xs
xsm
sm
md
lg

3 เดือนของรัฐบาลหุ่น 3 เดือนของความทุกข์ยาก!

เผยแพร่:   โดย: ราวี เวียงพยัคฆ์

การแต่งตั้งนายชัย ชิดชอบ ขึ้นเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรของเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เป็นการสะท้อนให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีเสียงส่วนใหญ่ คือ พรรคพลังประชาชน และมีพรรคการเมืองที่เป็นบริษัทบริวารอีกหลายต่อหลายพรรครวมกันเข้าจัดตั้งรัฐบาลหุ่น ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ได้อีนังขังขอบต่อเสียงทักท้วงของประชาชนที่เรียกร้องให้แต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสม มีความสง่างามเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแต่ประการใด

หากแต่พิจารณาว่า บุคคลคนนั้นจะสามารถรับใช้นายใหญ่ที่เป็นผู้ออกทุน ออกเงิน ให้พวกเขาชนะการเลือกตั้งหรือไม่เท่านั้นเอง

การที่รัฐบาลมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้นำ และฝ่ายนิติบัญญัติมีนายชัย ชิดชอบ เป็นประธานมองในแง่หนึ่งก็เหมาะสมกันดี เพราะผีเน่าก็ย่อมจะเหมาะกับโลงผุเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้

รัฐบาลหุ่นนายสมัคร สุนทรเวช บริหารบ้านเมืองมาครบ 3 เดือนแล้ว น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนยังมีความศรัทธาชื่นชมต่อรัฐบาลอยู่ แต่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ในความชื่นชมศรัทธาของประชาชนมาเลยแต่แรก เมื่อมีการสำรวจความนิยมจากประชาชน คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลหุ่นนี้จึงสอบตกยกชุด ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด คือ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ก็ได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง

ผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และนายสมัคร สุนทรเวช

ทั้งนี้เพราะ 3 เดือนของพวกเขาไม่ได้มีผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันที่จะทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ ในแต่ละวันพวกเขาคิด และทำเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกันนั้นก็บริหารบ้านเมืองอย่างที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการแสวงหาประโยชน์แก่พวกพ้อง และตนเองมากกว่าที่จะทำเพื่อประชาชน ทั้งนี้อาจจะเพราะพวกเขาตระหนักว่า เวลาที่ผ่านไปในแต่ละชั่วโมง แต่ละวัน แต่ละสัปดาห์นั้นเป็นเวลาที่พวกเขาจะหมดโอกาสลงทุกทีๆ

นายใหญ่ของพวกเขา คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เหลือเวลาน้อยลงทุกทีๆ หนทางที่เหลืออยู่ คือ การเดินขึ้นสู่ศาลสถิตยุติธรรมในหลายต่อหลายคดี แม้หลายต่อหลายคดีนั้น อัยการสูงสุดจะพิจารณาด้วยความสุขุมคัมภีรภาพเป็นพิเศษ ส่งให้ คตส. ตรวจสอบหรือทำสำนวนใหม่อีกครั้ง แต่หลายคดีก็ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลแล้ว

การที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่การถูกควบคุมตัว การประกันตัว และยังจะต้องถูกทนายความซักไซร้ไล่เลียง ย่อมเป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุดสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวที่เคยมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน มีเงินทองมากมายมหาศาล (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีแสดงทรัพย์สินแล้ว แม้นำมารวมกันก็ไม่ได้สักเสี้ยวที่ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือครองอยู่)

พวกเขาทำมาหากินกันอย่างไร จึงได้ร่ำรวยมหาศาลขนาดนี้?

เวลาที่เหลืออยู่น้อยเต็มทีนี้เอง พวกเขาจึงบริหารบ้านเมืองโดยที่ไม่ได้สนใจต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่สูงขึ้น ข้าวยากหมากแพงขึ้น หรือแม้ปัญหาของ 3 จังหวัดภาคใต้ที่ปะทุมาตั้งแต่สมัยที่นายใหญ่ของพวกเขาเป็นนายกรัฐมนตรี

งานที่พวกเขาถือเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ และจะต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หนึ่งเพราะพรรคพลังประชาชนที่พวกเขาสังกัดอยู่อาจจะถูกยุบ นายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง อีกหนึ่งเพราะคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว

พวกเขาคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้พรรคของพวกเขาพ้นผิด และเพื่อให้กรรมการบริหารพรรคไม่ต้องถูกลงโทษ และทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องขึ้นศาล (ทั้งที่แหกปากบอกชาวโลกว่า พร้อมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนในศาล)

ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายสมัคร สุนทรเวช บอกว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทีหลัง แต่ก็พลิกลิ้นเสียใหม่ว่าเป็นความจำเป็น เพราะมีการเขียนรัฐธรรมนูญเป็นกับดักเอาไว้เล่นงานพรรคพลังประชาชน ซึ่งประชาชนต่างก็รู้ว่าเป็นคำแก้ตัวอย่างหน้าด้านๆ เพราะบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 นั้น ใช้บังคับกับทุกพรรคการเมือง พรรคที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เป็นต้นว่า พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ขณะนี้ไม่ได้ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เขาก็ไม่ได้เดือดร้อน

มีที่เดือดร้อนอยู่ขณะนี้ก็แต่พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัฌชิมาฯ เท่านั้น เพราะมีกรรมการบริหารพรรคทำผิดจนกรรมการเลือกตั้งต้องพิจารณาให้ใบแดง และนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง

แม้ความจริงจะปรากฏเช่นนี้ นายสมัคร สุนทรเวช ก็ยังบอกว่า ไม่ได้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง หากแต่เป็นการแก้เพื่ออนาคต

ที่เขากล้าพูดโดยไม่อาย ก็เพราะเขาห่างไกลความอับอายขายหน้ามานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับปาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เขาใฝ่ฝันมาเป็นเวลาช้านาน นับตั้งแต่เข้าสู่การเมือง

โดยไม่สนใจเลยว่า เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นซึ่งไม่มีอำนาจแม้กระทั่งการเลือกสรรผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล จะขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดไหนอย่างไร นายสมัคร สุนทรเวช ก็ต้องยอมรับให้เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลเพราะนายใหญ่สั่งการมาอย่างนั้น

ด้วยเหตุนี้นี่เองรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลหุ่นของนายสมัคร สุนทรเวช จึงค่อนข้างขี้ริ้วขี้เหร่ อัปลักษณ์ จนกระทั่งนายสมัคร สุนทรเวช ก็ยังออกปากยอมรับ

ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงจึงได้เห็นหน้าตาของคนที่เป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช คือ คนที่จงรักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นนายจักรภพ เพ็ญแข นายนพดล ปัทมะ หรือกระทั่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

คนเหล่านี้พิสูจน์ให้ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงเห็นแล้วว่า จงรักภักดี ซื่อสัตย์ สุจริต และรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างสุดจิตสุดใจ คอยแก้ต่างออกรับในทุกเรื่อง ทุกกรณี

พวกเขาแสนรู้จริงๆ

3 เดือนของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จึงเป็น 3 เดือนที่ประชาชนคนไทยเผชิญกับภาวะข้าวยากหมากแพง ดิ้นรนขวนขวายเพื่อความอยู่รอด เพราะเครื่องอุปโภคบริโภคราคาสูงขึ้น ต้องซื้อข้าวแพงที่สุดตั้งแต่เกิดมา โดยที่ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้ตกถึงมือชาวนา เช่นเดียวกับต้องบริโภคน้ำตาลที่อยู่ๆ รัฐบาลก็ปล่อยให้ขึ้นราคาอีกกิโลกรัมละ 5 บาท โดยที่อ้อยไม่ได้อยู่ในมือของชาวไร่มาตั้งนานแล้ว

3 เดือนของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เราจึงเห็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้สนใจตัวบทกฎหมาย ทำผิดกฎหมาย ทั้งๆ ที่รู้ก็บอกว่าต้องรอให้ศาลพิจารณา เช่น กรณีของนายไชยา สะสมทรัพย์ หรือกว่าที่นายสุธา ชันแสง จะตัดสินใจลาออกก็ต่อเมื่อจนมุมเรื่องลูกสมรสที่ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สิน (ลำพังวุฒิการศึกษา ก็ยังพอที่จะหน้าด้านอยู่ต่อ)

3 เดือนของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จึงมีแต่ทุกข์ยากของประชาชน และมีแต่ความขัดแย้งจะปะทุขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น