เผยหลักฐานชัดโบกธงชาติไทย ที่มีคำว่า “THAKSIN” ในสนามแมนฯ ซิตี สื่ออาวุโส “เปลว สีเงิน” ระบุ ไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่นำเสนอข่าวเรื่องนี้ พร้อมบทนำเรื่อง “ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว” ว่า มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่อ้างตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ต้องการต่อต้านขับไล่เผด็จการ ผลิตสื่อโจมตีประธานองคมนตรี เพื่อต้องการกระทบกระเทียบไปถึงสถาบันเบื้องสูง
หลังจากที่เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.) คอลัมน์ “คนปลายซอย” โดย เปลว สีเงิน ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนถึงความไม่เหมาะสมในการนำชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปเขียนบนธงชาติ และโบกสะบัดในสนามซิตีออฟแมนเชสเตอร์ ในนัดที่แมนฯ ซิตี เปิดบ้านพ่ายฟูแลมไป 2-3 และนัดนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ บินจากประเทศไทยไปนั่งชมในสนามในฐานะประธานสโมสรด้วย
ต่อมา วันนี้ (29 เม.ย.) หนังสือพิมพ์ “มติชนรายวัน” ได้นำรูปดังกล่าวมาลงในหน้า 1 พร้อมกับพาดหัว ว่า “วางดาบตามคำขอแม้ว ปิด 'ไฮ-ทักษิณ' 'ธงชาติ' ติดชื่ออดีตผู้นำหรา” โดย “มติชนรายวัน” รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมที่มีการนำธงชาติไทย เขียนตัวอักษร คำว่า “THAKSIN” บนธงชาติ แล้วนำไปกางที่สนามซิตีออฟแมนเชสเตอร์ สเตเดียม ประเทศอังกฤษ จากการตรวจสอบ ปรากฏว่า ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ ระหว่างทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี กับ ฟูแลม เมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา มีการนำธงชาติดังกล่าวไปประดับคู่กับธงประจำสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี บนอัฒจันทร์ สนามซิตีออฟแมนเชสเตอร์ สเตเดียม โดยการแข่งขันฟุตบอลนัดนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี ได้เข้าร่วมชมการแข่งขันด้วย โดยนั่งบนอัฒจันทร์ตรงข้ามกับธงชาติดังกล่าว ซึ่งนัดนี้ปรากฏว่าแมนฯ ซิตี เป็นฝ่ายพ่ายไป 2-3
และเมื่อ “มติชนรายวัน” ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายพงศ์เทพ กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า ตนไม่ได้ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลนัดนั้น และยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว จึงไม่สามารถให้สัมภาษณ์ได้ แต่จะขอดูภาพก่อนว่ามีการกระทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงก็จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป
“เวลาถ่ายทอดสดฟุตบอลตามปกติ ก็จะถ่ายนักฟุตบอลที่กำลังแข่งขัน ไม่น่าจะถ่ายตรงอัฒจันทร์ ทั้งนี้ จะขอดูภาพก่อนถึงจะบอกได้ว่ามีการทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ คนที่โบกธงเป็นคนไทย หรือคนต่างชาติ และธงที่โบกเป็นธงอะไร คนที่เข้าไปดูฟุตบอลมีจำนวนมากจะไปตรวจตรวจสอบทั้งหมดได้อย่างไร” นายพงศ์เทพ กล่าว
นอกจากนั้น วันเดียวกันนี้ บทนำของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ยังเขียนเรื่อง “ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว” โดยเนื้อหาระบุว่า
แม้กาลเวลาจะล่วงผ่านมากว่าปีครึ่ง นับแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ประเทศชาติมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการผสมกับอีก 5 พรรค นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่การโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ของคนบางกลุ่มบางพวกยังคงดำเนินต่อไป ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 เมษายน วันเดียวกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จัดชุมนุมอภิปรายคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มีกลุ่มบุคคลยกขบวนไปชุมนุม และโจมตี พล.อ.เปรม ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์
ความจริงการกระทำที่มีลักษณะบังอาจจาบจ้วง มิได้จำกัดแค่ประธานองคมนตรี ซึ่งเคยถูกมวลชนนำโดยแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ยกขบวนกันไปล้อมบ้านสี่เสาฯ ใช้วัสดุสิ่งของต่างๆ ทุบ ตี ขว้างเข้าใส่บริเวณบ้านและบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ยังมีการใช้ตัวหนอน ซึ่งเป็นอิฐปูพื้นถนนขว้างเข้าใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเกิดการปะทะกันและมีผู้ได้รับบาดเจ็บไปหลายราย แกนนำ นปก.ถูกตำรวจจับกุม ตั้งข้อหาหลายข้อหาและนำตัวไปขังที่เรือนจำลาดยาว บางเขน เหตุเกิดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2550 หากทว่า สถาบันเบื้องสูงก็โดนกระทบไปด้วย และดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ กระทั่ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเป็นห่วงในโอกาสไปปาฐกถาในงานสัมมนาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาภาวะผู้นำเชิงยุทธศาสตร์ความเป็นเลิศหัวข้อ “ยุทธศาสตร์กู้ชาติและเข็มทิศใหม่เพื่อผ่าทางตันทางการเมือง” ที่ศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต วันที่ 25 เมษายน ว่า มีขบวนการไม่หวังดี ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า ซึ่งสื่อมวลชนได้นำเสนอเป็นข่าวไปแล้ว
วาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาจากคนบางพวกบางฝ่าย ที่อ้างตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ต้องการต่อต้านขับไล่เผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ศักดินา อภิสิทธิ์ชน ฯลฯ โดยกระทำผ่านเวทีต่างๆ และเผยแพร่ผ่านสื่ออันหลากหลาย อาทิ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ที่จัดทำขึ้นเป็นกระบอกเสียงของตัวเอง สำนักข่าวต่างประเทศ นิตยสารต่างประเทศ ซีดี เว็บไซต์ แผ่นปลิว แถลงการณ์ ฯลฯ หากมองให้ทะลุลงไปถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง ก็จะพบว่า คนเหล่านี้มีเจตนาต้องการกระทบกระเทียบไปถึงสถาบันเบื้องสูง นับวันแต่จะเหิมเกริมมากขึ้น โดยไม่กริ่งเกรงตัวบทกฎหมายและความรู้สึกของคนไทยทั่วไป คิดเพียงว่า ตัวเองมีสิทธิ์ที่จะพูด จะทำอะไรก็ได้ คนอื่นไม่เกี่ยว ที่น่าเสียดาย ก็คือ ผู้ที่เป็นแกนนำบางคนยังดำรงตำแหน่งทางการเมือง และมีบทบาทสำคัญต่อความเป็นไปของบ้านเมืองอยู่ในเวลานี้
รัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ใช้เป็นกฎหมายสูงสุด เริ่มมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2475 จนถึงรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ใช้ในขณะนี้บัญญัติ ว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ (มาตรา 8), พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย (มาตรา 10), การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรี หรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย (มาตรา 13) แต่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ความแตกแยกทางความคิด ในระยะ 1-2 ปีมานี้ ทำให้พระมหากษัตริย์ถูกล่วงล้ำก้ำเกินอย่างจงใจมากขึ้นตามลำดับ เป็นการกระทำที่กล่าวได้ว่า เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญาอย่างชัดแจ้ง แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้มีการดำเนินการตามกฎหมายกันเท่าไร่
คณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คน ภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เพียงแต่จะต้องปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่างของความจงรักภักดีแด่พระมหากษัตริย์ ทั้งการพูดและการกระทำให้สมกับที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทุกประการ” (มาตรา 175) ยังจะต้องบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์อย่างเคร่งครัดและจริงจังไปพร้อมๆ กันด้วย
คนในรัฐบาลของ นายสมัคร พึงรับรู้ว่า จากเหตุการณ์ในอดีตช่วง 2-3 ปีมานี้ รัฐบาลถูกเพ่งเล็งและถูกกล่าวหา ว่า เป็นส่วนหนึ่งของการที่ไม่จงรักภักดี บางคนมีคดีความที่รอการพิสูจน์ในกระบวนการศาลยุติธรรม การต่อสู้อยู่ที่การกระทำในวันนี้ ว่า จะปล่อยให้ใครต่อใครจาบจ้วงองคมนตรี และสถาบันเบื้องสูงต่อไป หรือจะลงไปจัดการเพื่อระงับยับยั้งมิให้การกระทำอันมิบังควรเกินเลยไปมากกว่านี้