“สนธิ”ลั่น ชุมนุม 25 พ.ค.เป็นสงครามครั้งสุดท้าย อาจเป็นจุดจบของระบอบทักษิณ หรือจุดเริ่มต้นของสาธารณรัฐ ย้ำเหตุชุมนุม ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องแก้ รธน.ฟอกมารให้พ้นผิด แต่มีวิกฤติบ้านเมืองรุมเร้าหลายด้าน ทั้งอธิปไตยเหนือเขาพระวิหาร รัฐบาลส่อคอร์รัปชั่น ขึ้นราคาน้ำตาล ยกแลนด์บริดจ์ให้ “ดูไบ” ให้แขกซาอุฯมาเป็นเจ้าของนาให้คนไทยรับจ้าง ขณะข้าราชการที่ซื่อสัตย์ถูกย่ำยี กระบวนการยุติธรรมถูกซื้อ โดยมี “ทักษิณ ชินวัตร”อยู่อเบื่องหลัง ปลุกคนไทยถ้ายังรักชาติบ้านเมือง ต้องการขับไล่ความชั่วร้าย ความสามานย์ของคนชั่วขายแผ่นดิน ให้มารวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ ปชต. 25 พ.ค.
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวี และ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศระหว่าง ดำเนินรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 23 พ.ค.ว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ จะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของตนและทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นครั้งสุดท้ายของระบอบทักษิณ หรือจะเข้าสู่จุดเริ่มต้นของยุคระบอบสาธารณรัฐ แต่ถึงแม้จะเป็นอะไรก็ตาม ตนก็พร้อมที่จะสู้ และวันนี้ตนจะดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย จึงอยากให้ประชาชน ส.ส.พรรคพลังประชาชน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย นายเผด็จ ภูรีปติภาน หรือพญาไม้ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส รวมถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องดูและตั้งใจฟังรายการยามเฝ้าแผ่นดินในวันนี้ให้ดี
หลังจากนั้นนายสนธิได้ย้อนประวัติความเป้ฯมาก่อนที่จะมาถึงการต่อสู้ในวันนี้ว่า ตนเกิดในครอบครัวคนจีนที่ จ.สุโขทัย มีนิสัยรักความมาตั้งแต่เด็ก และผ่านการต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่ตอนไปเรียนที่เมืองนอก เพราะตระกูลไมได้ร่ำรวย ในชีวิตได้ต่อสู้มาตั้งแต่เริ่มทำงานในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยจนถูกไล่ออกในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนต้องออกมาทำหนังสือพิมพ์เอง คือ “ผู้จัดการ” มาจนในช่วงที่มีการยึดอำนาจรัฐบาลพล.อ.ชาติชาญ ชุณหะวัณ ตนได้สู้กับทหารอย่างไม่เกรงกลัว และยังได้ช่วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่หนีหัวซุกหัวซุนไปต่างประเทศ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยได้รับสัมปทานเคเบิลทีวีไอบีซีจาก ร.ต.อ.เฉลิมขณะเป็น รมต.สำนักนายกฯ นั้น ไม่ยอมช่วยแม้แต่น้อย เพราะกำลังอยู่ระหว่างติดต่อขอสัมปทานดาวเทียมจากประธาน รสช.ในขณะนั้น
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 แม้ว่าตอนนั้นเพิ่งจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เสี่ยงต่อการที่ธุรกิจมูลค่า 1 พันล้านได้รับความเสียหาย แต่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นฉบับเดียวที่กล้าเสนอข่าวการชุมนุมของประชาชนที่ถนนราชดำเนิน จนตนต้องถูกนายทหารรุ่น 5 ส่งคนมายิง และต้องหนีไปต่างประเทศ
นายสนธิได้กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ตนได้รู้จักตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในนามบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ เพราะเคยเอาเช็กมาแลกกับญาติของตน และตอนที่ตนเทกโอเวอร์บริษัทไออีซี ก็เคยให้หุ้นราคา 10 บาทแก่ พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมาก โดยที่ราคาในตลาดขณะนั้นสูงถึง 250 บาท แต่ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรองนายกฯ นสพ.ผู้จัดการเขียนการ์ตูนล้อหลายครั้ง ทำให้ไม่พอ และไม่ได้ติดต่อกับตนอีกเลย จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณจกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง(หลังก่อตั้งพรรคไทยรักไทย) ก่อนวันลงคะแนน 7 วัน พ.ต.ท.ทักษิณได้มาหาตน และบอกว่า “ที่เราทะเลาะกัน เพราะไอ้เหลิม ไอ้เหลิมเป็นตัวยุแยงตะแคงรั่วให้เราทะเลาะกัน”และอ้างว่าเขารวยแล้ว อยากจะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ตนจึงตกลงจะช่วย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่ตนต้องอกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เริ่มมาจากการจัดรายการเมืองไทยราสัปดาห์ทางช่อง 9 ซึ่งเดิมนั้นต้องการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยการอธิบายถึงความผิดพลาดต่างของรัฐบาลว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นความผิดพลาดของลูกน้อง แต่เมื่อตนทำหน้าที่ปกป้องให้ทุกสัปดาห์จนจะเป็นบ้า จนกระทั่งตัดสินใจเลิกสนับสนุน ในวันที่เห็นรูป พ.ต.ท.ทักษิณนั่งทำบุญในวัดพระแก้ว หลังจากนั้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ก็ตั้งคำถามกับ พ.ต.ท.ทักษิณหลายๆ คำถาม แม้รู้ว่ารายการจะต้องถูกปิด ทั้งเรื่องพระสังฆราชที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยรับปากหลวงตามหาบัวไว้แล้วไม่ทำตาม เรื่องการปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา จากผู้ว่า สตง.ที่ละเมิดพระราชอำนาจ เรื่องโผโยกย้ายนายทหาร ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่านายกฯ เซ็นไปแล้วใครจะไปแก้ไม่ได้ นั่นเป็นเหตุให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกปลด ซึ่งตนเห็นว่าต้องมีคนกล้าที่จะเอาข้อมูลไปให้ประชาชน จึงจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรขึ้นมา
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่ตนต้องจัดชุมนุมใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า(เมื่อวันที่ 4 ก.พ.49) ก็เพราะคนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเอาม็อบป่าไม้ไปก่อกวนการจัดรายการที่สวนลุมพินี มีการเอาประทัดยักษ์ไปจุด จนมีคนบาดเจ็บ บีบบังคับให้ตนต้องกลายเป็นผู้นำมวลชนและตัดสินใจนำมวลชนด้วยตัวเองครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจึงเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่ตนก็ยังอยู่จุดเดิม หลังจากได้กราบขอโทษประชาชนที่สนามหลวง และให้สัตย์ปฏิญาณว่าขอมอบชีวิตที่เหลือให้กับชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นั่นคือเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด
โดนรังแกทุกทางหลังสู้ระบอบทักษิณ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ตนเริ่มต่อสู้เมื่อกลางปี 2548 ถึงวันนี้ โดนรังแกมาทุกด้าน ทั้งด้านธุรกิจ บริษัทใดมาลงโฆษณากับเอเอสทีวีก็ถูกสอบภาษี จนไม่กล้าลงแม้คนดูจะมาก ตนต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อให้เอเอสทีวีอยู่ได้ เพราะเห็นว่า ถ้าไม่มีเอเอสทีวีประเทศไทยจะถูกแบ่งขายเป็นส่วนๆ โดยไม่ใครยืนขึ้นมาคัดค้าน นอกจากนั้นยังถูกแกล้งด้วยการยิงสัญญาณรบกวน ถูกสั่งปิด ยังดีที่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง นายตำรวจที่เคยเป็นลูกน้องก็ถูกรังแก ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล ที่ถูกย้ายเข้าประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ถูกย้ายไปกาฬสินธุ์ พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาสน์ ถูกย้ายเข้าประจำ สตช.
นายสนธิ เปิดเผยอีกว่า พล.ต.ต.ชัยยะนั้นเมื่อครั้งที่ทำคดีทุจริตเลือกตั้ง ของยงยุทธ ติยะไพรัช มีคนจะขอดูสำนวนแล้วให้เงิน 50 ล้านบาท แต่ พล.ต.ต.ชัยยะไม่ยอม ตำรวจหรือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบนี้จะมีอยู่สักกี่คน แต่กลับถูกโยกย้ายเพราะไปทำคดีนายยงยุทธ คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่นายยงยุทธก็ยังได้เป็นประธานสภา ขณะที่ พล.ต.ต.ชัยยะถูกย้าย
นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ยังไม่พูดถึงการย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม การย้ายรองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ที่เป็นประธาน กกต.และให้ให้ใบแดง ส.ส.พรรคพลังประชาชน นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ และเป็นประเทศไทยที่เราจะอยู่หรือ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ศาลอาญาเพิ่งมีคำพิพากษาลงโทษ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ที่ให้ลูกน้องไปทำร้ายประชาชน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามมาตรา 157 ให้จำคุก 2 ปี รอลงอาญา ขณะที่ตนสู้เพื่อชาติ โดนฟ้องหมิ่นประมาท ศาลสั่งจำคุกไม่รอลงอาญา 3 คดี รวม 6 ปี เมื่อเป็นแบบนี้ตนควรจะท้อหรือไม่
“ ผมเจ็บ ผมแบกทุกอย่าง แบกเอเอสทีวีทั้งหมด ผมเดือดร้อน เงินเดือนออกช้า ค่าใช้จ่ายติดหลายเรื่อง ทำไมผมต้องสู้ ก็เพราะพ่อผมสอนว่า ชาติต้องมาก่อน ผมสู้เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผมสู้เทมือนคนบ้า เหมือนเอาหัวชนกำแพง ชนจนหัวจะแตก ก็ไม่หยุด”
นายสนธิกล่าวต่อว่า เป็นไปได้อย่างไร ที่คนมีเงินแสนล้านคิดได้แค่นี้ คนเป็นหนี้เป็นสิน ต้องยืมเงินทองมา เพื่อเอาความจริงให้กับประชาชนต้องแบกเอาไว้ทุกอย่าง ไม่รู้จะแบกไหวอีกนานแค่ไหน วันนี้ความชั่วช้าสามานย์ในรัฐบาลนี้มีเต็มไปหมด ไม่มีเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐบาลที่ไร้ความผิดชอบโดยสิ้นเชิง โดยคนที่อยู่เบื่องหลังคือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่กระบวนการยุติธรรมก็พังไปหมดแล้ว ประธานสภาคือนายชัย ชิดชอบ นายกฯ คือนายสมัคร สุนทรเวช
นายจักรภพ เพ็ญแข คนที่จาบจ้วง วันนี้ทุกคนพยายามปลดนายจักรภพเพื่อไม่ให้ภัยถึงตัว แต่นายจักรภพทำแบบนี้มาไม่รู้กี่เดือนแล้ว ทำไมไม่มีใครทำอะไร เพิ่งมาตื่นเมื่อเอเอสทีวีเอาเรื่องนี้มาพูด แล้วก็ยังมีคนๆ หนึ่ง ซึ่งทำตัวเหมือนตำบลบ้านพลูหลวง สมัยอยุธยา ที่ออกมาบอกว่าอย่ายิงปืนใหญ่ เดี๋ยวกระเทือนถึงพระเจ้าอยู่หัวจะบรรทมไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่รัฐบาลนี้จู่ๆ ก็อนุมัติให้ดูไบเวิลด์มาศึกษาแลนด์บริดจ์ แล้วให้สิทธิขาดในการหาบริษัทมาจัดการ จู่ๆ จะให้แขกซาอุฯ มาทำนาให้คนไทยรับจ้างคนละ 5 พัน เรามีคนจ้องทำลายสถาบันมานานแล้วโดยที่รัฐบาลไม่ทำอะไร เรามีนายกฯ ที่สามหาว พูดจาถ่อย ดูถูกประชาชนตอดลเวลา มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงจากการขึ้นราคาน้ำตาล 5 บา เรามีชาวนาถูกรังแกโดยพ่อค้ากลาง โรงสี ผู้ส่งออก พอข้าวจะขึ้นราคาก็เอาข้าวธงฟ้ามาขาย จะยกแผ่นดินเขาพระวิหารให้เขมร จนวันนี้ ยังไม่ได้ยื่นคัดค้านเรื่องมรดกโลกกับกัมพูชา
“ทั้งหมดนี้คือที่มาของการที่เราต้องสู้ครั้งสุดท้าย วันที่ 25 พ.ค.นี้ ผมเหนื่อย ไม่เหนื่อยอย่างเดียว ท้อใจด้วย เพราะสังคมไทยถูกซื้อไปได้ทุกอนุของมัน ทหารบางส่วนถูกซื้อ กระบวนการยุติธรรมเกือบทั้งหมด ข้าราชการถูกซื้อ”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันที่ 25 นี้ มีคนชอบถามว่าจะมีคนมากี่คน ตนพูดหลายครั้งแล้วจะมากี่คนไม่สำคัญ จะมาแค่ 100 คน แสนคน สำหรับตนแล้ว ก็จะยังอยู่นี่นั่น เพราะศรัทธาและเชื่อมั่นในแนวทางที่ต่อสู้ ถ้าจะเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิต ก็จะต้องสู้ โดยเอาธรรมนำหน้า และจะถอยไม่ได้อีกแล้ว เพราะประเทศไทยจะไม่มีอะไรเหลือให้พวกเราอีกแล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้พี่น้องได้เห็น หรือคนที่เกลียดตนได้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้เป็นเพราะใคร วันที่ 25 นี้ เราไม่อยากชุมนุม แต่ที่เราชุมนุมก็เพราะ จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ผิดเป็นถูก เรื่องที่ไม่ยอมทำอะไรกรณีเขาพระวิหารจนจะทำให้เสียดินแดน เรื่องจู่ๆ จะยกแลนด์บริดจ์ให้ดูไบ เรื่องให้แขกมาทำนา และอีกหลายๆ เรื่อง
นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า วันที่ 25 นี้ ตนจะไม่ขออะไรมาก แต่ถ้าเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายของตนแล้ว ก็อยากให้พี่น้องที่รักชาติ รักบ้านเมือง รักแผ่นดิน อยากให้บ้านเมืองยืนบนหลักการที่ถูกต้อง ให้มาร่วมกับเรา มายืนข้างพันธมิตร ถ้าเราต้องการให้ชาติบ้านเมือง มีจริยธรรมศีลธรรมในท่ามกลางข้าราชการ นักการเมือง เราต้องการขับไล่ความชั่วร้าย ความสามานย์ของคนชั่วที่ขายแผ่นดิน ต้องการมายืนกับเรา ที่สำคัญ เรามายืนเพื่อแสดงพลังร่วมกัน ให้เห็นว่ายังมีคนอีกนับล้านๆ คนที่ยังต้องกาความถูกต้องในสังคมไทย
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวี และ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศระหว่าง ดำเนินรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 23 พ.ค.ว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ จะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของตนและทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นครั้งสุดท้ายของระบอบทักษิณ หรือจะเข้าสู่จุดเริ่มต้นของยุคระบอบสาธารณรัฐ แต่ถึงแม้จะเป็นอะไรก็ตาม ตนก็พร้อมที่จะสู้ และวันนี้ตนจะดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย จึงอยากให้ประชาชน ส.ส.พรรคพลังประชาชน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย นายเผด็จ ภูรีปติภาน หรือพญาไม้ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส รวมถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องดูและตั้งใจฟังรายการยามเฝ้าแผ่นดินในวันนี้ให้ดี
หลังจากนั้นนายสนธิได้ย้อนประวัติความเป้ฯมาก่อนที่จะมาถึงการต่อสู้ในวันนี้ว่า ตนเกิดในครอบครัวคนจีนที่ จ.สุโขทัย มีนิสัยรักความมาตั้งแต่เด็ก และผ่านการต่อสู้ชีวิตมาตั้งแต่ตอนไปเรียนที่เมืองนอก เพราะตระกูลไมได้ร่ำรวย ในชีวิตได้ต่อสู้มาตั้งแต่เริ่มทำงานในหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยจนถูกไล่ออกในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนต้องออกมาทำหนังสือพิมพ์เอง คือ “ผู้จัดการ” มาจนในช่วงที่มีการยึดอำนาจรัฐบาลพล.อ.ชาติชาญ ชุณหะวัณ ตนได้สู้กับทหารอย่างไม่เกรงกลัว และยังได้ช่วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่หนีหัวซุกหัวซุนไปต่างประเทศ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยได้รับสัมปทานเคเบิลทีวีไอบีซีจาก ร.ต.อ.เฉลิมขณะเป็น รมต.สำนักนายกฯ นั้น ไม่ยอมช่วยแม้แต่น้อย เพราะกำลังอยู่ระหว่างติดต่อขอสัมปทานดาวเทียมจากประธาน รสช.ในขณะนั้น
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 แม้ว่าตอนนั้นเพิ่งจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เสี่ยงต่อการที่ธุรกิจมูลค่า 1 พันล้านได้รับความเสียหาย แต่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นฉบับเดียวที่กล้าเสนอข่าวการชุมนุมของประชาชนที่ถนนราชดำเนิน จนตนต้องถูกนายทหารรุ่น 5 ส่งคนมายิง และต้องหนีไปต่างประเทศ
นายสนธิได้กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ตนได้รู้จักตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในนามบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ เพราะเคยเอาเช็กมาแลกกับญาติของตน และตอนที่ตนเทกโอเวอร์บริษัทไออีซี ก็เคยให้หุ้นราคา 10 บาทแก่ พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมาก โดยที่ราคาในตลาดขณะนั้นสูงถึง 250 บาท แต่ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรองนายกฯ นสพ.ผู้จัดการเขียนการ์ตูนล้อหลายครั้ง ทำให้ไม่พอ และไม่ได้ติดต่อกับตนอีกเลย จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณจกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง(หลังก่อตั้งพรรคไทยรักไทย) ก่อนวันลงคะแนน 7 วัน พ.ต.ท.ทักษิณได้มาหาตน และบอกว่า “ที่เราทะเลาะกัน เพราะไอ้เหลิม ไอ้เหลิมเป็นตัวยุแยงตะแคงรั่วให้เราทะเลาะกัน”และอ้างว่าเขารวยแล้ว อยากจะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ตนจึงตกลงจะช่วย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่ตนต้องอกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เริ่มมาจากการจัดรายการเมืองไทยราสัปดาห์ทางช่อง 9 ซึ่งเดิมนั้นต้องการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยการอธิบายถึงความผิดพลาดต่างของรัฐบาลว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นความผิดพลาดของลูกน้อง แต่เมื่อตนทำหน้าที่ปกป้องให้ทุกสัปดาห์จนจะเป็นบ้า จนกระทั่งตัดสินใจเลิกสนับสนุน ในวันที่เห็นรูป พ.ต.ท.ทักษิณนั่งทำบุญในวัดพระแก้ว หลังจากนั้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ก็ตั้งคำถามกับ พ.ต.ท.ทักษิณหลายๆ คำถาม แม้รู้ว่ารายการจะต้องถูกปิด ทั้งเรื่องพระสังฆราชที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยรับปากหลวงตามหาบัวไว้แล้วไม่ทำตาม เรื่องการปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา จากผู้ว่า สตง.ที่ละเมิดพระราชอำนาจ เรื่องโผโยกย้ายนายทหาร ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่านายกฯ เซ็นไปแล้วใครจะไปแก้ไม่ได้ นั่นเป็นเหตุให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกปลด ซึ่งตนเห็นว่าต้องมีคนกล้าที่จะเอาข้อมูลไปให้ประชาชน จึงจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรขึ้นมา
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่ตนต้องจัดชุมนุมใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า(เมื่อวันที่ 4 ก.พ.49) ก็เพราะคนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเอาม็อบป่าไม้ไปก่อกวนการจัดรายการที่สวนลุมพินี มีการเอาประทัดยักษ์ไปจุด จนมีคนบาดเจ็บ บีบบังคับให้ตนต้องกลายเป็นผู้นำมวลชนและตัดสินใจนำมวลชนด้วยตัวเองครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจึงเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่ตนก็ยังอยู่จุดเดิม หลังจากได้กราบขอโทษประชาชนที่สนามหลวง และให้สัตย์ปฏิญาณว่าขอมอบชีวิตที่เหลือให้กับชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นั่นคือเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด
โดนรังแกทุกทางหลังสู้ระบอบทักษิณ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ตนเริ่มต่อสู้เมื่อกลางปี 2548 ถึงวันนี้ โดนรังแกมาทุกด้าน ทั้งด้านธุรกิจ บริษัทใดมาลงโฆษณากับเอเอสทีวีก็ถูกสอบภาษี จนไม่กล้าลงแม้คนดูจะมาก ตนต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อให้เอเอสทีวีอยู่ได้ เพราะเห็นว่า ถ้าไม่มีเอเอสทีวีประเทศไทยจะถูกแบ่งขายเป็นส่วนๆ โดยไม่ใครยืนขึ้นมาคัดค้าน นอกจากนั้นยังถูกแกล้งด้วยการยิงสัญญาณรบกวน ถูกสั่งปิด ยังดีที่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง นายตำรวจที่เคยเป็นลูกน้องก็ถูกรังแก ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล ที่ถูกย้ายเข้าประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ถูกย้ายไปกาฬสินธุ์ พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาสน์ ถูกย้ายเข้าประจำ สตช.
นายสนธิ เปิดเผยอีกว่า พล.ต.ต.ชัยยะนั้นเมื่อครั้งที่ทำคดีทุจริตเลือกตั้ง ของยงยุทธ ติยะไพรัช มีคนจะขอดูสำนวนแล้วให้เงิน 50 ล้านบาท แต่ พล.ต.ต.ชัยยะไม่ยอม ตำรวจหรือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบนี้จะมีอยู่สักกี่คน แต่กลับถูกโยกย้ายเพราะไปทำคดีนายยงยุทธ คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่นายยงยุทธก็ยังได้เป็นประธานสภา ขณะที่ พล.ต.ต.ชัยยะถูกย้าย
นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ยังไม่พูดถึงการย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม การย้ายรองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ที่เป็นประธาน กกต.และให้ให้ใบแดง ส.ส.พรรคพลังประชาชน นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ และเป็นประเทศไทยที่เราจะอยู่หรือ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ศาลอาญาเพิ่งมีคำพิพากษาลงโทษ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ที่ให้ลูกน้องไปทำร้ายประชาชน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามมาตรา 157 ให้จำคุก 2 ปี รอลงอาญา ขณะที่ตนสู้เพื่อชาติ โดนฟ้องหมิ่นประมาท ศาลสั่งจำคุกไม่รอลงอาญา 3 คดี รวม 6 ปี เมื่อเป็นแบบนี้ตนควรจะท้อหรือไม่
“ ผมเจ็บ ผมแบกทุกอย่าง แบกเอเอสทีวีทั้งหมด ผมเดือดร้อน เงินเดือนออกช้า ค่าใช้จ่ายติดหลายเรื่อง ทำไมผมต้องสู้ ก็เพราะพ่อผมสอนว่า ชาติต้องมาก่อน ผมสู้เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผมสู้เทมือนคนบ้า เหมือนเอาหัวชนกำแพง ชนจนหัวจะแตก ก็ไม่หยุด”
นายสนธิกล่าวต่อว่า เป็นไปได้อย่างไร ที่คนมีเงินแสนล้านคิดได้แค่นี้ คนเป็นหนี้เป็นสิน ต้องยืมเงินทองมา เพื่อเอาความจริงให้กับประชาชนต้องแบกเอาไว้ทุกอย่าง ไม่รู้จะแบกไหวอีกนานแค่ไหน วันนี้ความชั่วช้าสามานย์ในรัฐบาลนี้มีเต็มไปหมด ไม่มีเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐบาลที่ไร้ความผิดชอบโดยสิ้นเชิง โดยคนที่อยู่เบื่องหลังคือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่กระบวนการยุติธรรมก็พังไปหมดแล้ว ประธานสภาคือนายชัย ชิดชอบ นายกฯ คือนายสมัคร สุนทรเวช
นายจักรภพ เพ็ญแข คนที่จาบจ้วง วันนี้ทุกคนพยายามปลดนายจักรภพเพื่อไม่ให้ภัยถึงตัว แต่นายจักรภพทำแบบนี้มาไม่รู้กี่เดือนแล้ว ทำไมไม่มีใครทำอะไร เพิ่งมาตื่นเมื่อเอเอสทีวีเอาเรื่องนี้มาพูด แล้วก็ยังมีคนๆ หนึ่ง ซึ่งทำตัวเหมือนตำบลบ้านพลูหลวง สมัยอยุธยา ที่ออกมาบอกว่าอย่ายิงปืนใหญ่ เดี๋ยวกระเทือนถึงพระเจ้าอยู่หัวจะบรรทมไม่ได้
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่รัฐบาลนี้จู่ๆ ก็อนุมัติให้ดูไบเวิลด์มาศึกษาแลนด์บริดจ์ แล้วให้สิทธิขาดในการหาบริษัทมาจัดการ จู่ๆ จะให้แขกซาอุฯ มาทำนาให้คนไทยรับจ้างคนละ 5 พัน เรามีคนจ้องทำลายสถาบันมานานแล้วโดยที่รัฐบาลไม่ทำอะไร เรามีนายกฯ ที่สามหาว พูดจาถ่อย ดูถูกประชาชนตอดลเวลา มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงจากการขึ้นราคาน้ำตาล 5 บา เรามีชาวนาถูกรังแกโดยพ่อค้ากลาง โรงสี ผู้ส่งออก พอข้าวจะขึ้นราคาก็เอาข้าวธงฟ้ามาขาย จะยกแผ่นดินเขาพระวิหารให้เขมร จนวันนี้ ยังไม่ได้ยื่นคัดค้านเรื่องมรดกโลกกับกัมพูชา
“ทั้งหมดนี้คือที่มาของการที่เราต้องสู้ครั้งสุดท้าย วันที่ 25 พ.ค.นี้ ผมเหนื่อย ไม่เหนื่อยอย่างเดียว ท้อใจด้วย เพราะสังคมไทยถูกซื้อไปได้ทุกอนุของมัน ทหารบางส่วนถูกซื้อ กระบวนการยุติธรรมเกือบทั้งหมด ข้าราชการถูกซื้อ”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันที่ 25 นี้ มีคนชอบถามว่าจะมีคนมากี่คน ตนพูดหลายครั้งแล้วจะมากี่คนไม่สำคัญ จะมาแค่ 100 คน แสนคน สำหรับตนแล้ว ก็จะยังอยู่นี่นั่น เพราะศรัทธาและเชื่อมั่นในแนวทางที่ต่อสู้ ถ้าจะเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิต ก็จะต้องสู้ โดยเอาธรรมนำหน้า และจะถอยไม่ได้อีกแล้ว เพราะประเทศไทยจะไม่มีอะไรเหลือให้พวกเราอีกแล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้พี่น้องได้เห็น หรือคนที่เกลียดตนได้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้เป็นเพราะใคร วันที่ 25 นี้ เราไม่อยากชุมนุม แต่ที่เราชุมนุมก็เพราะ จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ผิดเป็นถูก เรื่องที่ไม่ยอมทำอะไรกรณีเขาพระวิหารจนจะทำให้เสียดินแดน เรื่องจู่ๆ จะยกแลนด์บริดจ์ให้ดูไบ เรื่องให้แขกมาทำนา และอีกหลายๆ เรื่อง
นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า วันที่ 25 นี้ ตนจะไม่ขออะไรมาก แต่ถ้าเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายของตนแล้ว ก็อยากให้พี่น้องที่รักชาติ รักบ้านเมือง รักแผ่นดิน อยากให้บ้านเมืองยืนบนหลักการที่ถูกต้อง ให้มาร่วมกับเรา มายืนข้างพันธมิตร ถ้าเราต้องการให้ชาติบ้านเมือง มีจริยธรรมศีลธรรมในท่ามกลางข้าราชการ นักการเมือง เราต้องการขับไล่ความชั่วร้าย ความสามานย์ของคนชั่วที่ขายแผ่นดิน ต้องการมายืนกับเรา ที่สำคัญ เรามายืนเพื่อแสดงพลังร่วมกัน ให้เห็นว่ายังมีคนอีกนับล้านๆ คนที่ยังต้องกาความถูกต้องในสังคมไทย