ทีมข่าวอาชญากรรม
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกลุ่มต่อต้าน เมื่อคืนวานนี้ (25 พ.ค.) ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบอย่างปฏิเสธไม่ได้ คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม
ความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดขึ้นตั้งแต่มีการปล่อยให้กลุ่มต่อต้านเข้ามาจัดเวทีประจันหน้ากับกลุ่มพันธมิตรฯบริเวณด้านหน้าร้านเมธาวลัยศรแดง จนทำให้กลุ่มต่อต้านจุดชนวนด้วยการทำร้ายร่างกายประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนแสดงพฤติการณ์ยั่วยุต่างๆ นานา ทั้งพูดจาด่าทอ รวมทั้งมีการใช้ผ้าพันคอกู้ชาติมาผูกกับรองเท้า ขว้างปาขวดน้ำเข้าใส่ แถมยังปล่อยให้ผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายฝ่าแนวกันออกมาปะทะกันรอบแรกตั้งแต่เวลาประมาณ 18.30 น.กว่าที่ตำรวจจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ก็ทำให้มีผู้บาดเจ็บไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นกลุ่มต่อต้านยังคงยั่วยุด้วยการขว้างปาขวดแก้ว และก้อนหินเข้าใส่กลุ่มพันธมิตรฯที่อยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นระยะ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการดำเนินการใดๆ
21.30 น.เหตุการณ์เริ่มเขม็งเกลียวมากขึ้น เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯเริ่มเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาล แต่ยังไม่ทันที่ขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนออกไปหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับปล่อยให้กลุ่มต่อต้านออกติดตามพร้อมขว้างปาทั้งขวดแก้ว และก้อนหินใส่กลุ่มผู้ชุมนุมและรถบรรทุกเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯที่ปิดท้ายขบวนโดยไม่มีการดำเนินการใดๆ จนทำให้กลุ่มพันธมิตรฯได้รับบาดเจ็บไปอีกหลายราย
หลังจากปล่อยให้มีการไล่ทำร้ายร่างการกันนานเกือบ 10 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดพร้อมโล่และกระบองจึงเข้ามาควบคุมสถานการณ์โดยสกัดกลุ่มต่อต้านไว้บริเวณหน้าอาคารเทเวศร์ประกันภัย และปล่อยขบวนของกลุ่มพันธมิตรเคลื่อนต่อไป
22.30 น.ยังไม่ทันที่ท้ายขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯจะเคลื่อนออกไปได้ไกล กำลังตำรวจคอมมานโดที่สกัดกลุ่มต่อต้านอยู่ ก็ถอนกำลังออกมุ่งหน้าไปสกัดกั้นขบวนของพันธมิตรฯที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้เคลื่อนไปถึงทำเนียบรัฐบาล โดยปล่อยให้กลุ่มต่อต้านไล่ตามมาทัน และปะทะกันกับการ์ดของพันมิตรฯ อย่างรุนแรงบริเวณสี่แยก ภปร.โดยระหว่างการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการขว้างระเบิดควัน เข้าใส่ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น ตำรวจปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอยู่นานกว่า 10 นาที จึงเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้บาดเจ็บต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลไปหลายรายด้วยกัน
จากการปล่อยปละละเลยดังกล่าว ดูเหมือนตำรวจจะจงใจให้ทั้ง 2 ฝ่าย ฟาดฟันกันให้แดดิ้นไปทั้งคู่ เพื่อต้องการให้บรรลุจุดประสงค์หลัก ตามที่ได้รับคำสั่งมา นั่นคือ “การสลายม็อบ” ตามที่ได้มีการตระเตรียมแก๊สน้ำตา กระสุนยาง ระเบิดควันไว้แล้วอย่างพรั่งพร้อม ซึ่งการมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของตำรวจในครั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับเมื่อปี 2549 ปีที่มีพล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ เป็น ผบก.น.1 พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี เป็น ผบช.น.นั้น ตำรวจสั่งให้มีการ “ปลดอาวุธ” ของกองกำลังทั้งหมด ในการเข้าไปดูรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ครั้งนี้ภายใต้การนำของพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 และผู้ที่มีอำนาจสั่งการอย่างพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.ทำไมถึงผิดกันราวหน้ามือกับหลังเท้า!
ใช่แต่ครั้งนี้เท่านั้นที่ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า พล.ต.ต.อำนวย มิได้ใส่ใจในการปกป้องคุ้มครองดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเมื่อครั้งที่มีการสัมมนาของกลุ่มพันธมิตรฯที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มผู้คัดค้านไปป่วนอยู่ฝั่งตรงข้ามประตูมหาวิทยาลัย แต่ตำรวจก็มิได้ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาถูกรังแก หลักฐานก็ปรากฏทนโธ่อยู่ในอดีต
หากมองย้อนไปในอดีต พล.ต.ต.อำนวย นั้น เคยดำรงตำแหน่งรอง ผบก.น.7 พื้นที่ฝั่งธนบุรีย่านบางพลัด ที่ว่ากันว่า ต้องเคยไปเข้าเวร “บ้านจัญไรส่องหล้า” มาก่อน จึงได้ดิบได้ดี เติบโตและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้การ” ในนครบาลได้ โดย พล.ต.ต.อำนวย นั้น เป็น นรต.31 รุ่นเดียวกับนายตำรวจดังๆ หลายนาย อาทิ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ รอง ผบก.ป.พล.ต.ต.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบช.ประจำ สำนักงาน ผบ.ตร.ว่าที่ ผบช.ก. พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.รฟ.ฯลฯ
พล.ต.ต.อำนวย ถือเป็นมือกฎหมาย มืออันดับต้นๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยความที่เป็นคนแข้งกร้าว และไม่ประนีประนอม ทำให้ลูกน้องหลายนายไม่ค่อยชอบ เคยมีลูกน้องคนสนิทรายหนึ่งเล่าว่า เมื่อตอนที่ พล.ต.ต.อำนวย ถูกย้ายจาก ผบก.น.2 ซึ่งถือเป็นพื้นที่ทำเลทอง เพราะเป็นที่ตั้งของบ่อนเตาปูนอันลือชื่อ ไปเป็น ผบก.น.3 ที่แทบจะถือเป็นพื้นที่นอกสายตาของนายตำรวจระดับ ผู้บังคับการ ลูกน้องทั้งใน บก.น.2 เองและโรงพักบางแห่ง ถึงกับมีการจุดประทัดไล่กันทีเดียว
เหยี่ยวข่าวสายตระเวนเขาเมาท์กันว่า เมื่อครั้ง “ตานวย” (ไม่ใช่ไม่สุภาพ แต่เขาเรียก พล.ต.ต.อำนวย กันอย่างนี้) เป็นผู้การ บก.น.2 มักจะเห็นแกขับรถเอง ขับรถคนเดียวเสมอ ไม่ทราบเหตุผลเช่นกันว่าทำไม หรือว่าลูกน้องคงไม่มีใครเอา และแต่ละครั้งเมื่อแถลงข่าวที มักชอบปล่อยมุกแป๊กใส่นักข่าวเสมอ โดยเฉพาะนักข่าวสาวๆ บางทีก็ต้องแกล้งขำกันตามมรรยาท ต่อมาเมื่อย้ายไปเป็นผบก.น.3 ดูพื้นที่ชานเมืองด้านทิศเหนือ อาชญากรรมก็ไม่ได้ลดสถิติลง มีอย่างเดียวที่เป็นงานถนัดของ"ตานวย" ก็คือ จับใบกระท่อม จนได้ฉายา “มือปราบกระท่อม” มาครอง ช่างน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก
สุดท้าย อยากฝากถึง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธื์ศรี ไว้ว่า จะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะมีใจเอนเอียงอยู่ฝ่ายไหน แต่กับหน้าที่ ภายใต้เครื่องแบบสีกากีที่คุณสวมใส่อยู่ คุณต้องคอยปกป้องดูแลประชาชน มิใช่วางเฉย ปล่อยให้เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
ทั้งนี้ เราเชื่อมั่นมาเสมอว่า หากตำรวจจะดำเนินการไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันนั้น ย่อมทำได้ และทำได้ดีด้วย แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา พวกคุณทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้คนไทยเข้าห่ำหั่นกันเองจนเลือดตกยางออก คุณจึงไม่ควรสวมเครื่องแบบของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และสวมหมวกที่มีตราแผ่นดินอยู่บนศีรษะอีกต่อไป
แต่เอาเถอะ พวกเราทำใจกันแล้ว เพราะนิสัยตำรวจก็งี้แหละ "ดีชั่วรู้หมด แต่ (แม่ง) อดไม่ได้ (โว้ย)”
เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กับกลุ่มต่อต้าน เมื่อคืนวานนี้ (25 พ.ค.) ซึ่งส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบอย่างปฏิเสธไม่ได้ คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลที่มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม
ความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดขึ้นตั้งแต่มีการปล่อยให้กลุ่มต่อต้านเข้ามาจัดเวทีประจันหน้ากับกลุ่มพันธมิตรฯบริเวณด้านหน้าร้านเมธาวลัยศรแดง จนทำให้กลุ่มต่อต้านจุดชนวนด้วยการทำร้ายร่างกายประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนแสดงพฤติการณ์ยั่วยุต่างๆ นานา ทั้งพูดจาด่าทอ รวมทั้งมีการใช้ผ้าพันคอกู้ชาติมาผูกกับรองเท้า ขว้างปาขวดน้ำเข้าใส่ แถมยังปล่อยให้ผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายฝ่าแนวกันออกมาปะทะกันรอบแรกตั้งแต่เวลาประมาณ 18.30 น.กว่าที่ตำรวจจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ก็ทำให้มีผู้บาดเจ็บไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นกลุ่มต่อต้านยังคงยั่วยุด้วยการขว้างปาขวดแก้ว และก้อนหินเข้าใส่กลุ่มพันธมิตรฯที่อยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นระยะ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการดำเนินการใดๆ
21.30 น.เหตุการณ์เริ่มเขม็งเกลียวมากขึ้น เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯเริ่มเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปตามถนนราชดำเนิน มุ่งหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาล แต่ยังไม่ทันที่ขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนออกไปหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับปล่อยให้กลุ่มต่อต้านออกติดตามพร้อมขว้างปาทั้งขวดแก้ว และก้อนหินใส่กลุ่มผู้ชุมนุมและรถบรรทุกเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯที่ปิดท้ายขบวนโดยไม่มีการดำเนินการใดๆ จนทำให้กลุ่มพันธมิตรฯได้รับบาดเจ็บไปอีกหลายราย
หลังจากปล่อยให้มีการไล่ทำร้ายร่างการกันนานเกือบ 10 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดพร้อมโล่และกระบองจึงเข้ามาควบคุมสถานการณ์โดยสกัดกลุ่มต่อต้านไว้บริเวณหน้าอาคารเทเวศร์ประกันภัย และปล่อยขบวนของกลุ่มพันธมิตรเคลื่อนต่อไป
22.30 น.ยังไม่ทันที่ท้ายขบวนของกลุ่มพันธมิตรฯจะเคลื่อนออกไปได้ไกล กำลังตำรวจคอมมานโดที่สกัดกลุ่มต่อต้านอยู่ ก็ถอนกำลังออกมุ่งหน้าไปสกัดกั้นขบวนของพันธมิตรฯที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้เคลื่อนไปถึงทำเนียบรัฐบาล โดยปล่อยให้กลุ่มต่อต้านไล่ตามมาทัน และปะทะกันกับการ์ดของพันมิตรฯ อย่างรุนแรงบริเวณสี่แยก ภปร.โดยระหว่างการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการขว้างระเบิดควัน เข้าใส่ซึ่งยิ่งทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น ตำรวจปล่อยให้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอยู่นานกว่า 10 นาที จึงเข้าควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้บาดเจ็บต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลไปหลายรายด้วยกัน
จากการปล่อยปละละเลยดังกล่าว ดูเหมือนตำรวจจะจงใจให้ทั้ง 2 ฝ่าย ฟาดฟันกันให้แดดิ้นไปทั้งคู่ เพื่อต้องการให้บรรลุจุดประสงค์หลัก ตามที่ได้รับคำสั่งมา นั่นคือ “การสลายม็อบ” ตามที่ได้มีการตระเตรียมแก๊สน้ำตา กระสุนยาง ระเบิดควันไว้แล้วอย่างพรั่งพร้อม ซึ่งการมาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของตำรวจในครั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับเมื่อปี 2549 ปีที่มีพล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ เป็น ผบก.น.1 พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี เป็น ผบช.น.นั้น ตำรวจสั่งให้มีการ “ปลดอาวุธ” ของกองกำลังทั้งหมด ในการเข้าไปดูรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ครั้งนี้ภายใต้การนำของพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 และผู้ที่มีอำนาจสั่งการอย่างพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รอง ผบ.ตร.ทำไมถึงผิดกันราวหน้ามือกับหลังเท้า!
ใช่แต่ครั้งนี้เท่านั้นที่ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า พล.ต.ต.อำนวย มิได้ใส่ใจในการปกป้องคุ้มครองดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเมื่อครั้งที่มีการสัมมนาของกลุ่มพันธมิตรฯที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มผู้คัดค้านไปป่วนอยู่ฝั่งตรงข้ามประตูมหาวิทยาลัย แต่ตำรวจก็มิได้ดำเนินการใดๆ ปล่อยให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาถูกรังแก หลักฐานก็ปรากฏทนโธ่อยู่ในอดีต
หากมองย้อนไปในอดีต พล.ต.ต.อำนวย นั้น เคยดำรงตำแหน่งรอง ผบก.น.7 พื้นที่ฝั่งธนบุรีย่านบางพลัด ที่ว่ากันว่า ต้องเคยไปเข้าเวร “บ้านจัญไรส่องหล้า” มาก่อน จึงได้ดิบได้ดี เติบโตและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้การ” ในนครบาลได้ โดย พล.ต.ต.อำนวย นั้น เป็น นรต.31 รุ่นเดียวกับนายตำรวจดังๆ หลายนาย อาทิ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ พล.ต.ต.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบก.ป.พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ รอง ผบก.ป.พล.ต.ต.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบช.ประจำ สำนักงาน ผบ.ตร.ว่าที่ ผบช.ก. พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.จ.นครราชสีมา พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.รฟ.ฯลฯ
พล.ต.ต.อำนวย ถือเป็นมือกฎหมาย มืออันดับต้นๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยความที่เป็นคนแข้งกร้าว และไม่ประนีประนอม ทำให้ลูกน้องหลายนายไม่ค่อยชอบ เคยมีลูกน้องคนสนิทรายหนึ่งเล่าว่า เมื่อตอนที่ พล.ต.ต.อำนวย ถูกย้ายจาก ผบก.น.2 ซึ่งถือเป็นพื้นที่ทำเลทอง เพราะเป็นที่ตั้งของบ่อนเตาปูนอันลือชื่อ ไปเป็น ผบก.น.3 ที่แทบจะถือเป็นพื้นที่นอกสายตาของนายตำรวจระดับ ผู้บังคับการ ลูกน้องทั้งใน บก.น.2 เองและโรงพักบางแห่ง ถึงกับมีการจุดประทัดไล่กันทีเดียว
เหยี่ยวข่าวสายตระเวนเขาเมาท์กันว่า เมื่อครั้ง “ตานวย” (ไม่ใช่ไม่สุภาพ แต่เขาเรียก พล.ต.ต.อำนวย กันอย่างนี้) เป็นผู้การ บก.น.2 มักจะเห็นแกขับรถเอง ขับรถคนเดียวเสมอ ไม่ทราบเหตุผลเช่นกันว่าทำไม หรือว่าลูกน้องคงไม่มีใครเอา และแต่ละครั้งเมื่อแถลงข่าวที มักชอบปล่อยมุกแป๊กใส่นักข่าวเสมอ โดยเฉพาะนักข่าวสาวๆ บางทีก็ต้องแกล้งขำกันตามมรรยาท ต่อมาเมื่อย้ายไปเป็นผบก.น.3 ดูพื้นที่ชานเมืองด้านทิศเหนือ อาชญากรรมก็ไม่ได้ลดสถิติลง มีอย่างเดียวที่เป็นงานถนัดของ"ตานวย" ก็คือ จับใบกระท่อม จนได้ฉายา “มือปราบกระท่อม” มาครอง ช่างน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก
สุดท้าย อยากฝากถึง พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธื์ศรี ไว้ว่า จะอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะมีใจเอนเอียงอยู่ฝ่ายไหน แต่กับหน้าที่ ภายใต้เครื่องแบบสีกากีที่คุณสวมใส่อยู่ คุณต้องคอยปกป้องดูแลประชาชน มิใช่วางเฉย ปล่อยให้เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น
ทั้งนี้ เราเชื่อมั่นมาเสมอว่า หากตำรวจจะดำเนินการไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันนั้น ย่อมทำได้ และทำได้ดีด้วย แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา พวกคุณทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้คนไทยเข้าห่ำหั่นกันเองจนเลือดตกยางออก คุณจึงไม่ควรสวมเครื่องแบบของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และสวมหมวกที่มีตราแผ่นดินอยู่บนศีรษะอีกต่อไป
แต่เอาเถอะ พวกเราทำใจกันแล้ว เพราะนิสัยตำรวจก็งี้แหละ "ดีชั่วรู้หมด แต่ (แม่ง) อดไม่ได้ (โว้ย)”