xs
xsm
sm
md
lg

ทฤษฎีไตรภาคีแห่งชาติ

เผยแพร่:   โดย: ว.ร.ฤทธาคนี

ทฤษฎีไตรภาคีแห่งชาติในเชิงการทหารรัฐศาสตร์นั้นเป็นแนวทฤษฎีของนายพลฟอน คาร์ล เคลาสวิทซ์ (Carl von Clausewitz) นักการทหารรัฐศาสตร์ปรัสเซีย-เยอรมนียุคสงครามนโปเลียน ได้แสดงถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงความแข็งแกร่งของชาติในเชิงความมั่นคง และการสงครามไว้ 3 ขั้ว คือ ประชาชน รัฐบาล และแม่ทัพกับกองทัพจะต้องมีความแข็งแกร่งสมดุลกัน ขั้วใดจะอ่อนแอมิได้ ถ้าอ่อนแอในข้อใดข้อหนึ่งย่อมแสดงว่า ประเทศนั้นชาตินั้นอ่อนแอ เช่น กรณีการสร้างความมั่นคงด้านสังคมจิตวิทยาและความสัมพันธ์ต่างประเทศของชาติในกรณีปราสาทพระวิหารนั้น

รัฐบาลมีความอ่อนแอไม่สามารถที่จะเจรจาอย่างเด็ดขาดกรณีเขตแดนทับซ้อนบนพื้นที่ติดกับตัวปราสาทเสียก่อนให้สมบูรณ์ว่าจะเอาอย่างไรกันแล้วจึงจะพิจารณาต่อไปในเรื่องอื่นๆ ทั้งยังมองแค่เพียงเหตุการณ์ในปัจจุบัน ไม่มีการวิเคราะห์ถึงผลกระทบทั้งเชิงรูปธรรม และนามธรรมในอนาคต ขาดความรอบคอบในปัญหาดินแดนที่ร้ายแรงกว่าปัญหาใดๆ เพราะเรื่องบูรณภาพแห่งแผ่นดินเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ปัญหาปราสาทพระวิหารมีปัญหาซับซ้อนมากเกินกว่าที่รัฐบาล และรัฐมนตรีต่างประเทศอายุแค่ 4 เดือน จะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้

ส่วนภาคขั้วประชาชนเองก็ไม่มีใครได้รับรู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารมาก่อน จึงเกิดภาวะขาดเอกภาพในความคิด แบ่งเป็นหลายพวก หลายทัศนะ หลายจิตสำนึก จนเมื่อองค์การ UNESCO รับเอาปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตามที่กัมพูชาเสนอ ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้ติดตามสนใจมาก่อน เพิ่งเริ่มจะรู้สึกตัวว่า อธิปไตยในการบริหารจัดการปราสาทพระวิหารรอบปริมณฑลองค์ปราสาทที่เป็นของไทยตกอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งเชื้อเชิญต่างชาติ 7 ชาติเข้าเป็นผู้ร่วมดำเนินการในการบริหารจัดการองค์ปราสาทพระวิหาร และอนาคตจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขตแดนทับซ้อนซึ่งมีความละเอียดอ่อน และกระทบกับแนวคิดในการจัดการกับพื้นที่ทั้งบนบกและพื้นทะเลที่ทับซ้อน

และสุดท้ายขั้วผู้นำกองทัพ และกองทัพก็ไม่ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในเรื่องนี้กลับ กล่าวเตือนให้ระวังความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา กรณีการวิจารณ์ปราสาทพระวิหาร ทำให้คำนึงถึงกรณีร่มเกล้า เพราะจุดยืนของกองทัพคือข้อยุติของศาลโลกที่พิพากษาไว้เท่านั้น นอกนั้นกองทัพต้องยืนยันว่าเป็นของไทย ส่วนพื้นที่ทับซ้อนต้องเป็นพื้นที่ว่างเปล่า และต้องเจรจาร่วมกับหน่วยเกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงต่างประเทศให้สำเร็จเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เพราะหากกัมพูชามีอธิปไตยเหนือพื้นที่ทับซ้อน หรือพื้นที่ที่มีปัญหานี้แล้วศาลโลกคงจะพิพากษาให้กัมพูชาได้ครอบครองไปแล้ว ไม่ต้องมานั่งปวดหัวกันอยู่ทุกวันนี้ แต่ศาลโลกไม่ตัดสินก็เพราะว่ามันอาจจะเป็นของไทย แต่กัมพูชาต้องการตัวปราสาทไว้ก่อนเท่านั้นจึงต้องตัดสินตามนั้น เว้นไว้ที่ที่ไม่มีความชัดเจนจึงไม่ตัดสินเพราะมันอาจจะทำให้ผู้พิพากษาศาลโลก 9 คน ตัดสินใจยากก็เป็นได้

จึงเห็นได้ว่า ไตรภาคีแห่งชาติอ่อนแอ และถ้าไตรภาคียังคงมีความอ่อนแออยู่นี้ คนไทยจงเตรียมรับพิบัติจากกรณีอื่นๆ โดยเฉพาะในเวทีการเจรจาการค้า เพราะอำนาจต่อรองของไทยขณะนี้อ่อนแอ ลักษณะสังคมจิตวิทยาประชาชนอ่อนแอ เพราะความสับสนของประชาชนในชาติที่แตกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มหลงใหลระบอบทักษิณทั้งแท้และเทียม พวกหลงใหลแท้คือพวกบูชาอัตตาตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งช่วยไม่ได้เพราะเป็นพฤติกรรมปกติของปุถุชนในประวัติศาสตร์ สมาชิกพรรคนาซีหลงใหลฮิตเลอร์ ไม่ว่าฮิตเลอร์ทำอะไรที่ชั่วร้ายก็กลับเป็นถูกไปหมด

พวกหลงใหลเทียมคือ พวกที่ได้รับสินจ้างรางวัลจนเป็นทาสน้ำเงินที่หว่านไว้ทั่วในกลุ่มพวกเห็นเงินเป็นใหญ่ หรือพวกโลภมุ่งที่จะได้รับประโยชน์จากระบอบทักษิณ กลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณที่ต่อสู้มาอย่างน้อยก็ 5 ปีแล้ว เป็นกลุ่มที่มองเห็นธาตุแท้ของระบอบทักษิณอย่างทะลุปรุโปร่งคือกลยุทธ์ในการโกงกินทั้งซึ่งหน้า และเชิงนโยบายที่หวังเอาเปรียบชาติซึ่งเห็นได้จากกรณีนายยงยุทธ ติยะไพรัช นายไชยา สะสมทรัพย์ และนายจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น จึงพิสูจน์ได้ว่าเพียง 4 เดือนมีเหตุการณ์ชั่วทางการเมือง ไม่แคร์จริยธรรมและคุณธรรมของสังคมเลยแม้แต่น้อย และกลุ่มสุดท้ายได้แก่ กลุ่มที่ยังสับสนไม่รู้ว่าอะไรคือระบอบทักษิณ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังทำอะไรอยู่ และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เป็นอันตรายอย่างมาก เพราะความสับสนไร้ความรู้เท่าถึงการณ์ทำให้ทุกอย่างดิ่งลง ไม่ว่าเรื่องอำนาจรัฐ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องความถูกต้องของสังคม และเรื่องจุดยืนกองทัพในความเป็นทหารของคนบางคน แต่สำหรับคอลัมน์นี้ขอชื่นชมผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ที่ไม่เคยเปลี่ยนจุดยืน

แต่ต้องขอพูดถึงความกล้าหาญของอดีตนายทหารนอกประจำการกับนายทหารประจำการ 2 ท่านคือ พลเอกปานเทพ ภูวนาถนุรักษ์ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 และแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งประกาศจุดยืนชัดเจนในเรื่องความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ และด่าประณามพวกเนรคุณแผ่นดินที่จาบจ้วงสถาบันของชาติ และวิจารณ์จิตสำนึกของนักการเมืองที่ไร้ซึ่งความเป็นไทยไม่สนใจน้ำตาคนไทย

ผมดีใจที่ท่านสาปส่งบุคคลเหล่านั้น และท่านใช้เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อันเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิคนไทยตามนัยรัฐธรรมนูญ และกฎแห่งมหาชนซึ่งมีมาแต่สมัยจูเลียตซีซาร์ ประกาศฝากข้อคิดให้กับพี่น้องทหารให้ทำในสิ่งที่ควรทำ อย่าทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ยืนยันในสิ่งที่ถูกต้อง และเตือนผู้บัญชาการเหล่าทัพต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้าง และเรียกร้องให้พี่น้องทหารเรือ ทหารบกนึกถึงพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 รวมทั้งท่านได้ยืนยันว่า ทหารอากาศมีจุดยืนที่แน่นอนชัดเจนอยู่แล้ว เพราะจากอดีตท่านรู้ว่าตัวแปรสำคัญคือกองทัพอากาศ

อีกท่านหนึ่งที่ผมได้กล่าวไว้แล้วในตอนที่แล้วคือ พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ที่แต่งเครื่องแบบทำงานและใช้เวลานอกราชการขึ้นปราศรัยเรียกร้องให้ทหาร และประชาชนรับทราบถึงจุดยืนทหารคนหนึ่งที่รักชาติ รักแผ่นดิน จงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ โดยประกาศว่าทหารเป็นของกษัตริย์เพราะกษัตริย์แปลว่า ทหารที่ยิ่งใหญ่ และในหลวงคือจอมทัพไทยตามนิติประเพณีโบราณจนปัจจุบันก็มิได้ล้าสมัย เพราะเป็นตัวแปรถ่วงดุลมิให้กองทัพถูกซื้อด้วยเงินตรา ภารกิจของทหารคือปกป้องราชบัลลังก์ รักษาอำนาจอธิปไตย และบูรณภาพของชาติ

พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ พูดถึงรัฐบาลจะต้องดูแลโครงการพระราชดำริ 3 พันกว่าโครงการ เพราะว่าเป็นพระราชวิสัยทัศน์จากพระราชโองการที่ทรงครองราชย์โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขประชาชนชาวสยาม

นายทหารผู้นี้เป็นผู้หนึ่งซึ่งมีสายเลือดรักชาติโดยกำเนิด ถูกปลูกฝังให้ทำดีเพื่อชาติและส่วนรวม ไม่มีความใฝ่สูง ทั้งๆ ที่มีโอกาสหลายครั้งก็ปฏิเสธ ขอให้ชีวิตรับราชการเป็นไปตามกระแสตามหลักอาวุโสและเหมาะสม และไม่เคยกลัวอิทธิพลใดๆ เลย ที่เขียนเช่นนี้ก็เพราะว่า นายทหารผู้นี้มิได้คาดหวังอะไรในชีวิตไปมากกว่าการปกป้องความเป็นธรรม ความถูกต้องในสังคมไทย ในสังคมทหาร

ดังนั้น จึงเห็นว่านายทหารคนไหนชื่นชมพลเอกปฐมพงษ์ คนไหนไม่ชื่นชอบพลเอกปฐมพงษ์ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว เช่น กรณีพลเอกเรืองโรจน์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนให้ความเห็นส่วนตัวว่า เป็นการไม่เหมาะสม ขณะที่พลเอกบุญสร้าง กล่าวว่าไม่จำเป็นต้องกล่าวตักเตือนหรือตั้งกรรมการสอบสวน เพราะพลเอกปฐมพงษ์ไม่ได้ทำอะไรผิดวินัยทหาร ไม่ได้กล่าวร้ายใคร ไม่ได้ใช้เวลาราชการ ไม่ได้ดื่มสุรา และไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูกับใคร ถึงแม้ว่าพลเอกปฐมพงษ์แต่งนอกเครื่องแบบ แต่คนทั้งหลายก็รู้ว่าท่านยังเป็นทหารประจำการอยู่นั่นเอง แต่การแต่งเครื่องแบบไม่ได้ทำผิดวินัยหรือกฎหมายก็หมายความว่า ท่านให้เกียรติเครื่องแบบทหารต่างหากล่ะ ผมจึงขอ Salute ท่านด้วยความนับถือและศรัทธา
กำลังโหลดความคิดเห็น