xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” ลั่น “25 พ.ค.” สงครามครั้งสุดท้าย!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ” ลั่นชุมนุม 25 พ.ค.เป็นสงครามครั้งสุดท้าย อาจเป็นจุดจบของระบอบทักษิณ หรือจุดเริ่มต้นของสาธารณรัฐ พร้อมย้อนเหตุต้องออกมาสู้แม้เป็นลูกคนจีน เพราะพ่อปลูกฝังให้รักบ้านเมืองมาตั้งแต่เด็ก ย้ำเหตุชุมนุมไม่ได้มีเฉพาะเรื่องแก้ รธน.ฟอกมาร แต่มีวิกฤตบ้านเมืองรุมเร้าหลายด้าน จากการชักใยของ “ทักษิณ”  ปลุกคนไทยที่ยังรักชาติบ้านเมืองร่วมแสดงพลังวันอาทิตย์นี้

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย สนธิ ลิ้มทองกุล


นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวี และ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศระหว่างดำเนินรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 23 พ.ค.ว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ จะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของตนและทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง อาจเป็นครั้งสุดท้ายของระบอบทักษิณ หรือจะเข้าสู่จุดเริ่มต้นของยุคระบอบสาธารณรัฐ แต่ถึงแม้จะเป็นอะไรก็ตาม ตนก็พร้อมที่จะสู้ และวันนี้ตนจะดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินเป็นครั้งสุดท้าย จึงอยากให้ประชาชน ส.ส.พรรคพลังประชาชน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย นายเผด็จ ภูรีปฏิภาน หรือพญาไม้ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส รวมถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องดูและตั้งใจฟังรายการยามเฝ้าแผ่นดินในวันนี้ให้ดี

หลังจากนั้น นายสนธิได้ย้อนประวัติความเป็นมาก่อนที่จะมาถึงการต่อสู้ในวันนี้ว่า ตนเกิดในครอบครัวคนจีนที่ จ.สุโขทัย บิดาเกิดที่ประเทศไทย เจริญเติบโตและทำมาหากินก็ที่ประเทศไทย บิดาของตนสอนมาตลอดว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้ชีวิตความร่มเย็นเป็นสุขแก่ตนและครอบครัว ขอให้มีความรักและซื่อสัตย์ต่อบ้านเมืองไทย ที่เล่ามาทั้งหมดไม่หวังจะนำมาประดับเป็นเกียรติยศ แต่อยากที่ให้คนที่ไม่ชอบได้เข้าใจและรู้ว่าตระกูลตนไม่ได้คดโกงใคร ไม่เคยแม้กระทั่งไปสุงสิงกับการกระทำความชั่ว ทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

หลังจากที่ตนจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา แล้วเข้าเรียนในโรงเรียนทหารไม่ได้เพราะนามสกุลมีแซ่ลิ้มนำหน้า แม้ตนเองจะได้คะแนนดีติดอันดับ 1 ใน 50 ของประเทศ และเป็นนักรักบี้ทีมชาติ ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ด้วยความอดทน สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นก็หายไป และได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอก ด้วยความที่ตระกูลไม่ได้ร่ำรวยอะไรจึงต้องทำงานหาเงินส่งวตัวเองเรียนตลอดจนจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 2 สาขาประวัติศาสตร์ และได้ทุนเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์

เมื่อมาทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ก็อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา และทำงานด้วยอุดมการณ์เคยสั่งปิดคอลัมน์ของเจ้าของหนังสือพิมพ์เพราะเขียนเรื่องให้คนเอาของขวัญวันเกิดไปให้ และจนกระทั่งหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ตนเสนอข่าวตรงไปตรงมาจนถูกให้ออก จนต้องออกมาทำหนังสือพิมพ์เอง คือ “ผู้จัดการ” มาจนในช่วงที่มีการยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ตนได้สู้กับทหารอย่างไม่เกรงกลัว และยังได้ช่วย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่หนีหัวซุกหัวซุนไปต่างประเทศ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยได้รับสัมปทานเคเบิลทีวีไอบีซีจาก ร.ต.อ.เฉลิมขณะเป็น รมต.สำนักนายกฯ นั้น ไม่ยอมช่วยแม้แต่น้อย เพราะกำลังอยู่ระหว่างติดต่อขอสัมปทานดาวเทียมจากประธาน รสช.ในขณะนั้น

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 แม้ว่าตอนนั้นเพิ่งจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ เสี่ยงต่อการที่ธุรกิจมูลค่า 1 พันล้านได้รับความเสียหาย แต่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นฉบับเดียวที่กล้าเสนอข่าวการชุมนุมของประชาชนที่ถนนราชดำเนิน จนตนต้องถูกนายทหารรุ่น 5 ส่งคนมายิง และต้องหนีไปต่างประเทศ

นายสนธิได้กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ตนได้รู้จักตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจในนามบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ เพราะเคยเอาเช็กมาแลกกับญาติของตน และตอนที่ตนเทกโอเวอร์บริษัท ไออีซี ก็เคยให้หุ้นราคา 10 บาทแก่ พ.ต.ท.ทักษิณจำนวนมาก โดยที่ราคาในตลาดขณะนั้นสูงถึง 250 บาท เพราะฉะนั้นคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกว่าขออะไรแล้วไม่ให้ตนเลยโกรธ เป็นความคิดที่ผิดหมด ชีวิตนี้ไม่เคยขออะไรจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และชีวิตนี้ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ คำพูดที่บอกว่า เราสนิทสนมกันแล้วมาทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์ ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าสนิทกันจริง ตนต้องเคยไปบ้าน พ.ต.ท.ทักษิณ

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรองนายกฯ นสพ.ผู้จัดการได้เขียนการ์ตูนล้อหลายครั้ง นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ได้ตัดไปให้ พ.ต.ท.ทักษิณดู ทำให้ไม่พอใจ และไม่ได้ติดต่อกับตนอีกเลย จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณจกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง (หลังก่อตั้งพรรคไทยรักไทย) ก่อนวันลงคะแนน 7 วัน พ.ต.ท.ทักษิณได้มาหาตน และบอกว่า “ที่เราทะเลาะกัน เพราะไอ้เหลิม ไอ้เหลิมเป็นตัวยุแยงตะแคงรั่วให้เราทะเลาะกัน”และอ้างว่ารวยแล้ว อยากจะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ตนจึงตกลงจะช่วย

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่ตนต้องอกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เริ่มมาจากการจัดรายการเมืองไทยราสัปดาห์ทางช่อง 9 ซึ่งเดิมนั้นต้องการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยการอธิบายถึงความผิดพลาดต่างของรัฐบาลว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นความผิดพลาดของลูกน้อง แต่เมื่อตนทำหน้าที่ปกป้องให้ทุกสัปดาห์จนจะเป็นบ้า จนกระทั่งตัดสินใจเลิกสนับสนุน ในวันที่เห็นรูป พ.ต.ท.ทักษิณนั่งทำบุญในวัดพระแก้ว หลังจากนั้นรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ก็ตั้งคำถามกับ พ.ต.ท.ทักษิณหลายๆ คำถาม แม้รู้ว่ารายการจะต้องถูกปิด ทั้งเรื่องพระสังฆราชที่พ.ต.ท.ทักษิณเคยรับปากหลวงตามหาบัวไว้แล้วไม่ทำตาม เรื่องการปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา จากผู้ว่า สตง.ที่ละเมิดพระราชอำนาจ เรื่องโผโยกย้ายนายทหาร ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร พี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่านายกฯ เซ็นไปแล้วใครจะไปแก้ไม่ได้ นั่นเป็นเหตุให้รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ถูกปลด ซึ่งตนเห็นว่าต้องมีคนกล้าที่จะเอาข้อมูลไปให้ประชาชน จึงจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรขึ้นมา

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่ตนต้องจัดชุมนุมใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (เมื่อวันที่ 4 ก.พ.49) ก็เพราะคนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณเอาม็อบป่าไม้ไปก่อกวนการจัดรายการที่สวนลุมพินี มีการเอาประทัดยักษ์ไปจุด จนมีคนบาดเจ็บ บีบบังคับให้ตนต้องกลายเป็นผู้นำมวลชนและตัดสินใจนำมวลชนด้วยตัวเองครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจึงเกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่ตนก็ยังอยู่จุดเดิม หลังจากได้กราบขอโทษประชาชนที่สนามหลวง และให้สัตย์ปฏิญาณว่าขอมอบชีวิตที่เหลือให้กับชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นั่นคือเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด

**โดนรังแกทุกทางหลังสู้ระบอบทักษิณ

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ตนเริ่มต่อสู้เมื่อกลางปี 2548 ถึงวันนี้ โดนรังแกมาทุกด้าน ทั้งด้านธุรกิจ บริษัทใดมาลงโฆษณากับเอเอสทีวีก็ถูกสอบภาษี จนไม่กล้าลงแม้คนดูจะมาก ตนต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อให้เอเอสทีวีอยู่ได้ เพราะเห็นว่า ถ้าไม่มีเอเอสทีวีประเทศไทยจะถูกแบ่งขายเป็นส่วนๆ โดยไม่ใครยืนขึ้นมาคัดค้าน นอกจากนั้นยังถูกแกล้งด้วยการยิงสัญญาณรบกวน ถูกสั่งปิด ยังดีที่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง นายตำรวจที่เคยเป็นลูกน้องก็ถูกรังแก ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล ที่ถูกย้ายเข้าประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ถูกย้ายไปกาฬสินธุ์ พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาสน์ ถูกย้ายเข้าประจำ สตช.

นายสนธิ เปิดเผยอีกว่า พล.ต.ต.ชัยยะนั้นเมื่อครั้งที่ทำคดีทุจริตเลือกตั้ง ของยงยุทธ ติยะไพรัช มีคนจะขอดูสำนวนแล้วให้เงิน 50 ล้านบาท แต่ พล.ต.ต.ชัยยะไม่ยอม ตำรวจหรือข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแบบนี้จะมีอยู่สักกี่คน แต่กลับถูกโยกย้ายเพราะไปทำคดีนายยงยุทธ คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่นายยงยุทธก็ยังได้เป็นประธานสภา ขณะที่ พล.ต.ต.ชัยยะถูกย้าย

นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ยังไม่พูดถึงการย้ายนายสุนัย มโนมัยอุดม การย้ายรองผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ที่เป็นประธาน กกต.และให้ให้ใบแดง ส.ส.พรรคพลังประชาชน นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ และเป็นประเทศไทยที่เราจะอยู่หรือ

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ศาลอาญาเพิ่งมีคำพิพากษาลงโทษ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ที่ให้ลูกน้องไปทำร้ายประชาชน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามมาตรา 157 ให้จำคุก 2 ปี รอลงอาญา ขณะที่ตนสู้เพื่อชาติ โดนฟ้องหมิ่นประมาท ศาลสั่งจำคุกไม่รอลงอาญา 3 คดี รวม 6 ปี เมื่อเป็นแบบนี้ตนควรจะท้อหรือไม่

“ผมเจ็บ ผมแบกทุกอย่าง แบกเอเอสทีวีทั้งหมด ผมเดือดร้อน เงินเดือนออกช้า ค่าใช้จ่ายติดหลายเรื่อง ทำไมผมต้องสู้ ก็เพราะพ่อผมสอนว่า ชาติต้องมาก่อน ผมสู้เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผมสู้เทมือนคนบ้า เหมือนเอาหัวชนกำแพง ชนจนหัวจะแตก ก็ไม่หยุด

ลูกชายผมสนิทกับลูกชายเจ้าของกิจการใหญ่มาก เป็นกิจการน้ำเมา ลูกสงสารพ่อก็เลยไปหาเพื่อน ขอเจรจาให้พ่อเพื่อนเอาโฆษณามาช่วยป๋าหน่อยได้ไหม เขาตอบกลับมาว่ายังไง เขาบอกให้ไปถามป๋าหน่อย สู้ไปทำไม สู้แล้วได้อะไร นี่คือคนที่รวยแสนล้าน รวยด้วยพระบรมโพธิสมภาร ลูกคนจีนเหมือนกัน ฝากลูกผมมาด่าว่าสู้ไปทำไม สู้แล้วได้อะไร” นายสนธิกล่าว

นายสนธิ กล่าวต่อว่า เป็นไปได้อย่างไร ที่คนมีเงินแสนล้านคิดได้แค่นี้ คนเป็นหนี้เป็นสิน ต้องยืมเงินทองมา เพื่อเอาความจริงให้กับประชาชนต้องแบกเอาไว้ทุกอย่าง ไม่รู้จะแบกไหวอีกนานแค่ไหน วันนี้ความชั่วช้าสามานย์ในรัฐบาลนี้มีเต็มไปหมด ไม่มีเฉพาะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นรัฐบาลที่ไร้ความผิดชอบโดยสิ้นเชิง โดยคนที่อยู่เบื่องหลังคือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่กระบวนการยุติธรรมก็พังไปหมดแล้ว ประธานสภาคือนายชัย ชิดชอบ นายกฯ คือนายสมัคร สุนทรเวช

นายจักรภพ เพ็ญแข คนที่จาบจ้วง วันนี้ทุกคนพยายามปลดนายจักรภพเพื่อไม่ให้ภัยถึงตัว แต่นายจักรภพทำแบบนี้มาไม่รู้กี่เดือนแล้ว ทำไมไม่มีใครทำอะไร เพิ่งมาตื่นเมื่อเอเอสทีวีเอาเรื่องนี้มาพูด แล้วก็ยังมีคนๆ หนึ่ง ซึ่งทำตัวเหมือนตำบลบ้านพลูหลวง สมัยอยุธยา ที่ออกมาบอกว่าอย่ายิงปืนใหญ่ เดี๋ยวกระเทือนถึงพระเจ้าอยู่หัวจะบรรทมไม่ได้

นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่รัฐบาลนี้จู่ๆ ก็อนุมัติให้ดูไบเวิลด์มาศึกษาแลนด์บริดจ์ แล้วให้สิทธิขาดในการหาบริษัทมาจัดการ จู่ๆ จะให้แขกซาอุฯ มาทำนาให้คนไทยรับจ้างคนละ 5 พัน เรามีคนจ้องทำลายสถาบันมานานแล้วโดยที่รัฐบาลไม่ทำอะไร เรามีนายกฯ ที่สามหาว พูดจาถ่อย ดูถูกประชาชนตอดลเวลา มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงจากการขึ้นราคาน้ำตาล 5 บา เรามีชาวนาถูกรังแกโดยพ่อค้ากลาง โรงสี ผู้ส่งออก พอข้าวจะขึ้นราคาก็เอาข้าวธงฟ้ามาขาย จะยกแผ่นดินเขาพระวิหารให้เขมร จนวันนี้ ยังไม่ได้ยื่นคัดค้านเรื่องมรดกโลกกับกัมพูชา

“ทั้งหมดนี้คือที่มาของการที่เราต้องสู้ครั้งสุดท้าย วันที่ 25 พ.ค.นี้ ผมเหนื่อย ไม่เหนื่อยอย่างเดียว ท้อใจด้วย เพราะสังคมไทยถูกซื้อไปได้ทุกอนุของมัน ทหารบางส่วนถูกซื้อ กระบวนการยุติธรรมเกือบทั้งหมด ข้าราชการถูกซื้อ นักข่าวชอบถามว่าไม่กลัวหรือว่าเขาจะมองว่าพันธมิตรเป็นตัวก่อความวุ่นวาย คำพูดนี้หลุดมาจากปากคนไทยได้ไง ถ้าหลุดมาได้ แสดงว่าเมืองไทยกำลังถูกสาปแช่ง”

นายสนธิ กล่าวต่อว่า วันที่ 25 นี้ มีคนชอบถามว่าจะมีคนมากี่คน ตนพูดหลายครั้งแล้วจะมากี่คนไม่สำคัญ จะมาแค่ 100 คน แสนคน สำหรับตนแล้ว ก็จะยังอยู่นี่นั่น เพราะศรัทธาและเชื่อมั่นในแนวทางที่ต่อสู้ ถ้าจะเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิต ก็จะต้องสู้ โดยเอาธรรมนำหน้า และจะถอยไม่ได้อีกแล้ว เพราะประเทศไทยจะไม่มีอะไรเหลือให้พวกเราอีกแล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้พี่น้องได้เห็น หรือคนที่เกลียดตนได้เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยทุกวันนี้เป็นเพราะใคร วันที่ 25 นี้ เราไม่อยากชุมนุม แต่ที่เราชุมนุมก็เพราะ จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ผิดเป็นถูก เรื่องที่ไม่ยอมทำอะไรกรณีเขาพระวิหารจนจะทำให้เสียดินแดน เรื่องจู่ๆ จะยกแลนด์บริดจ์ให้ดูไบ เรื่องให้แขกมาทำนา และอีกหลายๆ เรื่อง

นายสนธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า วันที่ 25 นี้ ตนจะไม่ขออะไรมาก แต่ถ้าเป็นการ “สู้ครั้งสุดท้าย” ของตนแล้ว ก็อยากให้พี่น้องที่รักชาติ รักบ้านเมือง รักแผ่นดิน อยากให้บ้านเมืองยืนบนหลักการที่ถูกต้อง ให้มาร่วมกับเรา มายืนข้างพันธมิตร ถ้าเราต้องการให้ชาติบ้านเมือง มีจริยธรรมศีลธรรมในท่ามกลางข้าราชการ นักการเมือง เราต้องการขับไล่ความชั่วร้าย ความสามานย์ของคนชั่วที่ขายแผ่นดิน ต้องการมายืนกับเรา ที่สำคัญเรามายืนเพื่อแสดงพลังร่วมกัน ให้เห็นว่ายังมีคนอีกนับล้านๆ คนที่ยังต้องกาความถูกต้องในสังคมไทย

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )




กำลังโหลดความคิดเห็น