก่อนหน้านั้น....
“คุณทักษิณ(ก็ยัง)เป็นความหวังที่ดีที่สุดในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน...”
คงจะไม่เป็นธรรมถ้าผมจะฟันธงไปว่าในมุมมองของคุณจักรภพ เพ็ญแข...
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรคือ “a leader” ที่จะมา “rearrange all of that” ในสิ่งที่ท่านปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร “missed some opportunities in the past” !
ถึงไม่กล้าฟันธง แต่ผมมีสิทธิที่จะแอบตั้งคำถามและข้อสงสัยในใจ
สปีชของคุณจักรภพ เพ็ญแขที่ FCCT ไม่ว่าจะมองโดยภาพรวม หรือตัดตอน ล้วนล่อแหลมหมิ่นเหม่ทั้งนั้น แต่ผู้พูดนอกจากจะกล้าหาญแล้วยังฉลาดพอตัวที่จะไม่เอ่ยถึงคำ “อมาตยาธิปไตย” และ/หรือ “ศักดินา” ใช้และเน้นแต่คำ “ระบบอุปภัมภ์” หรือ “Patronage system” เป็นหลัก กุญแจสำคัญในการต่อสู้คดีอยู่ที่ตรงนี้
จะผิดป.อาญา ม. 112 หรือไม่ ผมไม่รู้ และไม่ใส่ใจ
เพราะเมื่อมองโดยองค์รวมแล้ว ผมเชื่อว่าผมรู้ว่าคุณจักรภพ เพ็ญแขมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร จะเรียกท่านว่าเป็น “ซ้ายใหม่” ตามเนชั่นสุดสัปดาห์ได้หรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใจ แต่สำหรับภาษา “ซ้ายเก่า” ในอดีตแล้ว จิตใจที่กล้าต่อสู้กล้าเอาชนะกล้าประกาศอุดมการณ์ไม่เลือกที่เยี่ยงนี้เขาเรียกว่าเป็นคนประเภท...
“ลูกที่ดีของพรรค”
นี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญกว่าม. 112 เยอะ !
ปี 2550 ท่านผู้นี้ในนาม นปก. เปิดศึกชนกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาถึงปี 2551 ท่านผู้นี้เมื่อเป็นรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์แล้วก้าวไปอีกขั้น เปิดศึกชนกับคุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา
ทางออกของปัญหานี้ ไม่ใช่แค่ด้วยป.อาญา ม. 112 !!
เพราะนี่คือ “วิกฤตของระบอบ” ที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายเบาบางยิ่งกว่ายุคสงครามเย็นเมื่อเผชิญหน้ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเสียอีก
คนบางคน ณ วันนี้ของปี 2551 ต่างกับท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เมื่อปี 2475
นอกจากมีทั้ง “อำนาจ” และ “ประสบการณ์” แล้ว – ยังมี “เงิน” และ “ลูกที่ดี” อีกต่างหาก !
รบ(ทางความคิด)กับคุณจักรภพ เพ็ญแขนี่ – เป็นเรื่องรื่นรมย์สมใจประการหนึ่ง
จิตใจกล้าต่อสู้กล้าเอาชนะของท่านทำให้เป็นคนเปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่อำพรางความคิด คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเขียนอย่างนั้น มีหลักฐานปรากฏให้อ้างอิงได้อย่างมีน้ำหนัก
ที่มาแรงแซงโค้งตีคู่มาทางตรงก็เห็นจะเป็นคุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง และคุณจิตรา คชเดช คนหนึ่งยอมรับอย่างเปิดเผยว่าไม่ยืนถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีมาแล้วหลายปี และเมื่อถูกดำเนินคดีก็ถือโอกาสรณรงค์ “ไม่ยืน – ไม่ใช่อาชญากร, เห็นต่าง - ไม่ใช่อาชญากรรม” ให้ยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 เสียเลย อีกคนหนึ่งกล้าใส่เสื้อมีข้อความรณรงค์ดั่งว่าไปออกช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ “เย้ย” ให้เห็นกันจะ ๆ
ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 ที่คุณจักรภพ เพ็ญแขให้สัมภาษณ์ “มติชนรายวัน” ว่า...
“ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้ และมีความรู้สึกว่าในตัวคุณทักษิณซึ่งมีจุดอ่อนอยู่หลายเรื่อง แต่คุณทักษิณก็ยังเป็นความหวังที่ดีที่สุดในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน...”
และโดยเฉพาะที่ให้สัมภาษณ์ “ไทยโพสต์ – แทบลอยด์” ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ว่า...
“ผมต้องการสงครามประชาชน...ที่ไม่มีการจัดตั้ง...”
รวมทั้งการเปิดศึกเดินหน้าชนกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อย่างเปิดเผยและรุนแรง
จะเป็นการแสดงตัวที่ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดแล้ว
ปรากฏว่าผมคิดผิด และประมาทคุณจักรภพ เพ็ญแขไปโขอยู่ !
หลังจากวันที่ 24 มีนาคม 2551 ที่พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดีไปแจ้งความท่านว่ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการไปพูดที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 จึงไม่ได้ขวนขวายหาเนื้อหาสปีชมาพิจารณา แม้เมื่อมีข่าวว่าวีซีดีสปีชชิ้นนี้พร้อมทั้งเอกสารถอดเทปภาษาอังกฤษและคำแปลภาษาไทยแพร่หลายในหมู่ผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ผมก็ยังใจเย็น แถมพูดด้วยความประมาททำนองว่าไปตื่นเต้นสนใจอะไรกับสปีชภาษาอังกฤษ คำสัมภาษณ์ภาษาไทยในมติชนกับไทยโพสต์น่ะชัดเจนที่สุดแล้ว
จนกระทั่งได้มีโอกาสดูและอ่านเมื่อวันอังคารที่ 29 เมษายน 2551 โดยได้สำรวจกับคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ – ผู้ที่น่าจะเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษไม่แพ้ใคร – แล้ว ว่าเป็นบทถอดเทปภาษาอังกฤษที่ตรงกับเนื้อหาการพูดในวีซีดีและบทแปลภาษาไทยที่ไม่ผิด
จึงเข้าใจว่าเหตุไฉนคุณจักรภพ เพ็ญแขให้ความสำคัญกับการชี้แจงเจตนารมณ์ของสปีชชิ้นนี้ !
นอกจากจะกล่าวถึงพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อย่างชนิดไม่มีความยำเกรงและการให้เกียรติเหลืออยู่แล้ว ยังแสดงความมั่นใจเหลือล้นว่าการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง (the complete change) กำลังเริ่มขึ้นแล้ว
“...Current political crisis in my opinion is the clash between democracy and patronage system directly. It’s a head-on clash, and this would change Thailand and its foundations....
“...Never before that such a high number of people came out to say that we no longer need your patronage. It’s simply democracy that we want, not someone to pad in the back, not someone to say that, well, “I’ll make your life a little better but you shoud feel most greateful to us.”....”
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนที่วันนี้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นต้นประโยคว่า...
“We missed some opportunities in the past...”
แล้วก็ต่อด้วยเหตุการณ์ปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475 โดยคณะราษฎรที่มีท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เป็นมันสมอง กล่าวถึงชีวประวัติสั้น ๆ ของท่านอาจารย์ปรีดี โดยเน้นประโยคอมตะของท่านที่ให้สัมภาษณ์ นิตยสารเอเชียวีคเมื่อราว ๆ ปี 2524 ว่า “เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ – เมื่อข้าพเจ้ามีประสบการณ์ ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจ” แล้วต่อด้วยประโยคที่ว่า...
“...The idea of having things at a wrong time has been reminding us that we probably need a leader to rearrange all of that for us.”
ภาษาอังกฤษของผมไม่ดีพอ – อันที่จริงแย่เลยแหละ – จึงไม่กล้านำไปเปรียบเทียบกับภาษาไทยที่คุณจักรภพ เพ็ญแขพูดกับมติชนรายวัน 4 เดือนก่อนหน้านั้น....
“คุณทักษิณ(ก็ยัง)เป็นความหวังที่ดีที่สุดในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน...”
คงจะไม่เป็นธรรมถ้าผมจะฟันธงไปว่าในมุมมองของคุณจักรภพ เพ็ญแข...
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรคือ “a leader” ที่จะมา “rearrange all of that” ในสิ่งที่ท่านปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร “missed some opportunities in the past” !
ถึงไม่กล้าฟันธง แต่ผมมีสิทธิที่จะแอบตั้งคำถามและข้อสงสัยในใจ
สปีชของคุณจักรภพ เพ็ญแขที่ FCCT ไม่ว่าจะมองโดยภาพรวม หรือตัดตอน ล้วนล่อแหลมหมิ่นเหม่ทั้งนั้น แต่ผู้พูดนอกจากจะกล้าหาญแล้วยังฉลาดพอตัวที่จะไม่เอ่ยถึงคำ “อมาตยาธิปไตย” และ/หรือ “ศักดินา” ใช้และเน้นแต่คำ “ระบบอุปภัมภ์” หรือ “Patronage system” เป็นหลัก กุญแจสำคัญในการต่อสู้คดีอยู่ที่ตรงนี้
จะผิดป.อาญา ม. 112 หรือไม่ ผมไม่รู้ และไม่ใส่ใจ
เพราะเมื่อมองโดยองค์รวมแล้ว ผมเชื่อว่าผมรู้ว่าคุณจักรภพ เพ็ญแขมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร จะเรียกท่านว่าเป็น “ซ้ายใหม่” ตามเนชั่นสุดสัปดาห์ได้หรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใจ แต่สำหรับภาษา “ซ้ายเก่า” ในอดีตแล้ว จิตใจที่กล้าต่อสู้กล้าเอาชนะกล้าประกาศอุดมการณ์ไม่เลือกที่เยี่ยงนี้เขาเรียกว่าเป็นคนประเภท...
“ลูกที่ดีของพรรค”
นี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญกว่าม. 112 เยอะ !
ปี 2550 ท่านผู้นี้ในนาม นปก. เปิดศึกชนกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาถึงปี 2551 ท่านผู้นี้เมื่อเป็นรัฐมนตรีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์แล้วก้าวไปอีกขั้น เปิดศึกชนกับคุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา
ทางออกของปัญหานี้ ไม่ใช่แค่ด้วยป.อาญา ม. 112 !!
เพราะนี่คือ “วิกฤตของระบอบ” ที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายเบาบางยิ่งกว่ายุคสงครามเย็นเมื่อเผชิญหน้ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเสียอีก
คนบางคน ณ วันนี้ของปี 2551 ต่างกับท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เมื่อปี 2475
นอกจากมีทั้ง “อำนาจ” และ “ประสบการณ์” แล้ว – ยังมี “เงิน” และ “ลูกที่ดี” อีกต่างหาก !