xs
xsm
sm
md
lg

ป.ป.ช.ภาคประชาชน ร้อง ปธ.สว.สอบขบวนการโกงภาษีเงินได้ 2.4 หมื่นล้าน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ป.ป.ช.ภาคประชาชน จี้ประธานวุฒิสภาสอบ “ปลัดคลัง-สรรพากร-ดีเอสไอ” เมินสอบกรณีบริษัทสายไฟเลี่ยงภาษีเงินได้นับหมื่นล้าน โดย ส.ว.ขอนแก่นมีเอี่ยว เผยเตะถ่วงดองเรื่องร้องเรียนมานานกว่า 8 ปี แถมผู้ร้องกลับถูกกลั่นแกล้งตรวจสอบภาษีย้อนหลัง แถมโยกย้าย ขรก.ที่พยามยามตรวจสอบ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (10 เม.ย.) นายประเทือง ปรัชญพฤทธิ์ ประธาน ป.ป.ช.ภาคประชาชน พร้อมด้วย นายชุมพล ดารากร ณ อยุธยา รองประธาน ป.ป.ช.ภาคประชาชน และคณะได้เข้าพบ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้มีการสอบสวนกรณีข้าราชการหลายหน่วยงาน ส่อเจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลและนิติบุคคลที่มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าหลบเลี่ยงภาษีเงินได้จากรายได้ในช่วงที่ตรวจพบรวมทั้งสิ้นกว่า 24,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากข้อร้องเรียนของ นายธานี แดงพวงไพบูลย์ รองเลขานุการ ป.ป.ช.ภาคประชาชน ในฐานะผู้ตรวจพบและเกาะติดเบาะแสการทุจริตภาษีเงินได้ของผู้บริหารกลุ่มบริษัทผู้ผลิตสายไฟรายใหญ่กับบริษัทคู่ค้า โดยเฉพาะ บริษัท เดอะควอลีตี้ไวร์ จำกัด ของนายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีรายได้กว่า 14,000 ล้านบาท โดยคณะทำงานกฎหมาย ป.ป.ช.ภาคประชาชน ได้พิจารณาข้อร้องเรียนและหลักฐานประกอบจำนวนมากแล้วเห็นว่า ข้อร้องเรียนมีมูลน่าเชื่อได้ว่ามีการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้จริง และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง มีพฤติการณ์ส่อในทางละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงขอให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อนำไปสู่การดำเนินการต่อผู้กระทำผิด และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐจำนวนมหาศาลในระบบภาษี เนื่องจากเป็นที่น่าเชื่อว่าขบวนการหลบเลี่ยงภาษีของกลุ่มบุคคลและนิติบุคคลตามข้อร้องเรียน คือกรณีศึกษารูปแบบวิธีการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ที่ดำรงอยู่ในระบบภาษีของประเทศ

ที่ผ่านมาผู้ร้องได้แจ้งเบาะแสกรณีนี้ต่อบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวาง อาทิ ในปี 2544 ได้แจ้งต่อนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรมสรรพากร (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง) ระบุว่าหลักฐานของผู้ร้อง (จำนวนกว่า 4,000 แผ่น) มีความชัดเจนมาก กรมสรรพากรจะดำเนินการตรวจสอบการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ตามข้อร้องเรียน แต่ปรากฏว่ากรมสรรพากรกลับดำเนินการอย่างไม่โปร่งใส ส่อเจตนาเลือกปฏิบัติ และช่วยเหลือผู้กระทำผิด ตลอดจนกลั่นแกล้งผู้ร้องโดยการสอบภาษีย้อนหลังอย่างไม่มีมูล และโยกย้ายข้าราชการกรมสรรพากรที่พยายามจะรักษาผลประโยชน์ของรัฐตามข้อร้องเรียน นอกจากนี้ยังมีอำนาจมืดแทรกแซงกดดันไม่ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับข้อร้องเรียนเข้าสู่กระบวนการสอบสวน

อนึ่ง ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา (ชุดแรก) ซึ่งมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธาน ได้รับข้อร้องเรียนนี้เข้าสู่การพิจารณา แต่ปรากฏว่าอธิบดีกรมสรรพากร (ขณะนั้น) บ่ายเบี่ยงในการเข้าชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ หลายครั้งจนกระทั่งวุฒิสภาหมดวาระลง

**มหากาพย์โคตรโกง

สำหรับกรณีนี้ สืบเนื่องมาจากนายธานี แดงพวงไพบูลย์ อดีตผู้จัดการโรงงาน ห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรม ถูกเลิกจ้างเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2540 จึงได้ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรม ต่อศาลแรงงานกลางกรุงเทพฯ ในคดีเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ในระหว่างที่ทำการนำสืบคดีที่ศาลแรงงานกลาง นายธานีได้ทำการตรวจสอบและค้นหาหลักฐานต่างๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้คดีที่นายธานีได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายกับทางห้างฯ และได้พบหลักฐานและเอกสารต่างๆ จำนวนมาก ที่แสดงให้เห็นว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรม ได้หลบเลี่ยงภาษีเงินได้เป็นจำนวนมหาศาล

นายธานีได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่อง การหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรม ต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล) เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2541 กรมสรรพากรได้ดำเนินการตรวจสอบจนพบว่าได้มีการหลบเลี่ยงภาษีจริง จึงได้ดำเนินการประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลกับทางห้างฯ เป็นเงินกว่า 200 ล้านบาท และได้ดำเนินการฟ้องห้างฯ ต่อศาลภาษีอากรกลางเมื่อปี 2543 ที่สุดศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษา คดีหมายเลขแดงที่ 314-315/2544 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2544 ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรม ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงินมากกว่า 240 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างที่ห้างฯ ยื่นอุทธรณ์ภาษีอยู่

**พบยอดเงิน 2.47 หมื่นล้าน ส่อเลี่ยงภาษี

นอกจากกรณีการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรมแล้ว ในระหว่างที่นายธานีได้ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรมที่ศาลแรงงานกลางอยู่นั้น ได้ตรวจพบหลักฐานการโอนถ่ายเงินจำนวนมหาศาล ที่น่าจะเข้าข่ายการฟอกเงินและหลบเลี่ยงภาษี ของกลุ่มบุคคลธรรมดาจำนวน 14 คน ที่มีความเกี่ยวข้องกับห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.นายเลี้ยง แซ่ลี้ ที่เปลี่ยนชื่อเป็นนายกฤตพสิษฐ์ ลีลาธุวานนท์ 2.นายบุญชัย ลีลารัศมีพาณิชย์ 3.นายวิสันต์ โกวิทสิทธินันท์ 4.นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ (ส.ว.ขอนแก่นปัจจุบัน) 5.นายไพรัชต์ ชูชินวัตร 6.นายไพศิษย์ ชูชินวัตร 7.นายไพโรจน์ ชูชินวัตร 8.นายวิทิต ทัฬหิกรณ์เจริญ 9.นายสุนาม ตันติโสภณวรกิจ 10.นางบุญศิริ ตันติโสภณวรกิจ 11.นายเจริญ มั่นคงพาณิชย์ (ชื่อเดิมนายสุเทพ แซ่ลี้) 12.นายเชาวลิต แพร่ศรีตระกูล 13.นายวิเชียร เตชะทัศนสุนทร 14.นายวีระ วนาฤทธิกุล

และนิติบุคคลอีก 8 ราย ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สายไฟไทยอุตสาหกรรม บริษัท สายไฟไทยอุตสาหกรรม (1992) จำกัด บริษัท สยามไทยอินเตอร์เคเบิ้ล จำกัด บริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เทค จำกัด บริษัท เอส ซี เอช อินดัสทรี่ส์ จำกัด บริษัท เดอะควอลิตี้ไวร์ จำกัด บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เมตัล อินดัสตรี จำกัด บริษัท ศรีเทพไทยเคมี จำกัด

จากการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลพบการเคลื่อนไหวเงินเข้า-ออกบัญชีธนาคาร ของบุคคลบางคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปี 2533 พบว่า นายวิสันต์ โกวิทสิทธินันท์ มีเงินเข้าบัญชีธนาคารรวมยอดทั้งหมด 1,624,363,973.23 บาท นายเลี้ยง ลีลาธุวานนท์ ( แซ่ลี้ ) มียอดเงินเข้าบัญชีทั้งหมด 8,263,046,061.60 บาท 3.นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ มีเงินเข้าบัญชีทั้งหมด 8,561,548,735.39 บาท 4. บริษัท เดอะควอลีตี้ไวร์ จำกัด มีเงินเข้าบัญชี ทั้งหมด 6,321,753,510.65 บาท (รวมยอดเงินในส่วนที่เกี่ยวกับนายประเสริฐ และ บริษัท เดอะควอลีตี้ไวร์ จำกัด ที่นายประเสริฐมีส่วนเกี่ยวข้อง 14,883,302,246.04 บาท)

เมื่อรวมยอดเงินเข้าบัญชีของ นายวิสันต์ โกวิทสิทธินันท์, นายเลี้ยง ลีลาธุวานนท์, นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ และบริษัท เดอะควอลีตี้ไวร์ จำกัด ซึ่งเป็นบุคคลเพียง 3 คน จากกลุ่มบุคคลที่หลบเลี่ยงภาษีจำนวน 14 คน และนิติบุคคลเพียง 1 นิติบุคคล จากกลุ่มนิติบุคคลที่หลบเลี่ยงภาษีจำนวน 8 นิติบุคคล ทำให้ตรวจพบความไม่ปกติของยอดเงินผ่านเข้าบัญชีธนาคารรวมเป็นเงินทั้งหมด 24,770,712,280.87 บาท ( สองหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบล้านเจ็ดแสนหนึ่งหมื่นสองพันสองร้อยแปดสิบบาทแปดสิบเจ็ดสตางค์ )

**บิ๊กสรรพากรเมินชี้แจง

วันที่ 27 มีนาคม 2543 และวันที่ 7 มิถุนายน 2543 นายธานีได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีกลุ่มบุคคล และนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับห้างฯ ต่อนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรมสรรพากร สรรพากรภาค และสรรพากรพื้นที่ต่างๆ แต่ปรากฏว่ากรมสรรพากรนั้นไม่ได้ทำการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนของนายธานีแต่อย่างใด

ต่อมานายธานี ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีดังกล่าวถึง พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต วุฒิสภา เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2545 คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ทำการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนดังกล่าว โดยได้ขอเชิญนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้น มาชี้แจงหลายครั้ง และขอหลักฐานแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2535 -2545 ของกลุ่มบุคคลดังกล่าว แต่ปรากฏว่าอธิบดีกรมสรรพากรไม่เคยมาชี้แจง และไม่เคยส่งหลักฐาน ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขอไปเลย

นอกจากนั้นนายธานียังได้ทำการร้องเรียนเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีดังกล่าว ต่อหน่วยงานต่างๆ ของรัฐอีกหลายครั้ง แต่ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ จนกระทั่งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองในวันที่ 19 กันยายน 2549 นายธานีได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ดังกล่าว และการไม่ปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากร ต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 และมีการยื่นหนังสือสอบถามความคืบหน้าหลายครั้ง

ต่อมานายธานีได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้ดังกล่าว ถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม(นายจรัญ ภักดีธนากุล ) ตามหนังสือฉบับลงวันที่ 23 ตุลาคม 2549 และถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (นายสุนัย มโนมันอุดม ) ตามหนังสือฉบับลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 และในวันที่ 14 มีนาคม 2550 นายธานีได้มีเข้าพบปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อชี้แจงและแสดงหลักฐานการหลบเลี่ยงภาษีจำนวนมากกว่า 6,000 แผ่น จนในวันที่ 23 มีนาคม 2550 คณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติรับเรื่องร้องเรียนของนายธานีเป็นคดีพิเศษ

นอกจากนั้น คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริต และประพฤติมิชอบ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีหนังสือที่ สว(สนช)(กมธ2) 0010/4401 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2550 ขอเชิญนายธานีไปร่วมประชุมพร้อมทั้งนำหลักฐานการหลบเลี่ยงภาษีดังกล่าวไปแสดงด้วย

ต่อมา ในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2551 ปรากฏว่า นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ที่อยู่ในกลุ่มผู้ถูกร้องเรียนว่าหลบเลี่ยงภาษี ได้ลงสมัครและได้รับการเลือกตั้ง นายธานีจึงยื่นร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งดังกล่าวพร้อมส่งหลักฐานว่านายประเสริฐมีส่วนเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้ 1.4 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม กกต.ได้ยกคำร้องดังกล่าว และให้การรับรองนายประเสริฐ เป็น ส.ว. แต่ยังไม่ได้แจ้งผลให้นายธานีทราบ

**จับ “ชูชินวัตร”สังเวยเลี่ยงภาษี

อย่างไรก็ตาม สำหรับบุคคลที่มีรายชื่อถูกนายธานีร้องเรียนนั้น ปรากฏว่าคนในตระกูล “ชูชินวัตร” ไดถูกจับกุมดำเนินคดีแล้ว เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 50 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้จับกุมนายไพสิษฐ์ ชูชินวัตร นางอรวรรณ ชูชินวัตร และนายไพรัตน์ ชูชินวัตร ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้บริหาร หจก.สายไฟไทยอุตสาหกรรม ในข้อหาหลีกเลี่ยงภาษี ขณะที่ทั้งหมดออกจากบ้านไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ย่านบ้านบาตร เขตป้อมปราบ ศัตรูพ่าย กทม. โดยคดีนี้ ดีเอสไอ รับเรื่องจากกรมสรรพากร สืบสวนพฤติการณ์กลุ่มผู้ต้องหาร่วมกับพวก 18 คน ร่วมกันหลบเลี่ยงภาษีเวลานานกว่า 20 ปี รวมมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท

ต่อมาวันที่ 25 ธ.ค. 50 กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำตัวนายไพสิษฐ์ นางอรวรรณ ชูชินวัตร และนายไพรัตน์ ไปที่ศาลอาญา เพื่อขออำนาจศาลฝากขัง โดยคำร้องบรรยายว่า เมื่อต้นปี 2550 กรมสรรพากร ตรวจพบผู้ต้องหากับพวก มีพฤติการณ์ หลีกเลี่ยงการเสียภาษี โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ได้เปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวัน 2 บัญชี ที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาปู่เจ้าสมิงพราย และบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาปู่เจ้าสมิงพราย มีเงินนำฝากเข้าทั้ง 2 บัญชีในปี 2540 รวม 262 ล้านบาทเศษ และในปี 2541 รวม 121.8 ล้านบาทเศษ แต่กลับไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.94 และ 90 ผู้ต้องหาไม่สามารถนำหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่า เงินฝากถอนบัญชีดังกล่าวเป็นเงินรับจ่ายจากค่าอะไร เจ้าพนักงานจึงถือว่า เป็นผู้มีเงินได้แต่ไม่ยอมเสียภาษี ต้องเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง และเบี้ยปรับ ปี 2540 จำนวน 192,351,378 บาท และ ปี 2541 จำนวน 88,320,240 บาท

คำร้องระบุต่อว่า การกระทำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการจงใจไม่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี และไม่ให้ ข้อเท็จจริงแก่พนักงานประเมิน เป็นความผิดตามกฎหมาย ป.รัษฎากร มาตรา 37 ฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร โดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรือวิธีอื่นใดทำนองเดียวกัน เหตุเกิดที่แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และตำบลสำโรงกลาง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ



กำลังโหลดความคิดเห็น