“ยามเฝ้าแผ่นดิน” จี้ กต.ชี้แจง กรณีชื่อ “ทักษิณ” ติดธงชาติไทย ตีหราในสนามแมนฯ ซิตี้ เชื่อ “โชติศักดิ์ อ่อนสูง” เชิญสื่อทำข่าวที่ สน.มุ่งขยายประเด็น “ไม่ยืน” ออกสู่ต่างประเทศ และทำเป็นขบวนการ ยันคำพูด “จักรภพ” ล่อแหลมหมิ่นเบื้องสูง แม้เจ้าตัวอ้างแปลผิด
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 29 เมษายน นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระบบสรรหา และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีมีการนำธงชาติไทย โดยเขียนชื่อ THAKSIN ลงไปบนธงชาตินำไปโชว์ที่อัฒจรรย์ สนามซิตี้ออฟแมนเชสเตอร์ ของสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ว่า กรณีดังกล่าวเป็นประเด็นใหญ่ ขนาดนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรียังไม่กล้าปกป้อง และบอกว่าน่าจะเป็นกระทำของคนต่างชาติที่ไม่รู้ขนบประเพณีของประเทศไทย แต่หากคนไทยในสนามเห็นก็น่าจะรีบบอกให้เอาลง
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศต้องทำหนังสือขอคำชี้แจง พร้อมทั้งอธิบายถึงความไม่เหมาะสมไปยังสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ไม่ใช่ไปอนุมานเอาก่อนว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะการกระทำดังกล่าวนี้เข้าข่ายทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติธง พ.ศ.2522 มาตรา 53 และกฎหมายอาญา มาตรา 118 เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เรื่องบางเรื่องที่คนไทยถือ แต่คนต่างชาติอาจจะไม่ถือ เพราะฉะนั้นวิธีปฏิบัติต่อธงชาติจึงไม่เหมือนกัน มุมมองอาจจะไม่เหมือนกัน อาจเกิดความไม่เข้าใจนำไปสู่ความขัดแย้งระดับสากลในอนาคต
โดยเฉพาะหากเจอคนที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ อย่างนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากไม่ยอมยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ ที่นำสื่อมวลชนจากต่างประเทศไปทำข่าวที่ สน.ปทุมวัน ทั้งๆ ที่พนักงานสอบสวนไม่ได้เรียกสอบอะไร เป็นความต้องการให้ประเด็นดังกล่าวไปสู่ระดับสากล อ้างสิทธิเสรีภาพ เป็นสิทธิมนุษยชนที่สามารถไม่ยืนเคารพต่อเพลงสรรเสริญพระบารมีได้ แล้วประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์นั้น ขัดหลักสิทธิมนุษยชน นี่คือเจตนาของนายโชติศักดิ์ และคาดว่าเมื่อข่าวดังกล่าวนี้ถูกตีพิมพ์ในสื่อต่างประเทศก็จะไม่มีคำอธิบายที่มากพอ
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับกันตรงๆ ว่า สื่อมวลชนต่างประเทศไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศไทย แต่หากมีการแนะนำให้ทราบถึงรากเหง้าวัฒนธรรมตะวันออก คุณงามความดี พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สืบทอดมา เชื่อว่า คนต่างชาติต้องเข้าใจและยอมรับได้ แต่กลับกันวันนี้ยังมีคนไทยบางกลุ่ม เลือกที่จะเอาความเชื่อของตัวเองมาเป็นประเด็นไปสู่สากล โดยละเว้นที่จะอธิบายความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และลักษณะพิเศษของประเทศไทย ดังนั้นนายกรัฐมนตรี ไม่ควรนิ่งเฉย ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเอาผิดกับคนกลุ่มนี้ ตามที่ให้สัตย์ปฏิญาณตนก่อนรับตำแหน่งหน้าที่
สปีช “จักรภพ” ล่อแหลม
ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงกรณี พ.ต.ต.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 พร้อมนำหลักฐานซีดีบันทึกการแถลงข่าวและคำแปลภาษาไทย จากกรณีที่นายจักรภพ ในฐานะหนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) แถลงข่าวต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ FCCT เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ซึ่งการแถลงข่าวมีถ้อยคำที่เข้าข่ายแสดงความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ประเด็นดังกล่าวกำลังสร้างความหนักใจให้กับนายจักรภพ เป็นอย่างมาก แม้นายจักรภพจะอ้างว่าตำรวจที่ไปแจ้งความนั้นแปลความหมายผิด โดยแปลคำว่าระบบอุปถัมภ์ที่เขาพูด หมายถึง พระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งในความเป้ฯจริง สำนวนการแจ้งความจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ถ้อยคำที่ถูกแปลออกมาเป็นภาษาไทยจากสถาบันที่ได้รับความเชื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ระบุตรงกันว่า เนื้อหาที่นายจักรภพ พูดนั้นล่อแหลมมาก ต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความสอดประสานกันของการพยายามทำให้เห็นว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เรียกว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตย หรือบางทีจะใช้คำว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแทน
เป็นการสอดรับกับแนวความคิดของนักวิชาการบางคนที่มีความเห็นว่า เนื้อหาของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นหลักของประเทศไทยมาโดยตลอด ในปัจจุบัน มันยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ขัดกับระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไปในเชิงสากล คนกลุ่มนี้พยายามเสนอสิ่งที่เรียกว่า ระบบประชาธิปไตยเฉยๆ ระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มี อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อท้าย หรือบางทีจะเป็น ระบอบประชาธิปไตยของปวงมหาประชาชน
โปรดสังเกตดูว่า คำว่า “มหาประชาชน” ก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อกลุ่มของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนที่เคลื่อนไหวต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แนวความคิดนี้ได้พูดซ้ำพูดซากว่า มันคือแก่นแกนหลักของสถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน มันคือแก่นแกนหลักของวิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2548 -2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
“สปีชของนายจักรภพ มันได้แสดงออกชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่ นายจักรภพ เป็นคนกล้าหาญ กล้าที่จะแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกมา ในข้อเขียนในงานชิ้นต่างๆ ในสปีชภาษาอังกฤษ ในการขึ้นเวทีไฮด์ปาร์กเป็นภาษาไทย ชัดเจน ทำในฐานะที่เป็นงานทางวิชาการ เป็นงานที่เผยแพร่อยู่ในแวดวงจำกัด เป็นทฤษฎี เป็นความเชื่อ แล้วจำกัดบทบาทที่ไม่ได้ออกมาเป็นผู้นำทางการเมือง ไม่ได้ออกมาเป็นนักการเมือง ไม่ได้นำความคิดเหล่านั้นมาโฆษณาทางการเมือง แต่ว่า สถานภาพของนายจักรภพ วันนี้ ต้องถือว่าเป็นนักการเมือง
“เพราะฉะนั้นนัยที่แสดงออกมาจากคำพูดจากสปีช จากงานเขียนของนายจักรภพนั้น ย่อมจะต้องพิจารณาด้วยท่าทีที่แตกต่างออกไปจากงานวิจัยทางวิชาการโดยทั่วไปของนักวิชาการบางท่าน หรือปราชญ์อาวุโสบางท่านที่ท่านก็พูดทำนองนี้อยู่บ้าง แล้วเป็นคดีความอยู่พอสมควร อันนี้ที่เป็นประเด็นที่แตกต่างที่ คิดว่า นายกรัฐมนตรี ถ้ามีสติปัญญาหรือตั้งใจจะดูข้อมูลเหล่านี้จริงๆ น่าจะได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่ารัฐมนตรีข้างกายท่านคิดอย่างไร แล้วท่านตั้งท่านเหล่านี้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ท่านคิดอย่างไร”
เชื่อ “โชติศักดิ์” เป็นขบวนการ
ในช่วงท้ายรายการ นายคำนูณ ได้กล่าวถึงข้อสังเกตจากผู้ชมรายการที่ส่งเข้ามาทางโทรศัพท์ว่า กรณีนายโชติศักดิ์และสิ่งที่ปรากฏนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีการใส่เสื้อที่มีข้อความไม่เหมาะสมไปที่กรมประชาสัมพันธ์ การไปที่ สน.ปทุมวันแล้วมีนักข่าวฝรั่งไปทำข่าวจำนวนมาก เกินกำลังนายโชติศักดิ์ที่จะทำเพียงคนเดียว จะต้องมีกระบวนการทำงานที่ประสานกันไป
ขณะที่นางสาวสโรชา กล่าวเสริมว่า มีเพื่อนที่เป็นนักข่าวต่างประเทศเล่าให้ฟังว่า หลังการรัฐประหาร 19 กันยาฯ ก่อนที่จะมีการชุมนุมประท้วงแต่ละครั้งนั้น มักจะมีโทรศัพท์ไปยังสำนักข่าวต่างๆ ให้ไปทำข่าว ซึ่งนักข่าวต่างประเทศนั้นจะไม่ได้รับหมายข่าวตามปกติ แต่จะได้รับโทรศัพท์แจ้งให้ไป
นายคำนูณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเพิ่งกลับมาจัดรายการเพียง 4 ครั้ง แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้เหนื่อยใจเกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นด็เห็น ไม่เคยคิดว่าจะมีคนไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนังแล้วประกาศว่าไม่ยืนมานานแล้ว แถมยังมีคนไปสนับสนุน และมีคนใส่เสื้อรณรงค์ไปที่กรมประชาสัมพันธ์
“หลายวันมาแล้วเหตุเกิดขึ้น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือจะให้ประชาชนไปที่กรมประชาสัมพันธ์ไหม
“หลายสิ่งหลายอย่าง แล้วยิ่งมาดูสปีช ของคนเป็นรัฐมนตรี(จักรภพ เพ็ญแข) ในวันนี้ พูดออกมาความโดยรวมทั้งหมดแล้วนี่ คนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังปกป้อง ยังมองว่าคนที่นำเรื่องนี้มาพูดต้องการที่จะใส่ร้าย ต้องการที่จะกล่าวหาว่ารัฐบาลวไม่จงรักภักดี โดยที่ไม่พยายามดูเรื่องราวทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งยังรู้ว่าหลักฐานต่างๆ มันมีอยู่โทนโท่”นายคำนูณ กล่าว
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า อาการเหนื่อยใจในขณะนี้ ทำให้นึกถึงกลอนเพลงยาวพยากรณ์อยุธยา ที่เปิดในช่วงท้ายรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ขณะนี้ได้เป็นอย่างดี โดยบทกลอนดังกล่าวมีใจความว่า “ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า เพราะจัณฑาลมันเข้ามาเสพสม ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา”
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทาง เอเอสทีวี คืนวันที่ 29 เมษายน นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระบบสรรหา และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงกรณีมีการนำธงชาติไทย โดยเขียนชื่อ THAKSIN ลงไปบนธงชาตินำไปโชว์ที่อัฒจรรย์ สนามซิตี้ออฟแมนเชสเตอร์ ของสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ว่า กรณีดังกล่าวเป็นประเด็นใหญ่ ขนาดนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรียังไม่กล้าปกป้อง และบอกว่าน่าจะเป็นกระทำของคนต่างชาติที่ไม่รู้ขนบประเพณีของประเทศไทย แต่หากคนไทยในสนามเห็นก็น่าจะรีบบอกให้เอาลง
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศต้องทำหนังสือขอคำชี้แจง พร้อมทั้งอธิบายถึงความไม่เหมาะสมไปยังสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ ไม่ใช่ไปอนุมานเอาก่อนว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะการกระทำดังกล่าวนี้เข้าข่ายทำผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติธง พ.ศ.2522 มาตรา 53 และกฎหมายอาญา มาตรา 118 เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เรื่องบางเรื่องที่คนไทยถือ แต่คนต่างชาติอาจจะไม่ถือ เพราะฉะนั้นวิธีปฏิบัติต่อธงชาติจึงไม่เหมือนกัน มุมมองอาจจะไม่เหมือนกัน อาจเกิดความไม่เข้าใจนำไปสู่ความขัดแย้งระดับสากลในอนาคต
โดยเฉพาะหากเจอคนที่มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ อย่างนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากไม่ยอมยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ ที่นำสื่อมวลชนจากต่างประเทศไปทำข่าวที่ สน.ปทุมวัน ทั้งๆ ที่พนักงานสอบสวนไม่ได้เรียกสอบอะไร เป็นความต้องการให้ประเด็นดังกล่าวไปสู่ระดับสากล อ้างสิทธิเสรีภาพ เป็นสิทธิมนุษยชนที่สามารถไม่ยืนเคารพต่อเพลงสรรเสริญพระบารมีได้ แล้วประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์นั้น ขัดหลักสิทธิมนุษยชน นี่คือเจตนาของนายโชติศักดิ์ และคาดว่าเมื่อข่าวดังกล่าวนี้ถูกตีพิมพ์ในสื่อต่างประเทศก็จะไม่มีคำอธิบายที่มากพอ
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับกันตรงๆ ว่า สื่อมวลชนต่างประเทศไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศไทย แต่หากมีการแนะนำให้ทราบถึงรากเหง้าวัฒนธรรมตะวันออก คุณงามความดี พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สืบทอดมา เชื่อว่า คนต่างชาติต้องเข้าใจและยอมรับได้ แต่กลับกันวันนี้ยังมีคนไทยบางกลุ่ม เลือกที่จะเอาความเชื่อของตัวเองมาเป็นประเด็นไปสู่สากล โดยละเว้นที่จะอธิบายความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และลักษณะพิเศษของประเทศไทย ดังนั้นนายกรัฐมนตรี ไม่ควรนิ่งเฉย ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเอาผิดกับคนกลุ่มนี้ ตามที่ให้สัตย์ปฏิญาณตนก่อนรับตำแหน่งหน้าที่
สปีช “จักรภพ” ล่อแหลม
ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงกรณี พ.ต.ต.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 พร้อมนำหลักฐานซีดีบันทึกการแถลงข่าวและคำแปลภาษาไทย จากกรณีที่นายจักรภพ ในฐานะหนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) แถลงข่าวต่อสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ FCCT เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ซึ่งการแถลงข่าวมีถ้อยคำที่เข้าข่ายแสดงความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ประเด็นดังกล่าวกำลังสร้างความหนักใจให้กับนายจักรภพ เป็นอย่างมาก แม้นายจักรภพจะอ้างว่าตำรวจที่ไปแจ้งความนั้นแปลความหมายผิด โดยแปลคำว่าระบบอุปถัมภ์ที่เขาพูด หมายถึง พระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งในความเป้ฯจริง สำนวนการแจ้งความจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ถ้อยคำที่ถูกแปลออกมาเป็นภาษาไทยจากสถาบันที่ได้รับความเชื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ระบุตรงกันว่า เนื้อหาที่นายจักรภพ พูดนั้นล่อแหลมมาก ต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความสอดประสานกันของการพยายามทำให้เห็นว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่เรียกว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตย หรือบางทีจะใช้คำว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแทน
เป็นการสอดรับกับแนวความคิดของนักวิชาการบางคนที่มีความเห็นว่า เนื้อหาของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เป็นหลักของประเทศไทยมาโดยตลอด ในปัจจุบัน มันยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ขัดกับระบอบประชาธิปไตยโดยทั่วไปในเชิงสากล คนกลุ่มนี้พยายามเสนอสิ่งที่เรียกว่า ระบบประชาธิปไตยเฉยๆ ระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มี อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อท้าย หรือบางทีจะเป็น ระบอบประชาธิปไตยของปวงมหาประชาชน
โปรดสังเกตดูว่า คำว่า “มหาประชาชน” ก็ถูกนำมาใช้เป็นชื่อกลุ่มของ ส.ส.พรรคพลังประชาชนที่เคลื่อนไหวต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แนวความคิดนี้ได้พูดซ้ำพูดซากว่า มันคือแก่นแกนหลักของสถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน มันคือแก่นแกนหลักของวิกฤตการเมืองไทยในปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2548 -2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
“สปีชของนายจักรภพ มันได้แสดงออกชัดเจนว่าคิดอะไรอยู่ นายจักรภพ เป็นคนกล้าหาญ กล้าที่จะแสดงความรู้สึกส่วนตัวออกมา ในข้อเขียนในงานชิ้นต่างๆ ในสปีชภาษาอังกฤษ ในการขึ้นเวทีไฮด์ปาร์กเป็นภาษาไทย ชัดเจน ทำในฐานะที่เป็นงานทางวิชาการ เป็นงานที่เผยแพร่อยู่ในแวดวงจำกัด เป็นทฤษฎี เป็นความเชื่อ แล้วจำกัดบทบาทที่ไม่ได้ออกมาเป็นผู้นำทางการเมือง ไม่ได้ออกมาเป็นนักการเมือง ไม่ได้นำความคิดเหล่านั้นมาโฆษณาทางการเมือง แต่ว่า สถานภาพของนายจักรภพ วันนี้ ต้องถือว่าเป็นนักการเมือง
“เพราะฉะนั้นนัยที่แสดงออกมาจากคำพูดจากสปีช จากงานเขียนของนายจักรภพนั้น ย่อมจะต้องพิจารณาด้วยท่าทีที่แตกต่างออกไปจากงานวิจัยทางวิชาการโดยทั่วไปของนักวิชาการบางท่าน หรือปราชญ์อาวุโสบางท่านที่ท่านก็พูดทำนองนี้อยู่บ้าง แล้วเป็นคดีความอยู่พอสมควร อันนี้ที่เป็นประเด็นที่แตกต่างที่ คิดว่า นายกรัฐมนตรี ถ้ามีสติปัญญาหรือตั้งใจจะดูข้อมูลเหล่านี้จริงๆ น่าจะได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่ารัฐมนตรีข้างกายท่านคิดอย่างไร แล้วท่านตั้งท่านเหล่านี้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ท่านคิดอย่างไร”
เชื่อ “โชติศักดิ์” เป็นขบวนการ
ในช่วงท้ายรายการ นายคำนูณ ได้กล่าวถึงข้อสังเกตจากผู้ชมรายการที่ส่งเข้ามาทางโทรศัพท์ว่า กรณีนายโชติศักดิ์และสิ่งที่ปรากฏนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีการใส่เสื้อที่มีข้อความไม่เหมาะสมไปที่กรมประชาสัมพันธ์ การไปที่ สน.ปทุมวันแล้วมีนักข่าวฝรั่งไปทำข่าวจำนวนมาก เกินกำลังนายโชติศักดิ์ที่จะทำเพียงคนเดียว จะต้องมีกระบวนการทำงานที่ประสานกันไป
ขณะที่นางสาวสโรชา กล่าวเสริมว่า มีเพื่อนที่เป็นนักข่าวต่างประเทศเล่าให้ฟังว่า หลังการรัฐประหาร 19 กันยาฯ ก่อนที่จะมีการชุมนุมประท้วงแต่ละครั้งนั้น มักจะมีโทรศัพท์ไปยังสำนักข่าวต่างๆ ให้ไปทำข่าว ซึ่งนักข่าวต่างประเทศนั้นจะไม่ได้รับหมายข่าวตามปกติ แต่จะได้รับโทรศัพท์แจ้งให้ไป
นายคำนูณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเพิ่งกลับมาจัดรายการเพียง 4 ครั้ง แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้เหนื่อยใจเกิดขึ้นมากมาย สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นด็เห็น ไม่เคยคิดว่าจะมีคนไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนังแล้วประกาศว่าไม่ยืนมานานแล้ว แถมยังมีคนไปสนับสนุน และมีคนใส่เสื้อรณรงค์ไปที่กรมประชาสัมพันธ์
“หลายวันมาแล้วเหตุเกิดขึ้น คนที่ได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือจะให้ประชาชนไปที่กรมประชาสัมพันธ์ไหม
“หลายสิ่งหลายอย่าง แล้วยิ่งมาดูสปีช ของคนเป็นรัฐมนตรี(จักรภพ เพ็ญแข) ในวันนี้ พูดออกมาความโดยรวมทั้งหมดแล้วนี่ คนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังปกป้อง ยังมองว่าคนที่นำเรื่องนี้มาพูดต้องการที่จะใส่ร้าย ต้องการที่จะกล่าวหาว่ารัฐบาลวไม่จงรักภักดี โดยที่ไม่พยายามดูเรื่องราวทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งยังรู้ว่าหลักฐานต่างๆ มันมีอยู่โทนโท่”นายคำนูณ กล่าว
นายคำนูณ กล่าวต่อว่า อาการเหนื่อยใจในขณะนี้ ทำให้นึกถึงกลอนเพลงยาวพยากรณ์อยุธยา ที่เปิดในช่วงท้ายรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งสะท้อนความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์ขณะนี้ได้เป็นอย่างดี โดยบทกลอนดังกล่าวมีใจความว่า “ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า เพราะจัณฑาลมันเข้ามาเสพสม ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา”