ศูนย์วิจัยกสิกรฯ หนุนแบงก์ชาติยกเลิกมาตรการ 30% ในช่วงจังหวะที่เหมาะสม เสนอ 3 แนวทางแก้ปัญหา โดยไม่ต้องผูกโยงกับอัตราดอกเบี้ย เพราะเป็นแค่นโยบายชั่วคราว ชี้จุดผิดพลาดสำคัญ ช่วงดอลลาร์อ่อนค่า ธปท.เกาไม่ถูกที่คัน เพราะดันไปรับซื้อดอลลาร์พร้อมกับแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเข้าสู่ระบบในจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันที่ต้องเร่งดดูดซับสภาพคล่อง เพื่อรักษาเสถียรภาพตลาด
วันนี้(14 ก.พ.) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยรายงานและมองต่อมาตรการกันสำรอง 30% โดยระบุว่า เป็นมาตรการที่ทางการนำมาใช้เพียงชั่วคราว และในท้ายที่สุดก็คงจะต้องยกเลิกไป เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืนในอนาคต
แต่การจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวท่ามกลางภาวะตลาดเงินตลาดทุนโลกที่มีความซับซ้อนนั้น ควรจะต้องมีความลงตัวในเงื่อนไข 3 ประการ อันได้แก่ จังหวะเวลาที่เหมาะสม คือ ไม่ควรยกเลิกในช่วงที่เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักเพียงทิศทางเดียว
การส่งสัญญาณด้านนโยบายที่ชัดเจนให้กับตลาด นั่นคือ การยกเลิกไม่ได้หมายความว่า ทางการไทยยอมให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยไม่มีขอบเขต และมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนปรนมาตรการกันสำรอง 30% เดิมให้มีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น หรือมาตรการเก็บภาษีเงินทุนไหลออก(Exit Tax) ทางการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีความพร้อมในการเข้ารับมือกับกระแสความผันผวนของเงินทุนในระบบการเงินโลก
สำหรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เห็นว่าไม่ควรที่จะนำไปผูกโยงหรือคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% โดยอัตโนมัติ เพราะการตัดสินใจนโยบายอัตราดอกเบี้ย ควรที่จะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ในประเด็นความเสี่ยงที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะประเด็นในด้านเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ
แม้ว่าในที่สุดแล้ว กนง.อาจจะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งควรจะเกิดขึ้นภายใต้จังหวะเวลาและเหตุผลสนับสนุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยรวม กนง.ก็ควรที่จะมีการชี้แจงถึงเหตุผลหรือข้อสนับสนุนการตัดสินใจดังกล่าวที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาถึงความมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ว่าเป็นการดำเนินการตามข้อเรียกร้องและแรงกดดัน หรือเป็นการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเพียงเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากทางการประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ในระยะใกล้นี้ โดยที่ไม่มีมาตรการอื่นใดมารองรับ ในขณะที่กระแสการคาดการณ์แนวโน้มการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อผนวกกับเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าอาจมีการไหลเข้าสุทธิเพิ่มมากขึ้นแล้ว อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องรับซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ และแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเข้าสู่ระบบในจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าในระยะที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ต้องดูดซับสภาพคล่องเงินบาทออกจากระบบเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อรักษาสมดุลปริมาณเงินในระบบไม่ให้มีมากเกินไปจนเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าว การประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จึงควรที่จะมีการพิจารณาและไตร่ตรองประเด็นต่างๆ อย่างรอบคอบและระมัดระวัง