“เสรี” วิพากษ์รัฐดื้อด้านแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อพวกพ้อง จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เตือนระวังจะโดนถอดถอน ชี้ชัดทำให้วงจรอุบาทว์ของการเลือกตั้งยังคงอยู่ในสังคม ด้าน “สาทิตย์” อัดซ้ำใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ฟันธงเกิดวิกฤติบานปลายแน่นอน หากไม่คำนึงถึงประชาชน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการคนในข่าว
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี คืนวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเปิดประเด็นซักถาม นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ส.ร. และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานวิปฝ่ายค้าน ถึงกรณีที่ ส.ส.ผ่ายรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 เพื่อหนีคดียุบพรรค ซึ่งอาจจะมีการพ่วงเรื่องการนิรโทษกรรม 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
โดยนายเสรี กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาล ใครได้ประโยชน์ และจะนำไปสู่การแตกแยกอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งถ้าแก้ไขเพื่อตัวเองก็จะเกิดความไม่ชอบธรรม โดยเฉพาะมาตรา 237 ซึ่งต้องมองย้อนกลับไปว่าจะมีบุคลากรฝ่ายใดจะช่วยกันแก้ไขได้บ้าง ซึ่งก็คือผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคนั้นๆ จะต้องช่วยกันป้องกัน และร่วมกันสร้างกฎเกณฑ์ โดยไม่มีเจตนาว่าจะทำลายล้างพรรคไหน ดังนั้นทุกพรรคการเมืองจะต้องรู้กติกา และต้องยอมรับว่าจะไม่ทำผิด เพราะถ้าทำผิดแล้วจะต้องถูกลงโทษ แต่การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องทำตามเหตุตามผล
“ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ถูกมองว่าการออกกฎหมายของรัฐสภาเสียหายทั้งระบบ เพราะทำให้ถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือ กฎหมายก็ใช้บังคับสังคมไม่ได้ และถ้าเขาไปแตะเมื่อใด จะปฏิเสธไม่ได้เลยหากกระทำผิด ซึ่งผมย้ำเตือนตลอด ในเวลาที่เขาหาเสียงกัน ว่า อย่าทำผิด เพราะถ้าทำผิดเพียงคนเดียวจะถึงขั้นถูกยุบพรรค ซึ่งคำว่า “ให้ถือว่า” นั้น สืบเนื่องมาจากเรื่องบางเรื่องดูอย่างไร ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ซึ่งสามารถไปสู้ในชั้นศาลได้ แต่กลับไปมุ่งเน้นที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะกลายเป็นวังวนเดิม คือ คนโกงใช้เงินมากขึ้นในการทุจริต ซึ่งก็ต้องถอนทุนมากขึ้น”นายเสรี กล่าว
ส่วนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น นายเสรี กล่าวว่า คตส.ที่ดำเนินการสอบสวนจะต้องหยุดดำเนินการ ซึ่งที่ทำมาเมื่อไม่มีกฎหมายมารองรับจะกลายเป็นเรื่องไม่ชอบ ซึ่ง มาตรา 309 เขียนขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อการยึดอำนาจของ คมช. ทำให้องค์กรทั้งหลายจึงได้รับผลพวงทั้งหมด ส่วนจะตัดทิ้งมาตรา 309 นั้น เขาก็จะสามารถหยิบยกกรณี 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยขึ้นมาต่อสู้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มองไม่เห็นว่ากรรมการเหล่านั้นจะกลับมาได้อย่างไร เพราะเขากระทำผิดไปแล้ว
“ถ้าแก้รัฐธรรมนูญทั้ง 2 มาตราจริง ก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งสูง เพราะคนที่เป็นชาวบ้านทั่วไป แล้วต้องไปรับโทษจากที่กฎหมายเขียนไว้ แต่นักการเมืองได้ประโยชน์ ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลใหม่อยู่ไม่ได้ ซึ่งทำเพื่อตัวเองอย่างนี้เพื่อแลกกับความวุ่นวายของบ้านเมือง ถามว่าจะทำอย่างนั้นหรือ คุณเข้ามาแล้วคุณก็ถูกถอดถอนได้ ซึ่งถ้าไม่คำนึงถึงส่วนรวมก็คือ ขาดความชอบธรรม จะมาอ้างว่าถูกเลือกมาโดยชอบธรรมไม่ได้
ด้าน นายสาทิตย์ กล่าวว่า เราพยายามที่จะเอาใจช่วยรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น เพราะมีปัญหามากมายรุมเร้า โดยเฉพาะตอนที่รัฐบาลหาเสียงก็บอกว่าจะเอาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญไว้ทีหลัง แต่ตอนหลังมีการจุดประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่ออะไร หรือเพื่อใคร ซึ่งวิปฝ่ายค้านได้ดูกันอย่างละเอียดแล้วพบว่า มีการดึงมาตรา 309 ขึ้นมาเป็นหลัก ซึ่งมีปฏิบัติการอะไรน่าสงสัย ที่สำคัญการแก้ไขมาตรา 237 คนที่เขาร่างกฎหมายฉบับนี้เจตนาเขาแรงมาก และที่เป็นเรื่องขึ้นมาก็ คือ มีพรรคการเมือง 2-3 พรรคกำลังจะถูกพิจารณายุบพรรค ซึ่งเมื่อมองว่าการที่ฝ่ายรัฐบาลมาแก้ไขรัฐธรรมนูญตอนนี้ถือว่าผิดเวลา แต่เชื่อว่าเขารู้ว่าจะโดนแน่ โดยมีแนวโน้มคือเปลี่ยนคำจาก “ให้ถือว่า” เป็น “ให้สันนิษฐานว่า”
“ในฐานะพรรคการเมือง พรรคประชาธิปัตย์กังวลมากเรื่องการกระทำผิดเลือกตั้ง และรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเพิ่งบังคับใช้มาได้เพียงไม่กี่เดือนก็จะแก้ไขเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญขึ้นมาศึกษากันเสียก่อน แต่ใน 2-3 วันที่ผ่านมา การแก้ไขรัฐธรรมนูญดูจะร้อนแรงขึ้นมา จึงต้องดูท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลก่อนว่า จะมีสติยั้งคิดอะไร ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้”นายสาทิตย์ กล่าว
นายสาทิตย์ กล่าวอีกว่า เขาคิดอะไรที่จะแก้ไข มาตรา 309 แล้วใครจะได้ประโยชน์ ซึ่งประเด็นก็คือว่า เปรียบเหมือนเป็นการปลดล็อก คตส. ทำให้ได้ประโยชน์โดยตรงสำหรับคนที่ถูก คตส.ดำเนินคดี แล้วกรรมการพรรคไทยรักไทยจะดำเนินการอย่างไร แม้ว่าเขาจะพยายามที่จะบอกว่าไม่ยุบ คตส. แต่ถ้ามีการแก้ไขกฎหมายแล้ว ก็เปล่าประโยชน์ ซึ่งข้อสันนิษฐานของเขา ก็ตรงกับที่เขาคิด ที่น่าสังเกตคือเขากลัว คตส. แต่กลับไม่กลัว ป.ป.ช. และที่เขาไม่กลัวก็เพราะการดำเนินคดีของ ป.ป.ช.นั้นใช้ระยะเวลานานมาก ดังนั้นโอกาสที่เขาจะแปลผิดให้เป็นถูกนั้นมีอยู่เยอะ
“เป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต เพราะเป็นการดำเนินการเพื่อพวกพ้อง ซึ่งข้อกังวลก็ คือ ระยะเวลาเดือนกว่าๆ ทำอะไรให้ประชาชนได้เยอะ แต่กลับจะไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่คำนึงถึงความคิดความอ่านของประชาชน ทั้งๆ ที่หลายฝ่ายออกมาคัดค้าน ดังนั้นจึงต้องถามกลับว่าคุณเป็น ส.ส.จากรัฐธรรมนูญที่คุณกล่าวหาหรือไม่ แต่เวลานี้มันไม่ใช่ ดังนั้นเราจึงต้องเอาวิกฤติออกจากการเมืองให้ได้ วันนี้เหมือนกับเปิดไพ่สู้กัน ซึ่งผลพวงที่ชัดเจนที่สุด คือ ประชาชนเบื่อการเมืองที่วนเวียนไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นตัวจุดชนวนไปสู่วิกฤติของบ้านเมือง”นายสาทิตย์ ระบุ