ที่ประชุมพรรคพลังประชาชนปรบมือให้เกียรติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดที่มีข่าวว่าใช้เท้าถีบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้าน แทนที่จะรู้สึกละอาย ขายหน้า ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่เราได้เห็นพวกเขาบริหารบ้านเมือง หรือการใช้คำพูดคำจาของพวกเขาสำรากออกมาในแต่ละวันตั้งแต่คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีไปจนกระทั่งตัวเล็กตัวน้อยในพรรค
หรือการกระทำที่ไม่มีความละอาย เอาสีข้างเข้าถูไปอย่างน้ำขุ่นๆ เป็นต้นว่า ความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราสำคัญ คือมาตรา 237 และมาตรา 309 เพื่อไม่ให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี กรณีที่กรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเพื่อที่จะตัดตอนมิให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัวถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตประพฤติมิชอบ
ไม่แก้รัฐธรรมนูญตอนนี้ก็เสียชาติเกิด พวกเขาพูด เพราะถือว่าเสียงข้างมากในสภาฯ เป็นของพวกเขาจะแก้ไขเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญให้เป็นที่พอใจของพวกเขาอย่างไรก็ทำได้ ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกอาย
หรือไม่ก็สำรากออกมาว่า ใครเดือดร้อน มีใครจะเป็นจะตายไหม
เมื่อรัฐมนตรีคนหนึ่งแจ้งบัญชีทรัพย์สินไม่ถูกต้อง ภรรยาถือหุ้นเกิน 5% ในธุรกิจแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าไม่รู้กฎหมาย และเป็นเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อยที่ยังไม่ได้แจ้งเท่านั้นเอง ครั้นถามว่า มีรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลาออกเพราะถือหุ้นเกิน 5% มาแล้ว
“โอย...นั่นเป็นรัฐบาลที่มาจากทหาร” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สำรากออกมา แทนที่จะละอายว่า ขนาดรัฐบาลที่ตัวบอกว่ามาจากทหาร มาจากการยึดอำนาจเขายังรู้สึกละอาย เขายังรู้ว่าการมีจริยธรรมกับการไม่มีจริยธรรมนั้นแตกต่างกันอย่างไร หรือศักดิ์ศรีของมนุษย์อยู่ตรงไหน
แต่คนที่มาจากการเลือกตั้งมาจากประชาชนกลับไม่
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาหมดสิ้นไปนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่น
นายสมัคร สุนทรเวช วันนี้แตกต่างไปจากนายสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทย พรรคที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเอง เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยโน้นได้อย่างราบคาบ แต่ก็ไม่พอที่จะส่งให้เขาก้าวไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเขาประพฤติปฏิบัติตัวจนเป็นที่พอใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น แสดงความคิดความเห็นว่า การขายหุ้นให้เทมาเส็กของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องเสียภาษี เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา การขายหุ้นให้ลูกชายลูกสาวหุ้นละ 1 บาท ก็เป็นเรื่องของเขา ของๆ เขาๆ จะขายกันเท่าไรก็ได้...
จนในที่สุดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วางใจให้มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และในที่สุดก็ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
คนในพรรคพลังประชาชนทุกคนก็รู้ จึงไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค
ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี เลขาธิการพรรคก็อบรมบอกกล่าวให้นายสมัคร สุนทรเวช สงบปากสงบคำ พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช ก็ถูกโฆษกพรรคอบรมสั่งสอนให้ระมัดระวังคำพูดคำจา (หรือจริงๆ ก็คือ คำสำรากในแต่ละวัน)
เรื่องอย่างนี้ถ้าหากเป็นนายสมัคร สุนทรเวช คนเก่าคนเดิมมีหรือที่จะยอม แต่ที่ต้องยอมก็เพราะในพรรคพลังประชาชน นายสมัคร สุนทรเวช รู้ตัวดีว่ามีเสียงที่เป็นของเขาจริงๆ เพียงเสียงเดียวเท่านั้น คือเสียงของเขาเอง
คนที่เคยเป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงอย่างเขาจึงต้องลู่ไปตามลม เขาเคยประกาศชัดเจนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำต่อเมื่อ 3 เดือนสุดท้ายของการเป็นนายกรัฐมนตรีของเขา (ลึกๆ เขาก็ยังไม่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ เป็นต้นว่า ถ้าหากให้ 111 คนกลับมาเล่นการเมืองได้ เขาก็จะหมดความสำคัญถึงขั้นอาจจะต้องตกงาน) แต่เมื่อเรื่องจวนตัวเข้ามากระทบตัวเขา เพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคถูก กกต.ให้ใบแดงส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาว่า มีความผิดหรือไม่ ถ้าหากผิดก็อาจจะถึงขั้นยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรคจะต้องได้รับโทษด้วย ซึ่งกระทบนายสมัคร สุนทรเวช แน่นอน เขาจึงกุลีกุจอเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรีบด่วน
รีบด่วนมากกว่าปัญหาของประเทศชาติ เช่น ปัญหาปากท้องของประชาชน ข้าวยากหมากแพง หรือแม้กระทั่งปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเห็นได้จากเมื่อมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเขาเดินทางไปมาแล้วหลายประเทศ แต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาสำคัญและเรื้อรังมานานเขาไม่ได้ให้ความสนใจเลย
อย่างเสียไม่ได้ก็ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไป แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ตาขาว กลัวตาย จึงไปแค่จังหวัดสงขลา
นายสมัคร สุนทรเวช พูดถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ไม่จำเป็นต้องแก้เพราะถือว่าทุกประการเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ มาตรา 309 บริษัทบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ เป็นความเป็นความตายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวที่จะต้องไปศาลสถิตยุติธรรม (แม้พวกเขาจะร้องแรกแหกกระเชอตลอดเวลาว่า บริสุทธิ์ พร้อมสู้คดีในศาลไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้าน) แต่การที่ถูกพิมพ์มือ เดินเข้าคอกจำเลย ถูกทนายซักถามโน่นนี่ย่อมเป็นเรื่องที่อัปยศที่สุดของคนที่เคยยิ่งใหญ่
วิธีการใดที่จะไม่ต้องเดินไปสู่ความอัปยศเช่นนั้นเขาต้องทำ และนั่นก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309
แต่เมื่อการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 2 มาตรา มันชัดเจนว่า เป็นการทำเพื่อตัวเอง หรืออาจจะถูกมองว่าหน้าหนาเกินเหตุ พวกเขาก็หาทางออกมาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
ด้วยหวังว่าจะปิดบังความหนาของหน้าเอาไว้ได้บ้าง
ไม่ได้หรอกครับ เพราะประชาชนเขารู้ทัน
หรือการกระทำที่ไม่มีความละอาย เอาสีข้างเข้าถูไปอย่างน้ำขุ่นๆ เป็นต้นว่า ความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 2 มาตราสำคัญ คือมาตรา 237 และมาตรา 309 เพื่อไม่ให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี กรณีที่กรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเพื่อที่จะตัดตอนมิให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและครอบครัวถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตประพฤติมิชอบ
ไม่แก้รัฐธรรมนูญตอนนี้ก็เสียชาติเกิด พวกเขาพูด เพราะถือว่าเสียงข้างมากในสภาฯ เป็นของพวกเขาจะแก้ไขเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญให้เป็นที่พอใจของพวกเขาอย่างไรก็ทำได้ ไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกอาย
หรือไม่ก็สำรากออกมาว่า ใครเดือดร้อน มีใครจะเป็นจะตายไหม
เมื่อรัฐมนตรีคนหนึ่งแจ้งบัญชีทรัพย์สินไม่ถูกต้อง ภรรยาถือหุ้นเกิน 5% ในธุรกิจแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าไม่รู้กฎหมาย และเป็นเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อยที่ยังไม่ได้แจ้งเท่านั้นเอง ครั้นถามว่า มีรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลาออกเพราะถือหุ้นเกิน 5% มาแล้ว
“โอย...นั่นเป็นรัฐบาลที่มาจากทหาร” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สำรากออกมา แทนที่จะละอายว่า ขนาดรัฐบาลที่ตัวบอกว่ามาจากทหาร มาจากการยึดอำนาจเขายังรู้สึกละอาย เขายังรู้ว่าการมีจริยธรรมกับการไม่มีจริยธรรมนั้นแตกต่างกันอย่างไร หรือศักดิ์ศรีของมนุษย์อยู่ตรงไหน
แต่คนที่มาจากการเลือกตั้งมาจากประชาชนกลับไม่
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาหมดสิ้นไปนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่น
นายสมัคร สุนทรเวช วันนี้แตกต่างไปจากนายสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นหัวหน้าพรรคประชากรไทย พรรคที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเอง เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยโน้นได้อย่างราบคาบ แต่ก็ไม่พอที่จะส่งให้เขาก้าวไปถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อเขาประพฤติปฏิบัติตัวจนเป็นที่พอใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่น แสดงความคิดความเห็นว่า การขายหุ้นให้เทมาเส็กของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องเสียภาษี เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา การขายหุ้นให้ลูกชายลูกสาวหุ้นละ 1 บาท ก็เป็นเรื่องของเขา ของๆ เขาๆ จะขายกันเท่าไรก็ได้...
จนในที่สุดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วางใจให้มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และในที่สุดก็ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
คนในพรรคพลังประชาชนทุกคนก็รู้ จึงไม่ได้มีความเกรงอกเกรงใจนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค
ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี เลขาธิการพรรคก็อบรมบอกกล่าวให้นายสมัคร สุนทรเวช สงบปากสงบคำ พอมาเป็นนายกรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวช ก็ถูกโฆษกพรรคอบรมสั่งสอนให้ระมัดระวังคำพูดคำจา (หรือจริงๆ ก็คือ คำสำรากในแต่ละวัน)
เรื่องอย่างนี้ถ้าหากเป็นนายสมัคร สุนทรเวช คนเก่าคนเดิมมีหรือที่จะยอม แต่ที่ต้องยอมก็เพราะในพรรคพลังประชาชน นายสมัคร สุนทรเวช รู้ตัวดีว่ามีเสียงที่เป็นของเขาจริงๆ เพียงเสียงเดียวเท่านั้น คือเสียงของเขาเอง
คนที่เคยเป็นตัวของตัวเอง มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงอย่างเขาจึงต้องลู่ไปตามลม เขาเคยประกาศชัดเจนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำต่อเมื่อ 3 เดือนสุดท้ายของการเป็นนายกรัฐมนตรีของเขา (ลึกๆ เขาก็ยังไม่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญขณะนี้ เป็นต้นว่า ถ้าหากให้ 111 คนกลับมาเล่นการเมืองได้ เขาก็จะหมดความสำคัญถึงขั้นอาจจะต้องตกงาน) แต่เมื่อเรื่องจวนตัวเข้ามากระทบตัวเขา เพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคถูก กกต.ให้ใบแดงส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาว่า มีความผิดหรือไม่ ถ้าหากผิดก็อาจจะถึงขั้นยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรคจะต้องได้รับโทษด้วย ซึ่งกระทบนายสมัคร สุนทรเวช แน่นอน เขาจึงกุลีกุจอเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรีบด่วน
รีบด่วนมากกว่าปัญหาของประเทศชาติ เช่น ปัญหาปากท้องของประชาชน ข้าวยากหมากแพง หรือแม้กระทั่งปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเห็นได้จากเมื่อมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเขาเดินทางไปมาแล้วหลายประเทศ แต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาสำคัญและเรื้อรังมานานเขาไม่ได้ให้ความสนใจเลย
อย่างเสียไม่ได้ก็ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไป แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ตาขาว กลัวตาย จึงไปแค่จังหวัดสงขลา
นายสมัคร สุนทรเวช พูดถึงรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ไม่จำเป็นต้องแก้เพราะถือว่าทุกประการเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ มาตรา 309 บริษัทบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ เป็นความเป็นความตายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวที่จะต้องไปศาลสถิตยุติธรรม (แม้พวกเขาจะร้องแรกแหกกระเชอตลอดเวลาว่า บริสุทธิ์ พร้อมสู้คดีในศาลไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้าน) แต่การที่ถูกพิมพ์มือ เดินเข้าคอกจำเลย ถูกทนายซักถามโน่นนี่ย่อมเป็นเรื่องที่อัปยศที่สุดของคนที่เคยยิ่งใหญ่
วิธีการใดที่จะไม่ต้องเดินไปสู่ความอัปยศเช่นนั้นเขาต้องทำ และนั่นก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 309
แต่เมื่อการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 2 มาตรา มันชัดเจนว่า เป็นการทำเพื่อตัวเอง หรืออาจจะถูกมองว่าหน้าหนาเกินเหตุ พวกเขาก็หาทางออกมาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
ด้วยหวังว่าจะปิดบังความหนาของหน้าเอาไว้ได้บ้าง
ไม่ได้หรอกครับ เพราะประชาชนเขารู้ทัน