“พิภพ” ชื่นชม ขรก.-ตำรวจ-ทหาร ที่กล้าหาญขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยการพฤติกรรมรัฐบาลนอมีนี ชี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญที่จะกระทำได้ ติงนักวิชาการคร่ำครึอย่าตามก้นตะวันตกจนเกินเหตุ แนะ แหวกระเบียบวิชาการรัฐศาสตร์สู่โลกกว้าง และคำนึงถึงสภาพทางการเมืองที่แตกต่างของไทยด้วย
วันนี้ (9 ก.ค.) เมื่อเวลา 21.12น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบน ได้พบผู้คนที่เป็นเพื่อนพันธมิตรฯ ระดับผู้ใหญ่ นักวิชาการ มีการแลกเปลี่ยนถึงบทบาทของพันธมิตรฯ กับการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย สิ่งที่ถกเถียงกันมากและเห็นตรงกันว่า ระบบเลือกตั้งของเราไม่สามารถทำให้เกิดรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยได้ ฉะนั้นต้องแยกระหว่างการต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย กับระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นักวิชาการตะวันตกที่เป็นคนไทยแล้วติดกับ กับการเลือกตั้ง ว่าถ้ามีการเลือกตั้งแล้วเราต้องยอมรับว่ารัฐบาลนั้นเป็นประชาธิปไตย แล้วจะต้องให้เขาดูแลบ้านเมืองไปในระยะหนึ่ง ถกเถียงกันมากว่าในความเป็นจริงของสังคมไทย จริงหรือเปล่าที่การเลือกตั้งจะได้มาซึ่งรัฐบาลประชาธิปไตย
นายพิภพ กล่าวว่า ในรัฐบาลทักษิณเป็นตัวอย่างที่อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง ต้องยอมรับการบริหารงานของเขา แต่พบว่าตลอด 5 ปี รัฐบาลทักษิณ ได้ฉีกรัฐธรรมนูญ ล้มล้างกระบวนการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมลงจนหมดสิ้น ไม่สนใจรัฐสภา ในตอนนั้นเราสู้กับตัวทักษิณ และเราก็บอกว่าทักษิณกำลังสร้างระบอบทักษิณขึ้นมาครอบงำสังคมไทยและเอาคนไทยเป็นจำเลย โดยอ้างว่าตัวเองมาจากการเลือกตั้ง สังคมไทยก็แบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่เชื่อทฤษฎีตะวันตกว่าถ้ามีการเลือกตั้งแล้วก็ต้องยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งว่าเป็นประชาธิปไตย แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง แม้แต่รัฐบาลสมัคร
นายพิภพ กล่าวอีกว่า ตัวทักษิณกับระบอบทักษิณ คิดว่าจะเห็นชัดตอนนี้ก็คือ ในขณะที่ตัวทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ และอยู่ข้างหลัง และนายสมัครก็ยอมรับว่าพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีแล้วก็ครอบงำและมีวิธีการเหมือนกับสมัยที่ทักษิณบริหารบ้านเมือง เราเริ่มเห็นชัดในเรื่องระบอบทักษิณว่าประเทศไทยกำลังถูกครอบด้วยระบอบทักษิณ โดยการกำหนดตัวรมต.และนโยบาย วันนี้ถ้าเราบอกว่ารัฐบาลสมัครเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ รัฐบาลสมัครเป็นนอมินีของระบอบทักษิณและตัวทักษิณ และทำตัวเป็นเผด็จการ ไม่คำนึงถึงรัฐธรรมนูญ และปัญหาจริยธรรมทางการเมือง
นายพิภพ กล่าวต่อว่า ทันทีที่เสียท่าเขมร สมัครบอกว่าไม่ใช่ความผิด ครม. เป็นความผิด ขรก.ต่างประเทศที่ชงเรื่องให้ ครม. แล้วถามต่อไปว่าถ้าเป็นอย่างนี้ มี ครม.ไว้ทำไมในการกำหนดนโยบายและตัดสินใจ แสดงว่ารัฐบาลสมัครและ ครม.ไม่มีคุณภาพพอในการตัดสินใจ เราจึงเสียทีกับเขมรได้ประกาศมรดกโลกฝ่ายเดียว นอกจากนั้นเราจะยังเสียที ถ้าไม่คัดค้านอย่างแรงจากรัฐบาลไทยและไม่ยอมรับ อีก 10 ปี หรือ 20 ปีข้างหน้า เขมรจะเอาแผ่นดิน 4.6 ตร.กม. ไปอ้างศาลโลกว่า ไทยยอมรับแล้วว่าแผ่นดินนี้เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทพระวิหาร ให้ดูแลฃร่วมกัเน 7 ประเทศ
นายพิภพ กล่าวอีกว่า อันนี้เป็นโจทย์ใหญ๋อีกอันว่า นอกจากเสียความชอบธรรมใจการเป็นมรดกโลกร่วมกันแล้ว ยัง เรายังเสียอธิปไตยของชาติในการดูแลดินแดนในส่วนของเราโดยรอบปราสาทฯ โดยยอมรับมติของยูเนสโก้ที่ให้ดูแลร่วมกับอีก 7 ประเทศ ไทยเองต้องยืนยันว่าเป็นดินแดนของประเทศไทย แล้วไทยจะดูแลเองเท่านั้น ถ้าจำเป็นต้องเป็นส่วนหนี่งของมรดกโลก ในดินแดนที่อยู่รอบปราสาทพระวิหาร ไทยต้องเป็นคนตัดสิน มิฉะนั้นจะถูกอ้างต่อไปในอนาคต
“นี่ล่ะรัฐบาลเผด็จการของระบอบทักษิณ ซึ่งมุ่งความร่ำรวยของกลุ่มทุนของตัว โดยเอากรณีปราสาทเขาพระวิหาร ไปเส้นฮุนเซน และสิ่งที่ฮุนเซนจะได้ตอนนี้คือสามารถใช้กรณีนี้หาเสียงเลือกตั้ง แล้วได้เป็นนายกฯ กัมพูชา ทักษิณและกลุ่มทักษิณจะได้ประโยชน์จากแผ่นดินเขมร” นายพิภพ กล่าว
จากนั้น นายพิภพยังเล่าถึงประวัติศาสตร์การการคุกคามของตะวันตกภายหลังรัชกาลที่ 5 สวรรคต ซึ่งยังคงมีอยู่ จนกระทั่งถึงยุคคณะราษฎร รวมทั้งยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ขบวนการเสรีไทย ได้พยายามทุกวิถีทางไม่ให้ไทยเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติไว้
นายพิภพ กล่าวว่า บรรพบุรุษของเราได้ใช้สติปัญญาในการรักษาดินแดนนับตั้งแต่ รัชกาลที่ 1จนถึงขบวนการเสรีไทย แต่วันนี้รัฐบาลนายสมัคร รมว.ต่างประเทศ กลับร่วมมือร่วมใจขมีขมัน ที่จะให้กัมพูชาได้ประกาศเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว แล้วผลก็ปรากฏอย่างที่เราวิพากษ์วิจารณ์บนเวทีนี้ว่า วันที่ 8 ก.ค.51 เป็นวันอัปยศของประเทศไทยที่สุด
นายพิภพ กล่าวต่อว่า ฉะนั้นรัฐบาลที่อ้างมาจากการเลือกตั้งแล้วใช้เกราะของประชาธิปไตยคุ้มครงตัวเองอยู่ เราเห็นแล้วว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยเสมอไป วันนี้เราต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย แล้วขับไล่รัฐบาลเผด็จการออกไป แต่การกระทำผิดเมื่อวันที 8 ก.ค. เราเพียงแต่ไล่ออกไม่พอ ต้องเอาติดคุคกด้วย ศาลก็ตัดสินแล้วว่าคำประกาศดังกล่าวไม่ถูกต้อง ต้องนำเข้ารัฐสภา แต่ยังดื้อรั้นไปโทษข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ
“คอยดูให้ดี รัฐบาลนี้จะพยายามรักษาสถานะตัวเองไว้โดยไม่ลาออก เพราะต้องการให้งบประมาณผ่าน และให้ถึงเดือนก.ย. ตัวเองจะมีสิทธิ์ย้ายข้าราชการและทหารทั้งหมด จะเป็นการล้างบางครั้งใหญ่กับข้าราชการที่ไม่เอากับระบอบทักษิณ ฉะนั้น วันพรุ่งนี้เขาจะตัดตอนนายนพดลให้ลาอก แต่อย่าไปหลงกลว่านี่เป็นการตัดตอนทางการเมือง เพื่อคงสภาพของรัฐบาลไว้ นี่คือเล่ห์กลของรัฐบาลเผด็จการในคราบประชาธิปไตย” นายพิภพ กล่าว
นอกจากนั้น นายพิภพยังกล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากถึงกรณีที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด แต่งเครื่องแบบเต็มยศขึ้นเวทีพันธมิตรฯ วานนี้ (8 ก.ค.) ว่า เรื่องนี้เถียงกันมาก ในหมู่นักวิชาการที่เคร่งครัดระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่ตนคิดว่าเป็นการต่อสู้กับระบอบประชาธิปไตยอย่างกล้าหาญที่สุด ซี่งควรจะเป็นตัวอย่าง ส่วนกรณีของนายพลแมคอาเธอร์ที่มีการยกมาเปรียบเทียบนั้น เป็นคนละกรณีกับครั้งนี้ เพราะนายพลแมคอาเธอร์เขาไม่เห็นด้วยกับยุทธวิธีในการรบ ประธานาธิบดีสหรัฐจงมีสิทธิ์ย้าย แต่เมื่อวานนี้นายทหารของเราไม่ได้พูดเรื่องยุทธศาสตร์ในการรบ แต่มาพูดว่าประชาธิปไตยกับเผด็จการ และเผด็จการในคราบประชาธิปไตยจะนำไปสู่เหตุการณ์เสียดินแดนอย่างไร อย่างนี้ถือว่าเป็นมิติใหม่ของทหารของชาติ
“เรื่องนี้ต้องพูดให้ชัด เพราะจะถูกนักวิชาการที่ สมาทานประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์แบบ โดยไม่เข้าใจสภาพทางการเมือง และระบอบประชาธิปไตยในเมืองไทย ว่ามีความคาบเกี่ยวความเป็นเผด็จการและระบอบทักษิณ ซึ่งแข็งแรงมาก ยังสู้ไม่ถอยจนวันนี้ ฉะนั้นถ้าไม่สามารถรวบรวมคนทุกหมู่เหล่าลุกขึ้นมาต่อต้านได้ ปล่อยให้ประชาชนที่มีแต่มือเท้า ไม่พอ” นายพิภพ กล่าว
นายพิภพ กล่าวด้วยว่า เวทีพันธมิตรฯ พร้อมจะเปิดโอกาสให้ข้าราชการ นักการทหาร ได้ออกมาแสดงจุดยืนร่วมกับพี่น้องประชาชน ว่าไม่เอารัฐบาลสมัครแล้ว ในขณะที่ประเทศไม่วิกฤต ข้าราชการควรจะวางตัวอย่างซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสดงออกในที่สาธารณะ แต่ในขณะที่ประเทศกำลังวิกฤติอยู่ขณะนี้ กำลังต่อสู้กับระบอบทักษิณ และทักษิณ และรัฐบาลนอมินีจะต้องตัดสินในทางรัฐศาสตร์ใหม่ จัดลำดับในการบริหารประเทศ ตามแบบประเทศที่ไม่เกิดวิกฤติไม่ได้ เพราะประเทศเกิดวิกฤตถึงขนาดจะเสียดินแดนอีกครั้ง เสียสิทธิ์ที่จะอ้างในศาลโลกต่อไปในอนาคต เป็นวิกฤตใหญ่หลวง ฉะนั้นทุกหมู่เหล่าต้องออกมา เหมือนเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ออกมารวมตัวกันเป็นเสรีไทย
นายพิภพ กล่าวด้วยว่า การรวมพลทุกชนชั้น นายทหารและข้าราชการ จะมาขึ้นเวทีนี้ถือเป็นเรื่องเหมาะกับวิกฤติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราไม่ต้องการให้ทหารทำรัฐประหาร ฉะนั้นเราต้องสนับสนุนให้ทหารแสดงออกทางการเมืองบนเวทีพันธมิตรฯ แม่ทัพบก แม่ทัพอากาศ และแม่ทัพเรือ มายืนบนเวทีพันธมิตรฯ แล้วบอกว่าประเทศกำลังวิกฤติ อาจจะนำไปสู่การเสียดินแดนอีกครั้งหนึ่ง ท่านไม่รักเอกราชและประเทศไทยหรือ นี่เป็นการแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญได้คุ้มครองข้าราชการที่กล้าหาญเหล่านี้ไว้ ฉะนั้น เราต้องแหวกระเบียบวิชาการทางรัฐศาสตร์ ที่อิงประชาธิปไตยตะวันตกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งประเทศไทยเรายังมะงุมมะงาหราในการสู้กับนักเลือกตั้งที่กลายเป็นเผด็จการอยู่