ผู้จัดการรายวัน - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้หากยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ต้องมีเงื่อนไข 3 ประการได้แก่ จังหวะเวลาที่เหมาะสม การส่งสัญญาณด้านนโยบายที่ชัดเจน และมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ แนะนำมาตรการภาษีมาปรับให้ยืดหยุ่นและสอดรับกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายก็อาจทำให้นักลงทุนต่างประเทศพอรับได้ ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรการควบลดดอกเบี้ย ระบุอาจกระทบภาพรวมการดำเนินนโยบายของแบงก์ชาติ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าวถึงกรณีที่ทางการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ในระยะใกล้นี้ โดยที่ไม่มีมาตรการอื่นใดมารองรับ ความวิตกกังวลท่ามกลางกระแสการคาดการณ์แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจทำให้ยังมีแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯออกมาอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ส่งออก และเมื่อผนวกกับเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าอาจมีการไหลเข้าสุทธิเพิ่มมากขึ้นแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะจำต้องรับซื้อเงินดอลลาร์ฯและแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเข้าสู่ระบบในจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าในระยะที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ธปท.ก็คงจะต้องมีการดูดซับสภาพคล่องเงินบาทออกจากระบบเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้เพื่อรักษาสมดุลปริมาณเงินในระบบไม่ให้มีมากเกินไปจนเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งผลของการดำเนินการตามหน้าที่และความจำเป็นดังกล่าว ทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว ธปท.คงยากจะหลีกเลี่ยงการรายงานผลขาดทุนทั้งทางบัญชีจากการถือครองสินทรัพย์ที่มูลค่ามีแนวโน้มด้อยค่าลงและที่เกิดขึ้นจริงตามภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากการดูแลปริมาณเงินในระบบให้มีความเหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา
ดังนั้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าว การประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 จึงควรที่จะมีการพิจารณาและไตร่ตรองประเด็นต่างๆ อย่างรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืนในอนาคต มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 จึงควรจะเป็นมาตรการที่ทางการนำมาใช้เพียงชั่วคราว และในท้ายที่สุดก็คงจะต้องมีการยกเลิกไป แต่กระนั้นก็ดี การจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวท่ามกลางภาวะตลาดเงินตลาดทุนโลกที่มีความซับซ้อนนั้น ควรจะต้องมีความลงตัวในเงื่อนไข 3 ประการ อันได้แก่ จังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ควรยกเลิกในช่วงที่เงินดอลลาร์ฯมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักเพียงทิศทางเดียว รวมถึงการส่งสัญญาณด้านนโยบายที่ชัดเจนให้กับตลาดว่าการยกเลิกไม่ได้หมายความว่าทางการไทยยอมให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยไม่มีขอบเขต และมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมของทางการ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ารับมือกับกระแสความผันผวนของเงินทุนในระบบการเงินโลก ยกตัวอย่างเช่น การผ่อนปรนมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เดิมให้มีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ มาตรการอื่นจากกระแสข่าวที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ได้แก่ มาตรการเก็บภาษีเงินทุนไหลออก (Exit Tax)
ทั้งนี้ แม้ว่าการนำมาตรการทางภาษีมาใช้เพื่อควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ อาจยังคงดูไม่เป็นมิตรนักต่อนักลงทุนต่างชาติ แต่การที่ทางการสามารถจะออกแบบมาตรการดังกล่าวให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสอดรับกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศที่ผันผวนในแต่ละช่วงเวลา ผ่านการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีให้มีความเหมาะสมกับธุรกรรมประเภทต่างๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจที่ต้องการลงทุนจริงสามารถระดมทุนด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง ก็อาจช่วยทำให้ความวิตกกังวลของนักลงทุนบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง
สำหรับในประเด็นนโยบายอัตราดอกเบี้ยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ไม่ควรที่จะนำไปผูกโยงหรือคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 โดยอัตโนมัติ เพราะการตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ย ควรที่จะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในประเด็นความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะประเด็นในด้านเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ และแม้ว่าในที่สุดแล้ว กนง.อาจจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งควรจะเกิดขึ้นภายใต้จังหวะเวลาและเหตุผลสนับสนุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยรวม กนง.ก็ควรที่จะมีการชี้แจงถึงเหตุผลหรือข้อสนับสนุนการตัดสินใจดังกล่าวที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาถึงความมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ว่าเป็นการดำเนินการตามข้อเรียกร้องและแรงกดดัน หรือเป็นการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเพียงเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกล่าวถึงกรณีที่ทางการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ในระยะใกล้นี้ โดยที่ไม่มีมาตรการอื่นใดมารองรับ ความวิตกกังวลท่ามกลางกระแสการคาดการณ์แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจทำให้ยังมีแรงเทขายเงินดอลลาร์ฯออกมาอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ส่งออก และเมื่อผนวกกับเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าอาจมีการไหลเข้าสุทธิเพิ่มมากขึ้นแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะจำต้องรับซื้อเงินดอลลาร์ฯและแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเข้าสู่ระบบในจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าในระยะที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน ธปท.ก็คงจะต้องมีการดูดซับสภาพคล่องเงินบาทออกจากระบบเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้เพื่อรักษาสมดุลปริมาณเงินในระบบไม่ให้มีมากเกินไปจนเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งผลของการดำเนินการตามหน้าที่และความจำเป็นดังกล่าว ทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว ธปท.คงยากจะหลีกเลี่ยงการรายงานผลขาดทุนทั้งทางบัญชีจากการถือครองสินทรัพย์ที่มูลค่ามีแนวโน้มด้อยค่าลงและที่เกิดขึ้นจริงตามภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากการดูแลปริมาณเงินในระบบให้มีความเหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา
ดังนั้น เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าว การประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 จึงควรที่จะมีการพิจารณาและไตร่ตรองประเด็นต่างๆ อย่างรอบคอบและระมัดระวัง เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืนในอนาคต มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 จึงควรจะเป็นมาตรการที่ทางการนำมาใช้เพียงชั่วคราว และในท้ายที่สุดก็คงจะต้องมีการยกเลิกไป แต่กระนั้นก็ดี การจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวท่ามกลางภาวะตลาดเงินตลาดทุนโลกที่มีความซับซ้อนนั้น ควรจะต้องมีความลงตัวในเงื่อนไข 3 ประการ อันได้แก่ จังหวะเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ควรยกเลิกในช่วงที่เงินดอลลาร์ฯมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักเพียงทิศทางเดียว รวมถึงการส่งสัญญาณด้านนโยบายที่ชัดเจนให้กับตลาดว่าการยกเลิกไม่ได้หมายความว่าทางการไทยยอมให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยไม่มีขอบเขต และมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมของทางการ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ารับมือกับกระแสความผันผวนของเงินทุนในระบบการเงินโลก ยกตัวอย่างเช่น การผ่อนปรนมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เดิมให้มีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ มาตรการอื่นจากกระแสข่าวที่อาจถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ได้แก่ มาตรการเก็บภาษีเงินทุนไหลออก (Exit Tax)
ทั้งนี้ แม้ว่าการนำมาตรการทางภาษีมาใช้เพื่อควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ อาจยังคงดูไม่เป็นมิตรนักต่อนักลงทุนต่างชาติ แต่การที่ทางการสามารถจะออกแบบมาตรการดังกล่าวให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสอดรับกับกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศที่ผันผวนในแต่ละช่วงเวลา ผ่านการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีให้มีความเหมาะสมกับธุรกรรมประเภทต่างๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจที่ต้องการลงทุนจริงสามารถระดมทุนด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง ก็อาจช่วยทำให้ความวิตกกังวลของนักลงทุนบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง
สำหรับในประเด็นนโยบายอัตราดอกเบี้ยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ไม่ควรที่จะนำไปผูกโยงหรือคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 โดยอัตโนมัติ เพราะการตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ย ควรที่จะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในประเด็นความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะประเด็นในด้านเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ และแม้ว่าในที่สุดแล้ว กนง.อาจจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งควรจะเกิดขึ้นภายใต้จังหวะเวลาและเหตุผลสนับสนุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยรวม กนง.ก็ควรที่จะมีการชี้แจงถึงเหตุผลหรือข้อสนับสนุนการตัดสินใจดังกล่าวที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาถึงความมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ว่าเป็นการดำเนินการตามข้อเรียกร้องและแรงกดดัน หรือเป็นการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเพียงเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น