xs
xsm
sm
md
lg

พันธมิตรฯ ลั่น! ต้านอาชญากร ปชต.ล่าชื่อยื่นถอดถอน “พลังแม้ว” แก้ รธน.เพื่อตัวเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พันธมิตรฯ แถลงฉบับที่ 5 พร้อมต่อต้านอาชญากรประชาธิปไตยล้มล้างรัฐธรรมนูญฟอกความผิดให้ตัวเอง เตรียมล่ารายชื่อ 2 หมื่น ยื่นถอดถอน ส.ส. “พลังแม้ว” และพวกฐานทำผิด รธน. ย้ำหากยังดื้อรั้นพร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมต้านทุกรูปแบบ

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พันธมิตรฯแถลงการณ์ฉบับที่5/2551

คลิกที่นี่ เพื่อฟัง แกนนำพันธมิตรฯแสดงความคิดเห็นและตอบคำถามสื่อ


ชมวิดีโอคลิป พันธมิตรแถลงการณ์ ( 56 k ) | ( 256 K )


เมื่อเวลา 12.10 น.วันนี้ (2 เม.ย.) ภายหลังการหารือของ 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้ประชุมหารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่บ้านพระอาทิตย์แล้ว นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 5/2551 เรื่อง “พร้อมต่อต้านอาชญากรประชาธิปไตยเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญฟอกความผิดให้ตัวเอง” มีข้อความดังนี้

ตามที่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดการสัมมนารายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ” ในวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2551 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามแถลงการณ์ฉบับที่ 3/2551 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2551 ดังที่ทราบแล้วนั้น

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนเกือบ 2 หมื่นคนที่ได้มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้จำนวนมากจนล้นหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งแรงใจจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลกกว่า 10 ล้านคนที่ได้เข้าร่วมสัมมนาผ่านการรับชมทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีอย่างกว้างขวาง ตลอดจนขอขอบพระคุณในความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพี่น้องสื่อสารมวลชนหลายแขนงที่มีการนำเสนอข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ดังกล่าวสู่ประชาชน

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอแสดงความคารวะต่อจิตใจที่ยิ่งใหญ่ของพี่น้องประชาชนที่ยืนหยัดเข้าร่วมงานสัมมนาด้วยความกล้าหาญนานกว่า 7 ชั่วโมงอย่างไม่ท้อถอย แม้ว่าพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์บางส่วน จะถูกข่มขู่ คุกคาม และถูกทำร้ายร่างกายด้วยการขว้างปาวัตถุของแข็งจากเหล่าอันธพาลที่รับใช้ระบอบทักษิณก็ตาม แต่พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็หาได้แสดงความหวาดหวั่นต่อเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ กลับยังคงยึดมั่นในหลักธรรม สันติ สงบ อหิงสาและปราศจากอาวุธ อยู่เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือว่าความสำเร็จเกินความคาดหมายครั้งนี้ คือการประกาศเจตนารมณ์ของภาคประชาชนผู้บริสุทธิ์เพื่อคัดค้านการกระทำอันเหิมเกริมของรัฐบาลนอมินี ที่แทรกแซงตัดตอนคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และพวกพ้อง ไม่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลทุกวิถีทาง

แต่รัฐบาลนอมินีก็หาได้แสดงความสำนึกไม่ กลับยังคงประกาศเดินหน้าเร่งรัดที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 237 เพื่อหลบเลี่ยงบทลงโทษการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การยุบพรรค และมาตรา 309 เพื่อนำไปสู่การขัดขวางหรือยุบเลิกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ต่อไป โดยมีเป้าหมายที่จะตัดตอนคดีความทั้งหลายที่กำลังดำเนินต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และพวกพ้องไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล อันเป็นความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อมุ่งหวังที่จะลบล้างความผิดของตัวเองและพวกพ้องทั้งสิ้น โดยไม่เคารพและยำเกรงต่อประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ที่ลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 14 ล้านคนแม้แต่น้อย

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลนอมินีนอกจากจะส่งข้าราชการที่รับใช้ระบอบทักษิณไปบริหารในกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อบิดเบือนและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการดำเนินคดีความทั้งหลายที่มีต่อคนในระบอบทักษิณแล้ว ยังมีการใช้ข้าราชการจากกรมสอบสวนคดีพิเศษไปเป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งข้าราชการที่ซื่อสัตย์สุจริตและทำลายนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ตลอดจนข่มขู่คุกคามต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งที่กำลังพิจารณาคดียุบพรรคการเมืองอย่างชัดเจน พร้อมๆกับการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงการจัดตั้งงบประมาณและการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องเข้าไปมีอำนาจและมีอภิสิทธ์เหนือข้าราชการอื่น ไม่เป็นธรรมาภิบาล ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม

พฤติกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านักการเมืองในระบอบเผด็จการรัฐสภาโดยทุนนิยมสามานย์ ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขถ้วนหน้า ดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง ฝ่ายบริหารที่ฉ้อฉลได้ร่วมมือกับฝ่ายนิติบัญญัติที่ไร้จริยธรรม ได้กระทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายอำนาจในกระบวนการยุติธรรม มุ่งประสงค์ลบล้างความผิดของตัวเองและพวกพ้องเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ นักการเมืองแห่งระบอบเผด็จการรัฐสภาโดยทุนนิยมสามานย์เหล่านี้ จึงไม่สามารถที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงความชอบธรรมทางการเมืองแก่ระบอบการปกครองของประเทศโดยรวมได้อีกต่อไป

นอกจากนี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์ว่ามีขบวนการที่จะทำการปฏิวัติรัฐประหารจากกลุ่มอำนาจที่ไม่ใช่ฝ่ายกองทัพไทยนั้น อาจตีความได้ว่านายสมัครได้ออกมาเปิดโปงเพื่อทำลายขบวนการยึดอำนาจจากผู้อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงของฝ่ายตนเอง ซึ่งอาจรวมถึงตำรวจ ทหารบางส่วน และมวลชนที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อต้องการทำการปฏิวัติรัฐประหารและนำไปสู่การล้มล้างคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ดังที่ได้มีความสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้วางแผนเดินสายหาเสียงสนับสนุนจากมวลชนที่ขาดข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงเอาไว้เป็นการล่วงหน้าแล้วในขณะนี้

ทั้งหมดนี้เป็นการพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า นายสมัคร สุนทรเวช กำลังหมดอำนาจลง เป็นการวางแผนของระบอบทักษิณเอาไว้ล่วงหน้าเพียงเพื่อยึดอำนาจรัฐ แก้ไขปัญหาตัวตัวเองและพวกพ้อง ตลอดจนการวางแผนรัฐประหารตัวเองและเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ของกรมประชาสัมพันธ์ช่อง 11 และเอ็นบีที เพื่อเป็นการเตรียมการล่วงหน้าสำหรับเป็นเครื่องมือสื่อสารมวลชนของฝ่ายรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ตามที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยแถลงการณ์เตือนสังคมไทยไว้ล่วงหน้าในฉบับที่ 2/2551 ลงวันที่ 5 มีนาคม 2551 และแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นปัญหาวิกฤตของแผ่นดินต่อไป

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้มาประชุมกันเพื่อกำหนดจุดยืนต่อสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นดังต่อไปนี้

1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอประกาศจุดยืนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 237 และมาตรา 309 นั้น มีเป้าหมายเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษการกระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้งของตัวเองและพวกพ้อง ตลอดจนทำลายและตัดตอนกระบวนการยุติธรรมเพื่อล้มล้างคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และพวกพ้องในชั้นศาล อันเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมและความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย มุ่งประสงค์ลบล้างความผิดของตัวเองและพวกพ้องให้มีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย ไม่มีธรรมาภิบาล ทำลายความสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญที่ได้ผ่านรับรองโดยประชามติจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ถือเป็นการกระทำไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชน เป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ เป็นการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง บุคคลใดแก้ไขรัฐธรรมนูญตามอำเภอใจเช่นนี้ถือได้ว่าบุคคลนั้นเป็น “อาชญากรระบอบประชาธิปไตย” เสมือนการปกครองที่เป็นเผด็จการทรราชย์ทางสภาโดยทุนนิยมสามานย์ ซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะขัดขวางไม่ให้การกระทำดังกล่าวทุกรูปแบบ เกิดขึ้นโดยเด็ดขาดด้วยวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ

2. ปวงชนชาวไทยมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ในมาตรา 70 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงขอใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้ตามมาตรา 69

เมื่อปรากฏว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้กระทำไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรก

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงขอใช้สิทธิในฐานะผู้ทราบการกระทำดังกล่าวยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว หรือยุบพรรคการเมืองดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสองและวรรคสาม

3. เนื่องจากมีการกระทำที่ประจักษ์ชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคร่วมรัฐบาลที่กำลังจะเสียประโยชน์จากรัฐธรรมนูญมาตรา 237 มาตรา 309 และมาตราอื่นๆ อันเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 122

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงมีมติใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 ในการรณรงค์และรวบรวมรายชื่อประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคน เพื่อใช้สิทธิร้องขอต่อประธานวุฒิสภาให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนซึ่งกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 270 ที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้

4. นอกจากนี้ หากยังมีการดื้อรั้นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในมาตรา 237 และมาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิดของตัวเองและพวกพ้องต่อไป หรือการเคลื่อนไหวที่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็พร้อมที่จะประกาศเคลื่อนไหวเพื่อเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศมาร่วมกันคัดค้านและการต่อต้านการทำดังกล่าว ทุกรูปแบบ ตามวิถีทางรัฐธรรมนูญทันที

5. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เคารพเจตนารมณ์ของประชาชน โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคการเมืองต่างๆที่ร่วมรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ หากไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่เป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตยครั้งนี้ ขอให้ประกาศต่อสาธารณชนในการที่จะถอนตัวออกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฉ้อฉลต่อประชาชนทั้งประเทศทันที


ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
วันที่ 2 เมษายน 2551

รายละเอียดคำต่อคำพันธมิตรฯแถลง

สนธิ ลิ้มทองกุล

พี่น้องสื่อมวลชนครับ ในแถลงการณ์นั้นคงจะพูดครอบคลุมไปหมดแล้ว แต่ผมขออธิบายความเพิ่มเติมสั้นๆ นิดหนึ่งนะครับ คือมาตรการที่เราจะทำนั้นมีอยู่ 3 มาตรการ มาตรการแรก คือ เราในฐานะผู้รับทราบว่ามีการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เราจะเสนอเรื่อง ยื่นเรื่อง ยื่นคำร้องต่ออัยการสูง เพื่อให้อัยการสูงสุดได้ส่งเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาว่าการกระทำของพรรคพลังประชาชน หรือพรรคอื่นที่เข้ามาร่วมในเรื่องนี้ เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรือเปล่า

มาตรการที่ 2 คือ เราขอใช้สิทธิ์ของเราตามมาตรา 122 ที่จะเรียกร้องให้มีการลงชื่ออย่างน้อย 20,000 ชื่อ เพื่อจะเอาชื่อนี้ยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ถอดถอนบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกๆ ท่านที่ลงชื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้

มาตรการที่ 3 ถ้ารัฐบาลยังดึงดันที่จะแก้ไขต่อโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น และใช้เสียงพวกมากลากไป เราก็จะประกาศความเคลื่อนไหวของเราโดยที่เชิญชวนพ่อแม่พี่น้อง ประชาชนทั่วประเทศไทย เข้ามาร่วมเคลื่อนไหวพร้อมกันกับเรา

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พี่น้องสื่อมวลชน ผมอยากจะทบทวนความจำพี่น้องสื่อมวลชนนิดหนึ่งว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่มีกติกา และทุกคนยอมรับตามกติกา ทุกพรรคทราบดีว่าหากทำผิดกฎหมายอะไรก็ตาม ถ้ากรรมการบริหารทำผิดนั้น โทษของการทำผิดนั้นจะถูกโยงไปถึงการถูกพิจารณาให้ยุบพรรค ทุกพรรคทราบดี แต่เมื่อเลือกเข้ามาแล้ว ในการเลือกตั้งนั้นพรรคพลังประชาชนไม่ได้ชูนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 หรือ 309 แต่เมื่อเลือกเข้ามาแล้ว เมื่อตัวพรรคพลังประชาชนมีแนวโน้มจะถูกยุบพรรค ก็เลยชูมาตรา 237 ในการที่จะแก้ไข และพ่วงมาด้วย 309 แต่ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนเข้าใจประเด็นนิดหนึ่งนะครับ 237 ยังไม่สำคัญเท่า 309

309 นั้นคือหัวใจ เพราะว่า 309 เมื่อแก้แล้ว โทษต่างๆ การฟ้องร้องต่างๆ เรื่องราวต่างๆ ที่ คตส.ทำ หรือขึ้นสู่ศาล ของคุณทักษิณ ชินวัตร ก็จะหมดไปโดยปริยาย 237 นั้น ถึงแม้จะมีการยุบพรรค แต่ด้วยเงินด้วยทองที่มี ด้วยเครือข่ายเก่าๆ ที่มี สามารถตั้งพรรคใหม่ พรรคไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว 309 คือการฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว และมิตรสหายหลายๆ ท่าน ที่ร่วมกันเป็นจำเลยของ คตส. เพราะฉะนั้นแล้วประเด็นอยู่ที่ 309

อีกข้อหนึ่ง เพื่อความเป็นธรรม และโดยความชอบธรรมของพรรคพลังประชาชน หากมีเจตนารมณ์ที่ต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจริงๆ พรรคพลังประชาชน สมควรที่จะยุบสภาแล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยชูประเด็นว่า เนื่องจากไม่พอใจรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่พอใจมาตรา 237 และ 309 เพราะฉะนั้นต้องการให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ว่าถ้าเลือกพรรคพลังประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ก็จะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 , 309 มิใช่การใช้เสียงมากลากไปเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ และในที่สุดแล้วก็จบลงด้วยการแก้ 309

237 ไม่แก้ พรรคพลังประชาชนไม่เสียหาย แต่ 309 ไม่แก้ไม่ได้ อันนี้ก็เป็นบทพิสูจน์อีกบทหนึ่ง ตามแถลงการณ์ที่บอกว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ยังคงเป็นปัญหาที่แท้จริงของแผ่นดิน ไม่ใช่คนอื่นเลยแม้แต่นิดเดียว การกลับมาของคุณทักษิณ ชินวัตร ครั้งนี้เป็นการกลับมาที่มีนัยที่น่าสนใจมาก ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนคอยติดตามไป เหมือนแถลงการณ์ครั้งที่ 2 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แถลงว่ากำลังจะมีการกระทำการรัฐประหารตัวเอง และคำพูดของการปฏิวัตินั้นก็ไม่ได้หลุดออกมาจากใคร นอกเหนือจากหลุดออกมาจากปากคุณสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน

และคุณสมัคร สุนทรเวช ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ทำไมถึงโดนคุณกุเทพ ใสกระจ่าง ซึ่งเป็นโฆษกพรรคพลังประชาชน ออกมาดุด่าว่าอย่างสาดเสียเทเสีย ซึ่งผิดวิสัยโครงสร้างของวินัยพรรค แสดงว่าคุณสมัคร สุนทรเวช นั้นได้กระทำอะไรลงไปบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 309 เลยทำให้เจ้าของพรรคที่แท้จริงไม่พอใจ ก็เลยส่งสัญญาณให้คุณกุเทพออกมาด่านายสมัคร

ตั้งแต่ผมอยู่ในวงการเมืองมา ศึกษาการเมือง ทำข่าวเกี่ยวกับการเมือง เพิ่งจะมีครั้งนี้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่โฆษกพรรคออกมาด่าหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นพิสูจน์ชัดเจนว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของพรรคพลังประชาชน อันนี้ก็รวมไปจนถึงบรรดานักการเมืองปากกล้าทั้งหลายของพรรคพลังประชาชน ที่ออกมาด่าว่าพันธมิตรฯ กระแนะกระแหนพันธมิตรฯ ทั้งหมดนี้ก็ทำตามคำสั่งของเจ้าของพรรค

ด้วยเหตุนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายภาคประชาชนทุกๆ เครือข่าย ขอยืนหยัดและขอยืนยันว่าหากเรายอมให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเช่นนี้ได้ นี่คือการยอมให้ความสามานย์เข้ามาในแผ่นดินไทย และยอมให้ความผิดนั้นปรากฏอยู่ในแผ่นดินไทย โดยที่พวกเราไม่ยอมทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นประเทศไทยไม่ใช่ประเทศไทยที่เราเคยรู้จักมาก่อน ประเทศไทยนั้นจะถูกตั้งราคาด้วยเงิน ใครมีเงินมาก คนนั้นก็ซื้อเสียงเข้ามา เมื่อซื้อเสียงเข้ามาแล้วก็สามารถที่จะทำอะไรก็ได้

อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบว่า ทำไมโจรต้องติดคุก เหตุผลที่โจรต้องติดคุกนั้นก็เพราะว่าโจรไม่สามารถเข้าสภาเพื่อแก้กฎหมายได้ แต่ว่าทำไมนักการเมืองที่สกปรกและไม่จริงใจต่อชาติบ้านเมืองถึงไม่โดนลงโทษ เพราะนักการเมืองพวกนี้สามารถเข้ามาในสภา แล้วแก้ไขกฎหมาย ทำเรื่องที่ตัวเองทำผิดให้ถูกได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจิตวิญญาณ เป็นเรื่องความผิดชอบชั่วดี เป็นเรื่องความถูกต้อง และความไม่ถูกต้อง หากสังคมไทยยังปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นต่อไป ความไม่ถูกต้องก็จะมาครอบงำความถูกต้อง และในที่สุดสังคมไทยจะวัดความถูกต้องกันที่ว่า ใครมีเงินมากที่สุด คนนั้นมีความถูกต้อง

ช่วงถาม-ตอบ

ถาม - สัปดาห์หน้าจะยื่นญัตติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ จะมีกิจกรรมอะไรในสัปดาห์หน้า

สุริยะใส - ถ้ามีการยื่นญัตติทันทีก็ปรากฏว่าพฤติการณ์ต่อการละเมิดรัฐธรรมนูญ 2 มาตราเกิดขึ้นทันที หมายความว่า 1.ก็คือมาตรา 68 การได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2. มาตรา 122 คือการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ การเริ่มต้นล่า 20,000 รายชื่อเพื่อถอดถอนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็มีความชอบธรรมทันที และมีผลในทางกฎหมายทันที ซึ่งกระบวนการล่ารายชื่อจะแจ้งให้ทราบอีกที ตอนนี้อยู่ระหว่างการยกคำร้อง อาจจะใช้วิธีรณรค์ตามเครือข่ายทั่วประเทศ และในหัวเมืองใหญ่ รวมทั้งในกรุงเทพมหานคร เช่น ไปตั้งโต๊ะในจุดชุมชนสำคัญๆ ซึ่งอันนี้จะเป็นกิจกรรมที่จะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง ทันทีที่ญัตตินี้เข้าสู่สภาอย่างเป็นทางการ

ถาม - ที่จะส่งให้อัยการต้องรอให้มีญัตติเข้าสู่สภาแล้วเช่นกัน

สุริยะใส - ส่งได้เลยครับ จริงๆ แล้วที่ประชุมมอบหมายให้ผมไปร่างไว้ แล้วการดำเนินการยื่นคงรอสภาบรรจุญัตติเป็นทางการก่อน เพื่อให้มีผลในทางกฎหมาย

ถาม - ขอบเขตการเคลื่อนไหวขนาดไหน

พิภพ - ขอบเขตของการเคลื่อนไหวของเราจะอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ แล้วก็อย่างสงบและสันติ แล้วผมคิดว่าการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญจนอาจจะนำไปสู่การแก้ไขหลักการสำคัญๆ การแก้ไขหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ หรือการแก้ไขในหลักการที่ขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มันจะเข้าการกระทำเหมือนกับประวัติศาสตร์โลก ก็คือในสมัยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ใช้เสียงข้างมากเปลี่ยนรัฐธรรมนูญของเยอรมัน จากระบอบประชาธิปไตยเป็นเผด็จการ เพราะฉะนั้นถ้าการแก้ไขหลักการสำคัญๆ จะต้องใช้เสียงประชามติของประชาชนในการลงประชามติเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย นอกจากจะใช้วิธีการแบบที่คุณสนธิเสนอ ก็คือว่า ถ้าจะแก้ไขหลักการสำคัญๆ ต้องประกาศให้ประชาชนรับรู้ แล้วก็อะไร ยุบสภาให้เกิดการเลือกตั้งใหม่เพื่อให้ประชาชนรับรองว่า ถ้าจะแก้ไขหลักการสำคัญๆ ของรัฐธรรมนูญนี้ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ เพราะฉะนั้นการต่อสู้ของเราครั้งนี้จะอยู่ การเคลื่อนไหวของเราครั้งนี้จะอยู่ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้

อันที่ 2 ผมคิดว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะไม่ได้ประกอบเฉพาะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น จะเห็นได้ว่าความตื่นตัวในเรื่องการเคลื่อนไหวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลักการสำคัญๆ ได้เกิดองค์กรและกลุ่มต่างๆ ขึ้นมากมาย และได้เคลื่อนไปในหลักการตามกฎหมาย แสดงการไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญที่พรรคพลังประชาชนพยายามจะหักดิบในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นหลักการสำคัญ เช่น มาตรา 309 ก็ดี มาตรา 237 ก็ดี และอาจจะรวมถึงมาตราอื่นๆ โดยไม่เคยประกาศให้ประชาชนได้รับทราบก่อนว่าเมื่อตัวเข้ามาแล้วจะแก้ แล้วเป็นการปรากฏชัดว่า การแก้ไขมาตรา 237 เพื่อหลบเลี่ยงคดีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หรือการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การแก้ไขมาตรา 309 เพื่อจะยกเลิกการตรวจสอบของ คตส. ที่นำเข้าสู่คดีต่อศาลยุติธรรมของคุณทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งหมด นี่เป็นการแก้ไขหลักการสำคัญ เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวของเรา ที่ต่อต้าน ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ และเชิญชวนพี่น้องประชาชน เชิญชวนกลุ่มต่างๆ ให้รวมตัวกันแสดงจุดยืนต่อการแก้ไขหลักการสำคัญ จะอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ สงบและสันติ

ถาม - จากปัญหาเมื่อวันศุกร์ กิจกรรมครั้งต่อไปมีการป้องกันไม่ให้เผชิญหน้ากัน

จำลอง - แม้ไม่ได้อยู่ในวันที่ 28 ก็ตาม แต่ได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด พวกที่ก่อความวุ่นวาย ก่อให้เกิดความปั่นป่วนนั้น เขาต้องการอย่างเดียว คือ ต้องการให้เราท้อ ต้องการให้เราถอย แต่เราไม่ท้อและเราไม่ถอย เพราะเราตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาของบ้านเมือง ถ้าผู้สื่อข่าวย้อนหลังไปในอดีต สิบๆ ร้อยๆ ปี เมื่อใดก็ตามที่บ้านเมืองเกิดภัยพิบัติ จะมีคนหลายกลุ่ม หลายคณะ หลายคน ออกมาช่วยกันเอาภาระ ไม่ได้ปล่อย ไม่ได้วาง ว่าจะปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองอย่างไรก็ทำไปเถอะ มิเช่นนั้นแล้ว บ้านเมืองเราคงไม่รอดปลอดภัยมาได้จนถึงทุกวันนี้ ครั้งนี้ก็อีกเช่นกันครับ คนหลายกลุ่ม หลายคณะ ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไรก็ตามแต่ เห็นพ้องต้องกันว่ามันเกิดวิกฤตแล้ว วิกฤตยิ่งกว่าที่แล้วมา ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างหนักหน่วง หรือมีการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ ที่จะทำให้นักการเมืองที่ทำผิดมาแล้วไม่ต้องรับผิด และกฎหมายจะไม่มีผลอย่างใดทั้งสิ้นอย่างที่ผมบอกไปแล้ว อีกหน่อยก็ไม่ต้องมีกฎหมาย แล้วก็ไม่ต้องมี ส.ส. เพราะ ส.ส.มีหน้าที่ออกกฎหมาย
เพราะฉะนั้นคราวนี้ก็เช่นกัน ประชาชนหลายกลุ่มหลายคณะ จะเรียกชื่ออะไรก็ตามแต่ ก็พร้อมที่จะออกมาช่วยกันปกป้องบ้านเมือง เราขอให้กำลังใจกับเพื่อนตำรวจนะครับว่า ไม่เกินขีดความสามารถของท่าน ท่านได้เคยแสดงให้เราเห็นมาแล้วจากการที่เราได้ร่วมชุมนุมร่วมเดินขบวนต่อเนื่องกันมานับเป็นปี ชุมนุมกลางวันก็มี เดินขบวนกลางวันก็มี กลางคืนก็มี เดินไปแหล่งศูนย์กลางของเศรษฐกิจก็มี ไปแล้วปักหลักพักค้างนับรวมเวลาเป็นเดือนก็มี ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะว่าตำรวจได้ทำอย่างเต็มที่ ขอให้กำลังใจกับตำรวจนะครับ ไม่เกินขีดความสามารถของท่าน และขอยืนยันกับพี่น้องประชาชน ตำรวจมีอยู่ในประเทศตั้ง 240,000 กว่าคน และรับเงินเดือนในการที่จะรักษาความสงบและความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเชื่อเหลือเกินว่าคราวต่อไปตำรวจจะช่วยรักษาความสงบและไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เพ้อฝันนะครับ เพราะว่าในอดีตได้มีตัวอย่างเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ แล้ว ที่เราได้เห็นมาแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่ได้มีอะไรที่เราจะไปกังวล ขัดข้องต่อปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าเรามัวแต่เอาตัวรอด คิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว ป่านนี้เมืองไทยมาไม่ได้จนถึงวันนี้ล่ะครับ

ถาม - วิธีการที่กำหนดทั้งหมดนี่คิดว่าจะสามารถทัดทานการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

สนธิ - ให้ อ.สมเกียรติ เป็นคนตอบละกันครับ

สมเกียรติ - ผมอยากจะเรียนว่า คราวนี้พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของพรรคการเมือง และตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ดังนั้นมวลชนส่วนใหญ่จึงไม่ขานรับและสนับสนุน แทบไม่มีองค์กรใดของภาคประชาชนขานรับการแก้ไขปัญหาฟอกตัวเองเลย กลับตรงกันข้าม ได้เกิดองค์กรมากมาย มากกว่า 10 องค์กร และจะมีการปรึกษาหารือกันเป็นการใหญ่ในกลางเดือนเมษายนนี้ เพื่อผนึกกำลังกันที่จะสนับสนุนและหนุนช่วยพันธมิตรฯ รวมทั้งองค์กรเครือข่าย เพื่อยกระดับการต่อสู้เข้าไปสู่การคัดค้าน เมื่อก่อนเราไม่เห็นด้วย แต่นี่เข้าไปสู่ระดับการคัดค้านแล้ว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 อีก 3 วันข้างหน้านี้ที่สวนลุมพินี เพราะฉะนั้นกระแสนี้เชื่อว่าจะทอนกำลังภัยพิบัติของประเทศชาติ ที่เราเรียกว่า "ภัยพิบัติจากนักการเมือง" ที่มีความรุนแรงทางการเมืองไม่น้อยกว่าสึนามิทางการเมือง และภัยพิบัตินี้เป็นภัยพิบัติที่เป็นพายุร้าย พายุร้ายที่พัดโหมประเทศเพื่อคิดอ่านที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การยืนหยัดครั้งนี้จึงเป็นการยืนหยัดที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 87 มาตรา 87 บอกว่าประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทุกระดับ เพราะฉะนั้นผมจึงเห็นว่าประชาชนจะใช้ช่องตามรัฐธรรมนูญทั้งหมด แม้กระทั่งมาตรา 70 ที่ปกป้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การเข้าชื่อ 20,000 คน เราจะเห็นแนวรบภาคประชาชนในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ โดยเฉพาะการเข้าชื่อ 20,000 คน จะเป็นการโหมกำลังของคนทั้งประเทศ ที่เป็นพลังทางศีลธรรม ตื่นขึ้นโดยมโนธรรมสำนึกของพวกเขาเองที่จะลุกขึ้นมาปกป้องชาติบ้านเมือง ผมประเมินดูว่าการประชุมครั้งแรก การประกาศจัดตั้งพันธมิตรฯ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล ปลายปี 2548 การเกิดครั้งแรกน้อยกว่าธรรมศาสตร์เป็นสิบๆ เท่านะ การเปิดตัวพันธมิตรฯ มีคนเริ่มต้นเพียง 400 คน แต่การเปิดตัวพันธมิตรฯ ภาค 2 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มากกว่า 20-30 เท่า เราแสดงให้เห็นว่าประชาชนที่นี่ตื่น การเมืองภาคประชาชนได้ถูกยกระดับ ที่จะต่อกรกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นจากนักการเมืองในการล้มล้างการปกครองแล้ว ผมเชื่อว่าไม่เหนือบ่า และไม่สุดความสามารถของพลังการเมืองภาคประชาชนที่จะกระทำได้ครับ

ถาม - จะป้องกันและดูแลอย่างไรไม่ให้เข้าทางของทางรัฐบาล ที่ทางพันธมิตรฯ เองก็ประเมินว่าเขาตั้งใจที่จะทำรัฐประหารตัวเอง

สนธิ - ให้คุณสมศักดิ์เป็นคนตอบนะครับ

สมศักดิ์ - ครับ พวกเราก็อยู่ฝ่ายประชาชน ก็ใช้สิทธิเสรีภาพ เมื่อกี้ก็พูดกันไปหลายท่านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชื่อ การรวมตัว ที่สำคัญเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ เห็นไหมครับว่าบรรดา ส.ส.ร. นักวิชาการ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคนร่าง เขาย่อมรู้ว่าเจตจำนงของรัฐธรรมนูญจริงๆ คืออะไร เขาทำมาสดๆ ร้อนๆ ใหม่ๆ แล้วก็การที่จะมาแก้ไขอยู่ในระหว่างที่คดีต่างๆ กำลังดำเนินการอยู่ ไม่มีที่ไหนเขาทำ เพราะฉะนั้นการจะแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องมี ส.ส.ร.ซึ่งไม่ใช่นักการเมือง การที่ฝ่ายรัฐบาลได้พยายามส่งคนมาก่อกวนอย่างเที่ยวที่แล้วมา ก็ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ผิด ทั้งที่รัฐบาลควรจะมาช่วยปกป้องคุ้มครอง ดูแลความสงบสุข ที่เอาก้อนหินอะไรมา ตัวน็อต หรือก้อนหิน มาไล่ยิงพี่น้องที่มาจากสันติอโศก นี่ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เป็นวิธีการที่เราไม่ใช้กัน ฉะนั้นในการป้องกันนั้น แน่นอน เราเป็นประชาชน เราก็ต้องขอให้ตำรวจ เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าพิทักษ์สันติราษฎร์โดยตรง มาดูแลความสงบ และเราก็เชื่อว่าตำรวจที่ยังดีๆ อยู่ก็สามารถที่จะมีจิตสำนึกในการดูแลความสงบเรียบร้อย เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด เราใช้สิทธิ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ หรือการใช้สิทธิในการลงนามร่วมกัน เพื่อถอดถอนนักการเมืองที่ใช้สิทธิโดยไม่ชอบตามครรลองและวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่านี่เป็นความก้าวหน้า เป็นการพัฒนาของประชาชนอย่างแท้จริง เราจึงไม่วิตกกังวลในเรื่องเหล่านั้น ถ้าอะไรเกิดขึ้นรัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะว่าการดูแลความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

จำลอง - คำถามที่ว่าจะเข้าทางรัฐบาลไหม เป็นคำถามที่ดีนะครับ คุณสมศักดิ์บอกไปแล้วนะครับ เราทำอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญทุกประการ ด้วยความสงบ ด้วยความสันติ และพิจารณาอย่างรอบคอบ สุขุม แต่จนถึงขณะนี้เราไม่มีทางเลือก เราต้องคัดค้าน เราต้องต่อต้านทุกรูปแบบ ถ้าสื่อมวลชนมีอะไรที่ดีกว่านี้กรุณาบอกมาเดี๋ยวนี้เลยครับว่าเราจะทำอะไรที่มันดีกว่าที่เราจะทำ เรายินดีที่จะปฏิบัติตามนะครับ แต่เราได้พิจารณาแล้วพิจารณาอีกว่ามันไม่มีทางเลือกจริงๆ เราจึงต้องคัดค้าน ต้องต่อต้าน อย่างที่เราได้วางแผนไว้แล้ว ว่าข้อ 1 ทำอะไร ข้อ 2 ทำอะไร ข้อ 3 ทำอะไร ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดมาจากความคิดความอ่านของใครคนเดียวนึกคิดเพ้อฝันแล้วก็ทำออกมา เราประชุมกันแล้วประชุมมกันอีก โดยมีการติดตามสถานการณ์อย่างกระชั้นชิด และเราเชื่อว่าไม่มีทางเลือกจริงๆ ครับ ถ้าเมื่อไรคิดออก ขอเพียงแต่เขียนมานะครับ เขียนมาบอกเรา เราจะได้ทำตาม แต่วันนี้ไม่มีทางเลือกครับมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ต้องต่อต้านทุกรูปแบบครับ

สนธิ - คือการจะนั่งเฉยๆ และยอมรับความชั่วช้าสามานย์ที่จะเปลี่ยนสถานภาพสังคมไทยไปโดยที่เอาอำนาจที่มีอยู่แล้วแก้อะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ เราทำไม่ได้นะครับ ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ผมขอกราบเรียนพี่น้องสื่อมวลชน และท่านผู้ชมที่ชมอยู่ทางบ้านนิดหนึ่ง ท่านสังเกตให้ดีๆ การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ดูให้ลึกๆ แล้ว ถ้าสามารถทำได้ นั่นคือพื้นฐานเงื่อนไขข้อแรกของการนำไปสู่ระบอบประธานาธิบดี

ถาม - ถาม อ.สมเกียรติ มติของพันธมิตรฯ จะมีการนำเข้าหารือกับพรรคประชาธิปัตย์ไหม

สมเกียรติ - พรรคประชาธิปัตย์ประชุมแล้วเมื่อวานนี้ครับ เดี๋ยวท่านหัวหน้าพรรคจะแถลงเอง ผมไม่ได้เอาญัตตินี้ไปปนเปกันกับการทำงานของพรรค ผมแยกภาระงานออก อันนั้นในฐานะ ส.ส. อันนี้ในฐานะบุคคล เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมา 30 กว่าปี แยกแยะหน้าที่ไม่ออกก็ไม่ใช่คนแล้วนะครับ แล้วก็กรุณาถามเรื่องนี้ให้น้อยลงนะครับ

ถาม - ชัดเจนใช่ไหมคะว่าถ้ารัฐบาลยังดึงดันที่จะแก้ไข เราอาจจะเห็นเวทีกลางแจ้งของพันธมิตรฯ อีกครั้งหนึ่ง

สนธิ - ให้คุณพิภพพูดดีกว่าครับ

พิภพ - คือสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนไปนั้นปัญหาหลักยังอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ จะดูให้เหมาะสมกับสถานการณ์และอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ และผมเชื่อว่าคราวนี้ประชาชนที่ไม่เคยร่วมกับพันธมิตรฯ หรือกลุ่มที่ไม่เคยร่วมกับพันธมิตรฯ จะออกมา ไม่ใช่แต่พันธมิตรฯ เท่านั้น เพราะคิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเปลี่ยนสถานะของประเทศไทยอย่างที่คุณสนธิว่า และการเปลี่ยนสถานะของประเทศไทยนั้น ประเทศเยอรมนีเคยประสบมาแล้ว ฮิตเลอร์ก็มาจากการเลือกตั้ง และใช้เสียงข้างมากในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหลักการสำคัญๆ คนไทยก็จะต้องถามว่า เราพร้อมจะให้ประเทศไทยเปลี่ยนสถานะอย่างนั้นหรือไม่ เหมือนที่เยอรมนีประสบและนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าคนเยอรมันเป็นจำนวนหลายแสน รวมทั้งฆ่ายิว 6 ล้าน และทำให้คนในยุโรปตายไปในการเข้าสงคราม รวมทั้งเอเชีย ประมาณ 50 กว่าล้าน การเปลี่ยนสถานะประเทศไทยโดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ผมคิดว่าประชาชนทุกหมู่เหล่าจะออกมา พันธมิตรฯ แน่นอน เราก็บอกว่าเราจะต่อต้านทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นอย่าไปกังวลว่าคราวนี้จะต้องให้พันธมิตรฯ ออกก่อน ผมเชื่อว่าคราวนี้พันธมิตรฯ ไม่ต้องออกก่อนหรอกครับ แต่กลุ่มต่างๆ กำลังจะเกิดขึ้นตามมา และผมคิดว่ากลุ่มต่างๆ นั้นก็จะประกาศการต่อสู้ตามกรอบของรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ครับ

จำลอง - คำถามนี้ จำได้ไหมครับในวันที่เราประชุมที่นี่ ครั้งแรกในรอบสองนี้ ผมก็บอกแล้วบอกอีกนะครับ ในฐานะที่เป็นคนที่คุ้นเคยกับการชุมนุมมานักต่อนักแล้ว ว่าการชุมนุมมันไม่ใช่เรื่องน่าสุนทรีย์ มันต้องเป็นด้วยความจำเป็นจริงๆ เราถึงจะออกไป คราวนี้ก็อีกเช่นกันนะครับ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ตั้งหน้าตั้งตาจะไปชุมนุม ตั้งหน้าตั้งตาจะไปเดินขบวน มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

สนธิ - ท่านสื่อมวลชนครับ เมื่อกี้นี้ผมได้พูดออกไปประโยคหนึ่งอยากให้ท่านตั้งใจฟังให้ดีๆ นั่นก็คือว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีนัยที่ลึกซึ้งมาก มันมีความหมายอยู่มากมายที่เราคาดไม่ถึง คือการแก้รัฐธรรมนูญทำได้ 2 ลักษณะ ที่ถูก ที่ควรจะทำ ก็คือว่า ถามประชาชนก่อน ทดสอบ ตั้งกรรมาธิการ ใช้เวลาพิจารณาดูข้อดีข้อเสีย เท่าที่ผมทราบมา เมื่อวานนี้ พรรคพลังประชาชนมีมติภายในว่าจะทำให้เสร็จภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ เพราะฉะนั้นการกระทำเช่นนี้มีนัยที่น่ากลัวมาก เพราะว่าถ้าสามารถที่จะหักดิบแบบนี้ได้ อีกหน่อยวันดีคืนดีใครก็ตาม เอาเงินมาซื้อเสียง เข้ามามีเสียงข้างมากในสภา อยากจะขอแก้รัฐธรรมนูญหมวดกษัตริย์บ้างล่ะ ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วเนื่องจากไม่เคยฟัง ไม่มีการฟัง ไม่มีการพิจารณา ไม่มีการขอความเห็น ไม่มีการเอาเข้าสภามาถกเถียงกัน จะทำให้เสร็จภายใน 30 วันใครจะทำไม เพราะว่าผมมีเสียงข้างมาก อันตรายมากนะครับ

อันที่ 2 วันดีคืนดี พอแก้รัฐธรรมนูญนี้เสร็จเรียบร้อย อาจจะแก้ต่อว่า จากนี้ไปให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบประธานาธิบดี ให้เลือกประธานาธิบดีคนเดียวพอ แล้วประธานาธิบดีเข้ามา เอาเสียงข้างมาก รากหญ้าที่ไหน ใครคุมอีสาน ใครคุมเหนือได้ ก็เอาอีสานเครือข่ายลงให้ อาจจะเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ ถ้าเกิดแกหลุดจากคดีเพราะว่า 309 ไม่มีแล้ว แกก็จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศไทย ทุกอย่างมันเป็นไปได้หมด มันเป็นไปได้ตรงที่ว่า เนื่องจากการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการแก้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกๆ ครั้งการแก้รัฐธรรมนูญต้องแก้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และการแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น ต้องมาจากการปรึกษาหารือกับพรรคฝ่ายค้าน แสดงเวทีประชาพิจารณ์ ให้นักวิชาการต่างๆ ได้ออกสื่อมวลชนมาถกเถียงกันเรื่องราวต่างๆ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แล้วค่อยหาข้อยุติ นั่นคือวิถีทางที่เป็นหลักที่ถูกต้อง แต่นี่ไม่ใช่ เมื่อไม่ใช่ก็อดให้เราคิดไม่ได้ว่า อีกหน่อยพวกคุณก็สามารถจะหักดิบแก้หมวดกษัตริย์ได้ แก้ให้ไม่มีนายกรัฐมนตรีแล้วเป็นประธานาธิบดีได้ คุณอาจจะมาโต้เถียง อาจจะใช้คนเก่ง ปากเก่ง เถียงเก่ง แต่ว่าการกระทำมันส่อเจตนาว่า โอกาสคุณจะทำเช่นนั้นก็มีเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วนัยตรงนี้อันตรายมาก ที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า ถ้าปล่อยให้แก้รัฐธรรมนูญได้ นี่คือจุดจบของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

จำลอง - มีหลักคิดง่ายๆ นะครับสำหรับประชาชนทั่วๆ ไป ว่าวันนี้มันได้เกิดเป็น 2 ฝ่ายขึ้นแล้ว คือฝ่ายหนึ่งจะแก้รัฐธรรมนูญมาตราสำคัญๆ กับอีกฝ่ายหนึ่งจะต่อต้านคัดค้าน ประชาชนต้องพิจารณาดูนะครับว่า ใครทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ใครทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เรามั่นใจนะครับว่า ผู้ที่ออกไปคัดค้านไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน ชื่อใดก็ตาม ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยแท้ ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพราะฉะนั้นประชาชนตัดสินใจได้ครับว่าจะอยู่ข้างไหน

วีระ - วันนี้ผมว่าสังคมไทยคงต้องชัดเจนนะครับว่าเราจะแก้วิกฤตของชาติครั้งนี้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรืออีกฝ่ายหนึ่งจะใช้วิธีที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จกลับมา เพื่อมาลบล้างความผิดของตัวเอง ผมว่าพี่น้องประชาชนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองคงได้ประจักษ์ชัดมาโดยตลอด ก็คงต้องขอฝากพี่น้องสื่อมวลชน กรุณานำเสนอข่าวสารทุกด้าน ผมว่าตอนนี้สังคมไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการจะวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง แล้วเมื่อนั้นเมื่อความจริง และความชัดเจนทุกอย่างที่สื่อมวลชนได้กรุณานำเสนอ จะทำให้พี่น้องคนไทยสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ต้องขอฝากพี่น้องสื่อมวลชนด้วยครับ












กำลังโหลดความคิดเห็น