ศาลฎีกายกคำร้อง ฟ้องล้มเลิกตั้งล่วงหน้า ชี้ กกต.ให้อำนาจทำถูกต้องแล้ว ระบุ กกต. มีอำนาจจัดเลือกตั้งล่วงหน้า ส่วนกรณีพรรคพลังประชาชนเป็น นอมินีพรรคไทยรักไทย ศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัย กองเชียร์ นปก. ตะโกนแจกกล้วย"ไชยวัฒน์" ลั่นศาล ด้าน"หมอเลี้ยบ" เดินหน้าตั้งรัฐบาล วันที่ 21 ม.ค. เปิดประชุมสภาฯ 23 ม.ค. เลือกประธานสภาฯ 25 ม.ค. เลือกนายกรัฐมนตรี
จากกรณีที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งคณะ พรรคพลังประชาชน นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน นายประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล และนายสนอง เทพอักษรณรงค์ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคพลังประชาชน ผู้ร้องคัดค้าน ที่นายไชยวัฒน์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่ง 1.ให้พรรคพลังประชาชนนอมินีพรรคไทยรักไทย ที่ไม่มีสิทธิส่งผู้สมัครส.ส. ในนามพรรคพลังประชาชน ทั้งระบบสัดส่วน และระบบเขต เป็นโมฆะ 2.ให้นายสมัคร หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่เป็นตัวแทนของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่มีสิทธิลงนามส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และการลงนามส่งผู้สมัครรับเลือดตั้งเป็นโมฆะหรือไม่
3.ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15 -16 ธ.ค. 50 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้เพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้า รวมทั้งการนำเอาบัตรลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าไปนับรวมคะแนนเสียง โดยให้เพิกถอนการนับคะแนนเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 ทั้งหมด แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และ 4.ขอมีคำพิพากษาว่า การแจกซีดีกับประชาชนเป็นการทำผิดกฎหมาย ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม และห้ามไม่ให้ กกต. ประกาศรับรองผลทั่วประเทศ หรือเพิกถอนการประกาศรับรองผล การเลือกตั้งของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน
กรณีที่นายไชยวัฒน์ ได้ยื่นฟ้องนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งประเทศ เพราะผลการการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลฎีกา ว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือ พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำต้องชะงักทันที
กระทั่งเวลา 16.30 น. วานนี้ (18 ม.ค.) ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่ง ยกคำร้องคดีดังกล่าว
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.50 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป พ.ศ.2550 ให้จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป ในวันที่ 23 ธ.ค.50 ผู้คัดค้านที่ 1-5 มีประกาศ กกต. เรื่องรับสมัคร ส.ส.ในวันที่ 26 ต.ค.50 ให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในวันที่ 2-16 พ.ย.50 โดยผู้คัดค้านที่ 7 เป็นผู้ลงนาม ส่งสมาชิกพรรคลงรับเลือกตั้งที่ จ.บุรีรัมย์ โดยการเลือกตั้งเลือกล่วงหน้ากำหนดให้มีในวันที่ 15-16 ธ.ค. 50 เวลา 08.00 – 17.00 น. โดยผู้คัดค้านที่ 1-5 ได้กำหนดวิธีการเลือกตั้งนอกเขตสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค. ได้ โดยให้ยื่นคำขอใช้สิทธิเลือกตั้งท้งในและนอกเขตได้
ผู้คัดค้านที่ 1- 5 ได้ออกระเบียบการเลือกตั้ง กำหนดให้ผู้มีสิทธิไปแสดงตนไปขอใช้สิทธิในการเลือกตั้งดังกล่าว จนทำให้มีการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวขึ้น ตามคำร้องของผู้ร้องที่ระบุว่าผู้คัดค้านที่ 6 เป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย เพราะมีการประกาศต่อสาธารณะชน โดยสืบทอดนโยบาย ใช้ที่ทำการพรรค บุคคลกร และผู้สนับสนุนทางการเงินชุดเดียวกับพรรคไทยรักไทย โดยมีผู้คัดค้านที่ 7 เป็นตัวแทนของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทำหน้าที่ฟื้นฟูกรรมการบริหารพรรค 111 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง พรรคพลังประชาชน จึงไม่มีสิทธิส่งสมาชิกลงรับเลือกตั้ง โดยผู้คัดค้านที่ 1-5 เห็นชอบให้ดำเนินการรับสมัครดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ม.8 วรรคสอง บัญญัติว่า ในการจัดตั้งพรรคการเมืองให้ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองจัดให้มีการประชุม เพื่อกำหนดนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคการเมือง และเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ม.9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า พรรคการเมืองต้องมีชื่อ ชื่อย่อ ภาพ เครื่องหมาย นโยบายและข้อบังคับพรรคการเมืองซึ่งมีลักษณะไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก ไม่ก่อให้เกิดความมั่นคงต่อรัฐ อันเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ม.17 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้กรรมการบริหารพรรคมีอำนาจในการบริหารพรรคการเมืองให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า พรรคการเมืองต้องจัดตั้ง ตามเจตนารมย์การเมืองของตัวเอง ผู้เป็นหัวหน้าพรรคต้องเป็นผู้แทนของพรรคการเมืองนั้น ตามคำร้องของผู้ร้องข้างต้นอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 6 สืบทอดนโยบายของพรรคไทยรักไทย โดยคณะกรรมการถูกครอบงำโดยกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยผู้คัดค้านที่ 7 ยังเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีภารกิจในการฟื้นฟู กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งทั้ง 111 คน ซึ่งเท่ากับผู้ร้องกล่าวอ้างเกี่ยวกับสถานะของพรรคพลังประชาชน และสถานะของหัวหน้าพรรค ผู้คัดค้านที่ 7 คดีส่วนนี้ไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยของศาลฎีกา
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้คัดค้านที่ 1-5 ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 15-16 ธ.ค.50 โดยที่ผู้ที่อาศัยในเขตเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าได้ด้วย และการเพิ่มเวลาลงคะแนน จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายนั้น เห็นว่าคำร้องส่วนนี้ เป็นการอ้างว่า กกต. ผู้คัดค้านที่ 1-5 ประกาศให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวโดยมิชอบ อันเป็นการกระทำของ กกต.โดยตรง คำร้องส่วนนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของศาลฎีกา
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งลงคะแนนล่วงหน้า ไม่แสดงเหตุผล และความจำเป็นถึงขนาดที่มีการลงคะแนนในแบบพิมพ์เปล่าให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ากรอกข้อความเอง จึงเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย และอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 6 นำ ซีดีปราศรัยของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเป็นคุณแก่ผู้คัดค้านที่ 6 แต่ผู้คัดค้านที่ 1-5 กลับไม่ดำเนินการใดๆ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม. 114 บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองมีสิทธิยืนคัดค้านต่อ กกต.โดย กกต.ต้องทำการสืบสวนสอบโดยพลัน นั้น เห็นว่า การร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นอำนาจของ กกต.โดยเฉพาะ คำร้องของผู้ร้องที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการคัดค้านการเลือกตั้งดังที่วินิจฉัยมา จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1-5 ออกประกาศการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 15-16 ธ.ค. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม. 95 วรรหนึ่ง บัญญัติว่า กรณีผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้รับคำสั่งจากราชการให้ปฎิบัติหน้าที่นอกเขตเลือกตั้ง หรือในวันเลือกตั้งไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ ให้ขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าต่อ กกต.ประจำเขตเลือกตั้งได้ วรรคสอง บัญญัติว่าเมื่อ กกต.ประจำเขตเลือกตั้งหรือผู้ที่ กกต.ประจำหน่วยเลือกตั้ง มอบหมาย ให้ตรวจสอบการมีสิทธิเลือกตั้งของผู้แจ้งความประสงค์ตาม วรรค 1 แล้ว ถ้าเห็นว่าถูกต้องให้กำหนดที่เลือกตั้งกลางที่ผู้นั้นจะใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งและแจ้งให้ กกต.ประจำหน่วยเลือกตั้ง ที่ผู้นั้นมีชื่อในบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบ และหมายเหตุสถานที่ที่ผู้นั้นจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งในเอกสารที่เกี่ยวข้อง และวรรค 3 กำหนดว่าหลักเกณฑ์และวิธีการในการลงคะแนนเลือกตั้งตาม วรรค 1 สถานที่และจำนวนที่เลือกตั้งกลาง และวันที่กำหนดให้มาใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งให้เป็นไปตามที่ กกต.ประกาศ
ศาลเห็นว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม. 95 วรรค 1-3 เป็นการกำหนดขั้นตอนให้ กกต.จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมด้วยการออกระเบียบและประกาศซึ่ง กรณีที่ กกต. ออกประกาศกำหนดวันและเวลาการเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลางวันที่ 15-16 ธ.ค.50 กำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงในเขตเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง จึงเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ม. 95 ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อประกาศดังกล่าวได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.50 นั้น ก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ฯ ม.5
ดังนั้นการที่ กกต.ผู้คัดค้าน ออกประกาศกำหนดวันเวลาเลือกตั้งล่วงหน้า ดังกล่าวนั้น ก็ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่า มีการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า 2 วัน เสมือนทำให้มีการจัดการเลือกตั้ง 3 วัน แต่การปฎิบัติมี 2 มาตรฐาน และการเลือกตั้งล่วงหน้าตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. เป็นการขัดต่อกฎหมายนั้นเห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 1- 5 มีอำนาจจัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าได้ โดยประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอใช้สิทธิเลือกตั้ง สถานที่ และจำนวนที่เลือกตั้งกลางและวันที่กำหนดให้มาใช้สิทธิย่อมอยู่ในดุลยพินิจของ กกต.ที่จะกำหนดเห็นตามความเหมาะสม
ส่วนข้ออ้างอื่นอันเป็นข้ออ้างปลีกย่อยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กล่าวว่า จะไปปรึกษากับทนายความในประเด็น นอมินี เพื่อให้ได้ข้อยุติ ว่าจะดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายได้อย่างไรอีก ต่อจากนี้ต้องร่วมมือกันไม่ให้คนที่ไม่ดีเข้ามาสู่อำนาจการปกครองประเทศ
ส่วนการที่ตนลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีผลตั้งแต่ศาลอ่านคำพิพากษาจบ ทั้งนี้ เหตุผลที่ตนลาออก เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอให้ตนถอนฟ้องคดีนี้ หรือถ้าไม่ถอนฟ้องก็ขอให้ตนลาออกจากสมาชิกพรรค ตนจึงตัดสินใจลาออก โดยยื่นใบลาตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้แล้ว
นายไชยวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ตนไม่รู้สึกเสียหน้าในเรื่องนี้ เพราะ เรื่องของบ้านเมือง ไม่มีคำว่าได้หน้า หรือเสียหน้า มีแต่ว่าเราทำเต็มที่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนศาลจะอ่านคำสั่งคดี ได้มีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ประมาณ 20 คนมาร่วมสังเกตุการณ์ และขณะที่นายไชยวัฒน์ เดินทางมาถึง ได้มีเสียงตะโกนใส่ว่า "แพ้แล้วไม่รู้จักแพ้" แต่นายไชยวัฒน์ ไม่ได้สนใจ รีบเดินเข้าห้องพิจารณาคดีทันที่ แต่กลุ่ม นปก.ไม่ยอมหยุด พยายามตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย แจกอวัยวะเพศชายด้วยเสียงดังมาก จนเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งออกไปดู พร้อมประสานขอกำลังตำรวจนครบาล ประมาณ 30นาย มาคอยดูแลความสงบ กลุ่ม นปก.จึงหุบปาก และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังที่ศาลอ่านคำสั่งแล้ว กลุ่ม นปก.ได้ใส่เสื้อสีแดง เขียนว่า นปก. และเสื้อสีดำเขียนว่า “ต่อต้านเผด็จการทุกชาติไป กูไม่กลัวมึง" โดยทั้งหมดได้ปรบมืออย่างผู้มีชัย พร้อมกับตะโกนว่า เยี่ยมๆๆๆ คนดีต้องได้ดี ไอ้พวกนั้นอย่ามาอิจฉาตาร้อน" ขณะที่กลุ่มที่มาให้กำลังใจ นายไชยวัฒน์ พูดเบาๆว่า "ปล่อยมันไป ไม่อยากสนใจมันหรอก"
ยกคำร้องล้มเลือกตั้งล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง โดยนายจรัส พวงมณี นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล และนายดิเรก อิงคนินันท์ มีคำสั่งยกคำร้องคดี ที่นายสราวุท ทองเพ็ญ โฆษกพรรคความหวังใหม่ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 3 พรรคความหวังใหม่ ยื่นฟ้อง กกต. ขอให้ศาลวินิจฉัยมีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งเมื่อวันที่15-16 ธ.ค.50 โดยศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องเช่นกัน
นายสราวุท กล่าวว่า ๖ฯน้อมรับคำสั่งของศาล เพราะถือเป็นที่สุดแล้ว ศาลเห็นว่า กกต.มีอำนาจในการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า แต่มีอำนาจแล้วการจัดการเลือกตั้งจะเป็นตามกฎหมายหรือไม่นั้น ตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาอีกคดีหนึ่ง ให้วินิจฉัยพฤติการณ์ จัดการเลือกตั้งที่อนุญาตให้บุคคลเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าได้ ไม่มีการสอบสวนว่า มีความจำเป็นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่ โดยอนุญาตให้ทุกคนที่ไปกรอกรายละเอียดและสามารถใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้เลย ซึ่งเห็นว่าไม่เป็นด้วยความบริสุทธ์ ยุติธรรม ตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่ โดยคดีนี้ศาลนัดฟังคำสั่ง วันที่ 21 ม.ค.นี้
พปช. เฮ ศาลฎีกายกฟ้องทุกข้อหา
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวภายหลังศาลฎีกาฯ มีคำวินิจฉัยยกคำร้อง ของนายไชยวัฒน์ในทุกข้อกล่าวหา ทั้งกรณีนอมินี และการเรียกร้องให้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นโมฆะว่า พรรคมีความมั่นใจว่าศาลฎีกามีความยุติธรรมกับพรรคการเมืองที่ถูกจับตามอง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็เคยตั้งความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจากนี้ก็คงไม่ต้องกังวลตรงจุดที่จะกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นจะเดินหน้าตามขั้นตอนที่วางไว้ทันที โดยในวันที่ 21 ม.ค. จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดแรก จากนั้นวันที่ 23 ม.ค. จะเลือกประธานสภาฯ วันที่ 25 ม.ค. เลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นจึงจะมีการเลือกคณะรัฐมนตรี และแถลงนโยบายรัฐบาล
จากกรณีที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งคณะ พรรคพลังประชาชน นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน นายประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล และนายสนอง เทพอักษรณรงค์ ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 3 พรรคพลังประชาชน ผู้ร้องคัดค้าน ที่นายไชยวัฒน์ ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่ง 1.ให้พรรคพลังประชาชนนอมินีพรรคไทยรักไทย ที่ไม่มีสิทธิส่งผู้สมัครส.ส. ในนามพรรคพลังประชาชน ทั้งระบบสัดส่วน และระบบเขต เป็นโมฆะ 2.ให้นายสมัคร หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่เป็นตัวแทนของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่มีสิทธิลงนามส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และการลงนามส่งผู้สมัครรับเลือดตั้งเป็นโมฆะหรือไม่
3.ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 15 -16 ธ.ค. 50 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้เพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้า รวมทั้งการนำเอาบัตรลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าไปนับรวมคะแนนเสียง โดยให้เพิกถอนการนับคะแนนเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 ทั้งหมด แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และ 4.ขอมีคำพิพากษาว่า การแจกซีดีกับประชาชนเป็นการทำผิดกฎหมาย ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม และห้ามไม่ให้ กกต. ประกาศรับรองผลทั่วประเทศ หรือเพิกถอนการประกาศรับรองผล การเลือกตั้งของผู้สมัครพรรคพลังประชาชน
กรณีที่นายไชยวัฒน์ ได้ยื่นฟ้องนี้ ได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งประเทศ เพราะผลการการวินิจฉัยชี้ขาดของศาลฎีกา ว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือ พรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย จะทำให้การจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำต้องชะงักทันที
กระทั่งเวลา 16.30 น. วานนี้ (18 ม.ค.) ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่ง ยกคำร้องคดีดังกล่าว
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 24 ต.ค.50 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป พ.ศ.2550 ให้จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป ในวันที่ 23 ธ.ค.50 ผู้คัดค้านที่ 1-5 มีประกาศ กกต. เรื่องรับสมัคร ส.ส.ในวันที่ 26 ต.ค.50 ให้พรรคการเมืองส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในวันที่ 2-16 พ.ย.50 โดยผู้คัดค้านที่ 7 เป็นผู้ลงนาม ส่งสมาชิกพรรคลงรับเลือกตั้งที่ จ.บุรีรัมย์ โดยการเลือกตั้งเลือกล่วงหน้ากำหนดให้มีในวันที่ 15-16 ธ.ค. 50 เวลา 08.00 – 17.00 น. โดยผู้คัดค้านที่ 1-5 ได้กำหนดวิธีการเลือกตั้งนอกเขตสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สามารถไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค. ได้ โดยให้ยื่นคำขอใช้สิทธิเลือกตั้งท้งในและนอกเขตได้
ผู้คัดค้านที่ 1- 5 ได้ออกระเบียบการเลือกตั้ง กำหนดให้ผู้มีสิทธิไปแสดงตนไปขอใช้สิทธิในการเลือกตั้งดังกล่าว จนทำให้มีการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวขึ้น ตามคำร้องของผู้ร้องที่ระบุว่าผู้คัดค้านที่ 6 เป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย เพราะมีการประกาศต่อสาธารณะชน โดยสืบทอดนโยบาย ใช้ที่ทำการพรรค บุคคลกร และผู้สนับสนุนทางการเงินชุดเดียวกับพรรคไทยรักไทย โดยมีผู้คัดค้านที่ 7 เป็นตัวแทนของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทำหน้าที่ฟื้นฟูกรรมการบริหารพรรค 111 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง พรรคพลังประชาชน จึงไม่มีสิทธิส่งสมาชิกลงรับเลือกตั้ง โดยผู้คัดค้านที่ 1-5 เห็นชอบให้ดำเนินการรับสมัครดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ม.8 วรรคสอง บัญญัติว่า ในการจัดตั้งพรรคการเมืองให้ผู้จัดตั้งพรรคการเมืองจัดให้มีการประชุม เพื่อกำหนดนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับพรรคการเมือง และเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ม.9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า พรรคการเมืองต้องมีชื่อ ชื่อย่อ ภาพ เครื่องหมาย นโยบายและข้อบังคับพรรคการเมืองซึ่งมีลักษณะไม่ก่อให้เกิดความแตกแยก ไม่ก่อให้เกิดความมั่นคงต่อรัฐ อันเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ม.17 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้กรรมการบริหารพรรคมีอำนาจในการบริหารพรรคการเมืองให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย ตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่า พรรคการเมืองต้องจัดตั้ง ตามเจตนารมย์การเมืองของตัวเอง ผู้เป็นหัวหน้าพรรคต้องเป็นผู้แทนของพรรคการเมืองนั้น ตามคำร้องของผู้ร้องข้างต้นอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 6 สืบทอดนโยบายของพรรคไทยรักไทย โดยคณะกรรมการถูกครอบงำโดยกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยผู้คัดค้านที่ 7 ยังเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีภารกิจในการฟื้นฟู กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งทั้ง 111 คน ซึ่งเท่ากับผู้ร้องกล่าวอ้างเกี่ยวกับสถานะของพรรคพลังประชาชน และสถานะของหัวหน้าพรรค ผู้คัดค้านที่ 7 คดีส่วนนี้ไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาวินิจฉัยของศาลฎีกา
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้คัดค้านที่ 1-5 ได้ประกาศให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 15-16 ธ.ค.50 โดยที่ผู้ที่อาศัยในเขตเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าได้ด้วย และการเพิ่มเวลาลงคะแนน จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายนั้น เห็นว่าคำร้องส่วนนี้ เป็นการอ้างว่า กกต. ผู้คัดค้านที่ 1-5 ประกาศให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าดังกล่าวโดยมิชอบ อันเป็นการกระทำของ กกต.โดยตรง คำร้องส่วนนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งอยู่ในอำนาจวินิจฉัยของศาลฎีกา
ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งลงคะแนนล่วงหน้า ไม่แสดงเหตุผล และความจำเป็นถึงขนาดที่มีการลงคะแนนในแบบพิมพ์เปล่าให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ากรอกข้อความเอง จึงเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย และอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 6 นำ ซีดีปราศรัยของอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไปแจกจ่ายให้กับประชาชน ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเป็นคุณแก่ผู้คัดค้านที่ 6 แต่ผู้คัดค้านที่ 1-5 กลับไม่ดำเนินการใดๆ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม. 114 บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองมีสิทธิยืนคัดค้านต่อ กกต.โดย กกต.ต้องทำการสืบสวนสอบโดยพลัน นั้น เห็นว่า การร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นอำนาจของ กกต.โดยเฉพาะ คำร้องของผู้ร้องที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการคัดค้านการเลือกตั้งดังที่วินิจฉัยมา จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลฎีกา
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า ผู้คัดค้านที่ 1-5 ออกประกาศการเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 15-16 ธ.ค. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม. 95 วรรหนึ่ง บัญญัติว่า กรณีผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้รับคำสั่งจากราชการให้ปฎิบัติหน้าที่นอกเขตเลือกตั้ง หรือในวันเลือกตั้งไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ ให้ขอใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าต่อ กกต.ประจำเขตเลือกตั้งได้ วรรคสอง บัญญัติว่าเมื่อ กกต.ประจำเขตเลือกตั้งหรือผู้ที่ กกต.ประจำหน่วยเลือกตั้ง มอบหมาย ให้ตรวจสอบการมีสิทธิเลือกตั้งของผู้แจ้งความประสงค์ตาม วรรค 1 แล้ว ถ้าเห็นว่าถูกต้องให้กำหนดที่เลือกตั้งกลางที่ผู้นั้นจะใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งและแจ้งให้ กกต.ประจำหน่วยเลือกตั้ง ที่ผู้นั้นมีชื่อในบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้งทราบ และหมายเหตุสถานที่ที่ผู้นั้นจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งในเอกสารที่เกี่ยวข้อง และวรรค 3 กำหนดว่าหลักเกณฑ์และวิธีการในการลงคะแนนเลือกตั้งตาม วรรค 1 สถานที่และจำนวนที่เลือกตั้งกลาง และวันที่กำหนดให้มาใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งให้เป็นไปตามที่ กกต.ประกาศ
ศาลเห็นว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ม. 95 วรรค 1-3 เป็นการกำหนดขั้นตอนให้ กกต.จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมด้วยการออกระเบียบและประกาศซึ่ง กรณีที่ กกต. ออกประกาศกำหนดวันและเวลาการเลือกตั้งล่วงหน้า ณ ที่เลือกตั้งกลางวันที่ 15-16 ธ.ค.50 กำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงในเขตเลือกตั้ง ณ ที่เลือกตั้งกลาง จึงเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ม. 95 ที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และเมื่อประกาศดังกล่าวได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ที่มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.50 นั้น ก็เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย กกต.ฯ ม.5
ดังนั้นการที่ กกต.ผู้คัดค้าน ออกประกาศกำหนดวันเวลาเลือกตั้งล่วงหน้า ดังกล่าวนั้น ก็ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่า มีการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า 2 วัน เสมือนทำให้มีการจัดการเลือกตั้ง 3 วัน แต่การปฎิบัติมี 2 มาตรฐาน และการเลือกตั้งล่วงหน้าตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. เป็นการขัดต่อกฎหมายนั้นเห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 1- 5 มีอำนาจจัดให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าได้ โดยประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอใช้สิทธิเลือกตั้ง สถานที่ และจำนวนที่เลือกตั้งกลางและวันที่กำหนดให้มาใช้สิทธิย่อมอยู่ในดุลยพินิจของ กกต.ที่จะกำหนดเห็นตามความเหมาะสม
ส่วนข้ออ้างอื่นอันเป็นข้ออ้างปลีกย่อยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ กล่าวว่า จะไปปรึกษากับทนายความในประเด็น นอมินี เพื่อให้ได้ข้อยุติ ว่าจะดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายได้อย่างไรอีก ต่อจากนี้ต้องร่วมมือกันไม่ให้คนที่ไม่ดีเข้ามาสู่อำนาจการปกครองประเทศ
ส่วนการที่ตนลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีผลตั้งแต่ศาลอ่านคำพิพากษาจบ ทั้งนี้ เหตุผลที่ตนลาออก เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ขอให้ตนถอนฟ้องคดีนี้ หรือถ้าไม่ถอนฟ้องก็ขอให้ตนลาออกจากสมาชิกพรรค ตนจึงตัดสินใจลาออก โดยยื่นใบลาตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้แล้ว
นายไชยวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ตนไม่รู้สึกเสียหน้าในเรื่องนี้ เพราะ เรื่องของบ้านเมือง ไม่มีคำว่าได้หน้า หรือเสียหน้า มีแต่ว่าเราทำเต็มที่แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนศาลจะอ่านคำสั่งคดี ได้มีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ประมาณ 20 คนมาร่วมสังเกตุการณ์ และขณะที่นายไชยวัฒน์ เดินทางมาถึง ได้มีเสียงตะโกนใส่ว่า "แพ้แล้วไม่รู้จักแพ้" แต่นายไชยวัฒน์ ไม่ได้สนใจ รีบเดินเข้าห้องพิจารณาคดีทันที่ แต่กลุ่ม นปก.ไม่ยอมหยุด พยายามตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย แจกอวัยวะเพศชายด้วยเสียงดังมาก จนเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งออกไปดู พร้อมประสานขอกำลังตำรวจนครบาล ประมาณ 30นาย มาคอยดูแลความสงบ กลุ่ม นปก.จึงหุบปาก และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภายหลังที่ศาลอ่านคำสั่งแล้ว กลุ่ม นปก.ได้ใส่เสื้อสีแดง เขียนว่า นปก. และเสื้อสีดำเขียนว่า “ต่อต้านเผด็จการทุกชาติไป กูไม่กลัวมึง" โดยทั้งหมดได้ปรบมืออย่างผู้มีชัย พร้อมกับตะโกนว่า เยี่ยมๆๆๆ คนดีต้องได้ดี ไอ้พวกนั้นอย่ามาอิจฉาตาร้อน" ขณะที่กลุ่มที่มาให้กำลังใจ นายไชยวัฒน์ พูดเบาๆว่า "ปล่อยมันไป ไม่อยากสนใจมันหรอก"
ยกคำร้องล้มเลือกตั้งล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง โดยนายจรัส พวงมณี นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล และนายดิเรก อิงคนินันท์ มีคำสั่งยกคำร้องคดี ที่นายสราวุท ทองเพ็ญ โฆษกพรรคความหวังใหม่ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่ม 3 พรรคความหวังใหม่ ยื่นฟ้อง กกต. ขอให้ศาลวินิจฉัยมีคำสั่งเพิกถอนการเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้งเมื่อวันที่15-16 ธ.ค.50 โดยศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องเช่นกัน
นายสราวุท กล่าวว่า ๖ฯน้อมรับคำสั่งของศาล เพราะถือเป็นที่สุดแล้ว ศาลเห็นว่า กกต.มีอำนาจในการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า แต่มีอำนาจแล้วการจัดการเลือกตั้งจะเป็นตามกฎหมายหรือไม่นั้น ตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาอีกคดีหนึ่ง ให้วินิจฉัยพฤติการณ์ จัดการเลือกตั้งที่อนุญาตให้บุคคลเข้าไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าได้ ไม่มีการสอบสวนว่า มีความจำเป็นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่ โดยอนุญาตให้ทุกคนที่ไปกรอกรายละเอียดและสามารถใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งได้เลย ซึ่งเห็นว่าไม่เป็นด้วยความบริสุทธ์ ยุติธรรม ตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือไม่ โดยคดีนี้ศาลนัดฟังคำสั่ง วันที่ 21 ม.ค.นี้
พปช. เฮ ศาลฎีกายกฟ้องทุกข้อหา
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวภายหลังศาลฎีกาฯ มีคำวินิจฉัยยกคำร้อง ของนายไชยวัฒน์ในทุกข้อกล่าวหา ทั้งกรณีนอมินี และการเรียกร้องให้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นโมฆะว่า พรรคมีความมั่นใจว่าศาลฎีกามีความยุติธรรมกับพรรคการเมืองที่ถูกจับตามอง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็เคยตั้งความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจากนี้ก็คงไม่ต้องกังวลตรงจุดที่จะกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นจะเดินหน้าตามขั้นตอนที่วางไว้ทันที โดยในวันที่ 21 ม.ค. จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดแรก จากนั้นวันที่ 23 ม.ค. จะเลือกประธานสภาฯ วันที่ 25 ม.ค. เลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นจึงจะมีการเลือกคณะรัฐมนตรี และแถลงนโยบายรัฐบาล