ผู้จัดการรายวัน - สรรพากรเล็งสอบรายได้โรงสี หลังพบ "แจ้งราคา-ปริมาณซื้อข้าว" ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งตัวเลขรับซื้อจากชาวนาและตัวเลขขายให้ผู้ส่งออก ฟันกำไรส่วนต่างอื้อ พร้อมแฉเล่ห์ขบวนการตกแต่งบัญชีหลีกเลี่ยงภาษี ใช้ตัวกลางหรือ "หยง" แจ้งราคาเท็จ ชี้หากคำนวณจากตัวเลขส่งออกข้าวตั้งแต่ต้นปีจะเก็บภาษีได้ถึง 1.5 พันล้าน ด้าน รมว.พาณิชย์เงา อัด "เจ๊มิ่ง" ป่วน-ปั่นวงการข้าว เกษรตรกรเสียประโยชน์ พิรุธนโยบายขายระบบพิเศษเอื้อให้บริษัทที่ประวัติฉาวเปิดตัวใหม่มารับงาน
นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการตรวจสอบการยื่นแบบแสดงรายได้เพื่อเสียภาษีนิติบุคคลของโรงสีข้าว เนื่องจากในปัจจุบันราคาข้าวเปลือกและข้าวสารได้ปรับตัวขึ้นสูงจากเดิมมาก โดยจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าโรงสีบางแห่งแจ้งปริมาณและราคาการรับซื้อข้าวจากชาวนาในอัตราที่สูงกว่าความเป็นจริง ขณะเดียวกันแสดงตัวเลขการขายข้าวให้กับผู้ส่งออกในปริมาณที่ต่ำกว่า ซึ่งกรณีนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการสอบทานข้อมูลกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อหาตัวเลขการซื้อขายข้าวที่แท้จริงของโรงสี
“ราคาข้าวตั้งแต่ต้นปีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาตลอดทำให้โรงสีบางแห่งฉวยโอกาสในช่วงนี้แจ้งราคาการซื้อขายที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงโดยแจ้งตัวเลขการซื้อข้าวจากชาวนาที่สูงและราคาขายที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีรายได้น้อย ทั้งๆ ที่ราคาตลาดไม่เป็นไปตามทิศทางดังกล่าว เมื่อดูตัวเลขการส่งออกข้าวสารของกระทรวงพาณิชย์เปรียบเทียบกับการแจ้งราคารับซื้อข้าวจากชาวนาจึงเห็นว่าโรงสีน่าจะมีกำไรมากกว่าที่แจ้งไว้ ดังนั้น กรมสรรพากรจึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดเพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” นายศานิตกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบข้อมูลของกรมสรรพากรในเบื้องต้นพบว่าปริมาณส่งออกข้าวของไทยที่รายงานต่อกระทรวงพาณิชย์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มีปริมาณสูงถึง 4.07 ล้านตัน คิดเป็นรายได้เข้าประเทศประมาณ 1,913 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินไทยมูลค่าประมาณ 6 หมื่นกว่าล้านบาท และเพียงครึ่งเดือนพฤษภาคมประเทศไทยส่งออกข้าวแล้วประมาณ 7 แสนล้านตัน คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรวมตั้งแต่ต้นปีสูงถึงเกือบ 1 แสนล้านบาท
“เมื่อคำนวณอัตราภาษีการส่งออกข้าวในเบื้องต้นที่มีมูลค่าการส่งออกตั้งแต่ต้นปีประมาณ 1 แสนล้านบาทนั้นจะพบว่าเมื่อหักต้นทุนการดำเนินการทั้งหมดแล้วผู้ส่งออกจะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 5% หรือประมาณ 5 พันล้านบาท จะต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล 30%ของกำไรดังกล่าว ในส่วนของโรงสีนั้นกรมสรรพากรต้องเข้าไปตรวจสอบในเชิงลึกอีกครั้งโดยนำตัวเลขการส่งออกทั้งหมดเทียบกับปริมาณการรับซื้อข้าวจากโรงสีก็จะสามารถคำนวณรายได้ที่แท้จริงของโรงสีและจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง” รายงนข่าวระบุ
แหล่งข่าวกรมสรรพากร อธิบายว่า วิธีการที่ผู้ส่งออกและโรงสีร่วมมือกันในลักษณะการตกแต่งบัญชี เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสรรพากรจะใช้ตัวกลางที่รับซื้อข้าวระหว่างชาวนาและผู้ส่งออกที่เรียกว่า “หยง” เป็นผู้รับซื้อข้าวจากชาวนา โดยจะแจ้งราคารับซื้อสูงกว่าราคากลางของรัฐบาลและขายให้กับผู้ส่งออกในราคาที่สูงว่าราคาตลาด ซึ่งการดำเนินการของหยงจะมีหลายรูปแบบแต่ที่นิยมกันมากจะจดทะเบียนเป็นสหกรณ์การเกษตรให้ไม่ต้องเสียภาษีโดยไม่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มบุคคลซึ่งรายชื่อของคน 1 คนอาจอยู่ในหลายๆ กลุ่มบุคคลได้ และกลุ่มบุคคลนี้จะทำหน้าที่ซื้อข้าวจากชาวนาและขายต่อให้กับผู้ส่งออก โดยจะกำหนดวงเงินการขายแต่ละครั้งไม่ให้เกินเพดานการเสียภาษีนิติบุคคลซึ่งวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเช่นกันแม้ว่าจะโดนค่าปรับบ้างแต่เมื่อเทียบกับกำไรจากส่วนต่างราคาข้าวที่ได้แล้วถือว่าคุ้มจึงมีกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย
โดยในระยะนี้กรมสรรพกรได้ออกประกาศเตือนบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิและสมาคม ที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ต้องยื่นแบบภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 และ ภ.ง.ด.55 และชำระภาษี(ถ้ามี) ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่ก็ตามภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งปีพ.ศ. 2551 เป็นปีอธิกสุรทิน(เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน) ทำให้วันสุดท้ายของการยื่นแบบฯเป็นวันที่ 29 พฤษภาคม 2551
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษี โดยสามารถยื่นแบบฯ ได้ ทั้งทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ ww.rd.go.th หรือยื่นแบบฯ ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือที่ธนาคารพาณิชย์ในท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 นี้
สำหรับการยื่นแบบฯผ่านอินเทอร์เน็ตไม่ต้องแนบเอกสารใดๆ จะช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้เสียภาษียื่นแบบฯ และชำระภาษีให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยของกรมสรรพากร ช่วยให้กรมฯ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและช่วยวิเคราะห์สถานะการเสียภาษีได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
รมว.พาณิชย์เงาดักคอมิ่งปลุกผีข้าว
นายเกียรติ สิทธีอมร รมว.พาณิชย์เงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ได้เปลี่ยนโอกาสเกี่ยวกับราคาข้าวให้เป็นวิกฤตโดยไม่รู้ตัว ด้วยการเคลื่อนไหวที่น่าเป็นห่วง ทำให้คนในวงการข้าวสับสน ไม่มั่นใจนโยบายรัฐบาล ทำให้ตลาดในประเทศปั่นป่วน และราคาตกต่ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่ต่างประเทศไม่มั่นใจในรัฐบาลไทย ด้านเกษตรกรถูกกดราคา และบุคคลในวงการข้าว ไม่ไว้วางใจรัฐบาล นอกจากนั้นยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และพยายามปั่นราคาข้าวว่า มีคำสั่งซื้ออยู่ในมือ 6.7 ล้านตัน ปรากฏว่า ในวงการข้าวไม่มีใครเชื่อเลย
"เพราะถ้าเป็นอย่างที่รัฐบาลพูดจริง ก็จะไม่มีข้าวพอขายในระเทศ และไม่มีประเทศไหนสั่งซื้อเป็นออร์เดอร์ใหญ่ นอกจากนี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง กับนายมิ่งขวัญ ได้ประกาศซื้อข้าวจากเกษตรกรโดยตรง และจะส่งออกต่างประเทศโดยขายในระบบพิเศษ ซึ่งคนในวงการข้าวสับสนกันมาก จึงอยากเตือนรัฐมนตรีว่า อย่าเล่นแต่ข่าวสร้างความสับสน ควรไปตรวจสอบเพราะไม่มีใครเชื่อที่บอกว่า มีออร์เดอร์ 6.7 ล้านตัน นอกจากนี้มีบริษัทที่มีประวัติไม่ดีปิดตัวลง และจะมาเปิดบริษัทใหม่ เพื่อรับออร์เดอร์ วิธีพิเศษนี้หรือเปล่า เพื่อให้กับคนพิเศษใช่หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลต้องตอบคำถามนี้"
นายเกียรติ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลไม่สามารถนำข้าวมาสีเองได้ทั้งหมดโดยพฤติกรรมของนายมิ่งขวัญ นำพารัฐบาลไปสู่กับดักของตัวเอง กำลังแข่งและแย่งกับเอกชน ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง โดย 1.เปิดเผยความจริงว่าใครเป็นคนสั่งซื้อ และออเดอร์ดังกล่าวราคาเท่าไหร่ 2.อยากให้ประกาศชัดเจนว่า ข้าวถุงธงฟ้าทำปริมาณเท่าไร และจัดการกับสต็อก ที่เหลืออย่างไร 3.รัฐบาลต้องชัดเจนว่า การซื้อข้าวเปลือกกับเกษตรกรโดยตรง จะซื้อที่ไหน เป็นจำนวนเท่าไร และที่บอกว่าจะส่งขายในระบบพิเศษ คืออะไร 4 .เลิกแนวคิดเอ็งไม่ทำ ข้าทำเอง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องสนับสนุนแก้ปัญหาให้กับคนทุกกลุ่ม 5 อย่ามีทัศนคติไม่ดีกับคนที่ไม่เห็นด้วย ถ้าไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทบทวนตัวเอง ก็จะทำให้รัฐบาลทำโอกาสให้ไปสู่วิกฤต โดยไม่รู้ตัว
นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการตรวจสอบการยื่นแบบแสดงรายได้เพื่อเสียภาษีนิติบุคคลของโรงสีข้าว เนื่องจากในปัจจุบันราคาข้าวเปลือกและข้าวสารได้ปรับตัวขึ้นสูงจากเดิมมาก โดยจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าโรงสีบางแห่งแจ้งปริมาณและราคาการรับซื้อข้าวจากชาวนาในอัตราที่สูงกว่าความเป็นจริง ขณะเดียวกันแสดงตัวเลขการขายข้าวให้กับผู้ส่งออกในปริมาณที่ต่ำกว่า ซึ่งกรณีนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการสอบทานข้อมูลกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อหาตัวเลขการซื้อขายข้าวที่แท้จริงของโรงสี
“ราคาข้าวตั้งแต่ต้นปีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาตลอดทำให้โรงสีบางแห่งฉวยโอกาสในช่วงนี้แจ้งราคาการซื้อขายที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงโดยแจ้งตัวเลขการซื้อข้าวจากชาวนาที่สูงและราคาขายที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีรายได้น้อย ทั้งๆ ที่ราคาตลาดไม่เป็นไปตามทิศทางดังกล่าว เมื่อดูตัวเลขการส่งออกข้าวสารของกระทรวงพาณิชย์เปรียบเทียบกับการแจ้งราคารับซื้อข้าวจากชาวนาจึงเห็นว่าโรงสีน่าจะมีกำไรมากกว่าที่แจ้งไว้ ดังนั้น กรมสรรพากรจึงต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวดเพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” นายศานิตกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบข้อมูลของกรมสรรพากรในเบื้องต้นพบว่าปริมาณส่งออกข้าวของไทยที่รายงานต่อกระทรวงพาณิชย์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้มีปริมาณสูงถึง 4.07 ล้านตัน คิดเป็นรายได้เข้าประเทศประมาณ 1,913 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินไทยมูลค่าประมาณ 6 หมื่นกว่าล้านบาท และเพียงครึ่งเดือนพฤษภาคมประเทศไทยส่งออกข้าวแล้วประมาณ 7 แสนล้านตัน คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรวมตั้งแต่ต้นปีสูงถึงเกือบ 1 แสนล้านบาท
“เมื่อคำนวณอัตราภาษีการส่งออกข้าวในเบื้องต้นที่มีมูลค่าการส่งออกตั้งแต่ต้นปีประมาณ 1 แสนล้านบาทนั้นจะพบว่าเมื่อหักต้นทุนการดำเนินการทั้งหมดแล้วผู้ส่งออกจะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 5% หรือประมาณ 5 พันล้านบาท จะต้องชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล 30%ของกำไรดังกล่าว ในส่วนของโรงสีนั้นกรมสรรพากรต้องเข้าไปตรวจสอบในเชิงลึกอีกครั้งโดยนำตัวเลขการส่งออกทั้งหมดเทียบกับปริมาณการรับซื้อข้าวจากโรงสีก็จะสามารถคำนวณรายได้ที่แท้จริงของโรงสีและจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง” รายงนข่าวระบุ
แหล่งข่าวกรมสรรพากร อธิบายว่า วิธีการที่ผู้ส่งออกและโรงสีร่วมมือกันในลักษณะการตกแต่งบัญชี เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีสรรพากรจะใช้ตัวกลางที่รับซื้อข้าวระหว่างชาวนาและผู้ส่งออกที่เรียกว่า “หยง” เป็นผู้รับซื้อข้าวจากชาวนา โดยจะแจ้งราคารับซื้อสูงกว่าราคากลางของรัฐบาลและขายให้กับผู้ส่งออกในราคาที่สูงว่าราคาตลาด ซึ่งการดำเนินการของหยงจะมีหลายรูปแบบแต่ที่นิยมกันมากจะจดทะเบียนเป็นสหกรณ์การเกษตรให้ไม่ต้องเสียภาษีโดยไม่ผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มบุคคลซึ่งรายชื่อของคน 1 คนอาจอยู่ในหลายๆ กลุ่มบุคคลได้ และกลุ่มบุคคลนี้จะทำหน้าที่ซื้อข้าวจากชาวนาและขายต่อให้กับผู้ส่งออก โดยจะกำหนดวงเงินการขายแต่ละครั้งไม่ให้เกินเพดานการเสียภาษีนิติบุคคลซึ่งวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเช่นกันแม้ว่าจะโดนค่าปรับบ้างแต่เมื่อเทียบกับกำไรจากส่วนต่างราคาข้าวที่ได้แล้วถือว่าคุ้มจึงมีกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย
โดยในระยะนี้กรมสรรพกรได้ออกประกาศเตือนบริษัท ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มูลนิธิและสมาคม ที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ต้องยื่นแบบภ.ง.ด.50 ภ.ง.ด.52 และ ภ.ง.ด.55 และชำระภาษี(ถ้ามี) ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่ก็ตามภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งปีพ.ศ. 2551 เป็นปีอธิกสุรทิน(เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน) ทำให้วันสุดท้ายของการยื่นแบบฯเป็นวันที่ 29 พฤษภาคม 2551
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษี โดยสามารถยื่นแบบฯ ได้ ทั้งทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์ ww.rd.go.th หรือยื่นแบบฯ ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือที่ธนาคารพาณิชย์ในท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 นี้
สำหรับการยื่นแบบฯผ่านอินเทอร์เน็ตไม่ต้องแนบเอกสารใดๆ จะช่วยให้ผู้เสียภาษีได้รับความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้เสียภาษียื่นแบบฯ และชำระภาษีให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยของกรมสรรพากร ช่วยให้กรมฯ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและช่วยวิเคราะห์สถานะการเสียภาษีได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
รมว.พาณิชย์เงาดักคอมิ่งปลุกผีข้าว
นายเกียรติ สิทธีอมร รมว.พาณิชย์เงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ได้เปลี่ยนโอกาสเกี่ยวกับราคาข้าวให้เป็นวิกฤตโดยไม่รู้ตัว ด้วยการเคลื่อนไหวที่น่าเป็นห่วง ทำให้คนในวงการข้าวสับสน ไม่มั่นใจนโยบายรัฐบาล ทำให้ตลาดในประเทศปั่นป่วน และราคาตกต่ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่ต่างประเทศไม่มั่นใจในรัฐบาลไทย ด้านเกษตรกรถูกกดราคา และบุคคลในวงการข้าว ไม่ไว้วางใจรัฐบาล นอกจากนั้นยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และพยายามปั่นราคาข้าวว่า มีคำสั่งซื้ออยู่ในมือ 6.7 ล้านตัน ปรากฏว่า ในวงการข้าวไม่มีใครเชื่อเลย
"เพราะถ้าเป็นอย่างที่รัฐบาลพูดจริง ก็จะไม่มีข้าวพอขายในระเทศ และไม่มีประเทศไหนสั่งซื้อเป็นออร์เดอร์ใหญ่ นอกจากนี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง กับนายมิ่งขวัญ ได้ประกาศซื้อข้าวจากเกษตรกรโดยตรง และจะส่งออกต่างประเทศโดยขายในระบบพิเศษ ซึ่งคนในวงการข้าวสับสนกันมาก จึงอยากเตือนรัฐมนตรีว่า อย่าเล่นแต่ข่าวสร้างความสับสน ควรไปตรวจสอบเพราะไม่มีใครเชื่อที่บอกว่า มีออร์เดอร์ 6.7 ล้านตัน นอกจากนี้มีบริษัทที่มีประวัติไม่ดีปิดตัวลง และจะมาเปิดบริษัทใหม่ เพื่อรับออร์เดอร์ วิธีพิเศษนี้หรือเปล่า เพื่อให้กับคนพิเศษใช่หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลต้องตอบคำถามนี้"
นายเกียรติ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลไม่สามารถนำข้าวมาสีเองได้ทั้งหมดโดยพฤติกรรมของนายมิ่งขวัญ นำพารัฐบาลไปสู่กับดักของตัวเอง กำลังแข่งและแย่งกับเอกชน ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง โดย 1.เปิดเผยความจริงว่าใครเป็นคนสั่งซื้อ และออเดอร์ดังกล่าวราคาเท่าไหร่ 2.อยากให้ประกาศชัดเจนว่า ข้าวถุงธงฟ้าทำปริมาณเท่าไร และจัดการกับสต็อก ที่เหลืออย่างไร 3.รัฐบาลต้องชัดเจนว่า การซื้อข้าวเปลือกกับเกษตรกรโดยตรง จะซื้อที่ไหน เป็นจำนวนเท่าไร และที่บอกว่าจะส่งขายในระบบพิเศษ คืออะไร 4 .เลิกแนวคิดเอ็งไม่ทำ ข้าทำเอง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องสนับสนุนแก้ปัญหาให้กับคนทุกกลุ่ม 5 อย่ามีทัศนคติไม่ดีกับคนที่ไม่เห็นด้วย ถ้าไม่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทบทวนตัวเอง ก็จะทำให้รัฐบาลทำโอกาสให้ไปสู่วิกฤต โดยไม่รู้ตัว