“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ชี้คดี “นอมินี” ยังไม่จบ ยังเหลือช่องทางศาลรัฐธรรมนูญที่ยื่นฟ้องได้อีก เชื่อ “ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์” เดินหน้าต่อ เหน็บ ปชป.ตะเพิดพ้นพรรคฯ เพราะห่วงประโยชน์เฉพาะหน้าจนลืมความถูกต้อง ผิดหวังบทบาท กกต.ปล่อย “ยงยุทธ” เข้าสภา ทั้งที่ยังมีคดีคาใจ เหน็บกลัว พปช.ตั้งรัฐบาลไม่ได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 18 ม.ค.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรก ได้กล่าวถึงกรณีศาลฎีกายก 4 คำร้อง ของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่ให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.เป็นโมฆะ และพรรคพลังประชาชนมีความผิดฐานเป็นนอมินีให้พรรคไทยรักไทยรวมทั้งแจกวีซีดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุไม่อยู่ในอำนาจการวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งว่า เราต้องเคารพคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งเมื่อดูรายละเอียดจะเห็นว่า ยังมีช่องทางการดำเนินต่อ โดยเฉพาะคำร้องเรื่องนอมีนี ซึ่งศาลเห็นว่า ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ศาลฎีกาฯจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัย แต่เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเกมจึงยังไม่จบ
กรณีดังกล่าวอาจจะนำไปสู่ขั้นตอนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อว่านายไชยวัฒน์ จะเดินหน้าเพื่อนำความถูกต้องกลับคืนมาแน่ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ต้องได้รับการพิสูจน์ ขณะเดียวกันก็ต้องขอแสดงความเคารพและชื่นชมกับบทบาทของนายไชยวัฒน์ โดยเฉพาะการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแลกกับการเดินหน้าฟ้องร้องหวังให้คดีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ เมื่อนำกรณีของนายไชยวัฒน์ ไปเทียบเคียงกับกรณีนายวิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคชาติไทย จ.เชียงราย ถอนคำร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนแล้ว จะเห็นว่าพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค แสดงออกต่างกัน โดยของพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีการประกาศอย่างชัดเจนว่า การยื่นร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้นไม่ใช่แนวทางของพรรค ซึ่งทำให้นายไชยวัฒน์ต้องลาออกเพื่อไปต่อสู้เพื่อความถูกต้องในแนวทางของตัวเอง แต่กรณีของนายวิจิตร พรรคชาติไทยกลับปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับพรรค เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้สมัคร โดยไม่สนใจเรื่องความถูกผิด ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้วพรรคมีบทบาทสูงมากต่อตัวผู้สมัคร
**เหน็บ ปชป.ห่วงตัวเอง-ลืมความถูกต้อง
ผู้ดำเนินรายการ เชื่อว่า การที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ สั่งให้นายไชยวัฒน์ ถอนฟ้องในประเด็นการเลือกตั้ง เป็นโมฆะนั้น คงเป็นเพราะกลัวประชาชนจะมองพรรคในแง่ร้าย หาว่าทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่ ซึ่งแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ไม่อยากเสี่ยงที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ อาจเป็นเพราะกลัวจะได้ส.ส.น้อยลงกว่าเดิม หรือกลัวจะไม่มีเงินทุนใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ เมื่อเทียบกับพรรคพลังประชาชนที่มีทุนอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะไม่ต้องการขัดแย้งกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาให้ความเป็นธรรม เหมือนอย่างที่เคยโดนมาแล้วในยุค กกต. 3 หนา ดังนั้นการกระทำของนายไชยวัฒน์ จึงโดนต่อต้านมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่เป็นการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และทำให้มองว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นที่เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าของพรรคมากกว่าความถูกต้อง
**เชื่อ พปช.สกัดเด็กสายตรง “คมช.” นั่งกลาโหมแน่
ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงการเตรียมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล 6 พรรค โดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ ในวันที่ 19 ม.ค.ว่า เป็นการประกาศจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่สนใบเหลือง-ใบแดง ของ กกต. ประเทศไทยกำลังจะมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งทำให้น่าสงสัยว่าถ้านายกรัฐมนตรีต้องร่วมงานพิธีการกับประธานองคมนตรี นายสมัครจะแสดงออกอย่างไร
จากนั้นผู้ดำเนินรายการ ได้เปิดเทปบันทึกรายการ “เช้าวันนี้..ที่เมืองไทย” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) เมื่อต้นปี 2549 ซึ่งนายสมัครได้ต่อว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กรณีปาฐกถาแนะนำให้รัฐบาลยึดแนวทางพระราชดำรัส โดยผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ระหกระเหินหลังจากถูก ททบ.5 เขี่ยทิ้งด้วยข้อหาการจาบจ้วงประธานองคมนตรี กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งอาจขั้วรัฐมนตรีว่าการกระรทวงกลาโหมอีกด้วย
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่มีข่าวว่าจะมาเป็น รมว.กลาโหม สายตรงจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็เชื่อว่าอาจจะไม่ได้นั่งในตำแหน่งดังกล่าว เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในพรรคพลังประชาชนไม่ยอม ที่สำคัญพรรคพลังประชาชนยังอ้างความชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นเชื่อว่าประเทศกำลังจะหันไปอีกด้านหนึ่งอย่างสุดขั้ว ขณะที่การวางบุคลากรโดยมีเป้าหมายของพรรคพลังประชาชน ก็ไม่แตกต่างไปจากการแบ่งเค้กแย่งเก้าอี้อย่างเมามันของนักการเมือง
**คาใจ กกต.ปล่อยผี “ยงยุทธ”
ผู้ดำเนินรายการ ยังรู้สึกผิดหวังต่อการทำหน้าที่ของ กกต.ที่ประกาศรับรอง ส.ส.เพิ่มอีก 29 คน ทั้งๆ ที่หลายคนยังมีเรื่องร้องเรียนค้างอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมองว่า กกต.กำลังหลงมายาคติ ไม่สนผลกระทบที่ตามมา รู้สึกผิดหวังอย่างแรง กับการคาดหวังจะเห็นการทำหน้าที่อย่างสุจริตเที่ยงธรรม ถือว่าการทำงานของ กกต.นั้นล้มเหลว โดยเฉพาะการปล่อยให้นายยงยุทธ ติยะไพรัช เข้าสภาโดยที่ยังสอบสวนไม่เสร็จนั้นเป็นเรื่องที่คาใจมาก
ทำไมต้องรีบรับรองนายยงยุทธ หรือเห็นว่า นายยงยุทธเป็นบุคคลสำคัญต่อพรรคพลังประชาชน ทำให้ กกต.จำเป็นต้องประกาศรับรอง กกต.ใช้บรรทัดฐานอะไร หรือเห็นแนวโน้มว่าพรรคพลังประชาชนจะได้เป็นรัฐบาล ก็เลยต้องปล่อยไปก่อน ไม่เช่นนั้นพรรคประชาชนจะตั้งรัฐบาลไม่ได้
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 18 ม.ค.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรก ได้กล่าวถึงกรณีศาลฎีกายก 4 คำร้อง ของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่ให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.เป็นโมฆะ และพรรคพลังประชาชนมีความผิดฐานเป็นนอมินีให้พรรคไทยรักไทยรวมทั้งแจกวีซีดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุไม่อยู่ในอำนาจการวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งว่า เราต้องเคารพคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งเมื่อดูรายละเอียดจะเห็นว่า ยังมีช่องทางการดำเนินต่อ โดยเฉพาะคำร้องเรื่องนอมีนี ซึ่งศาลเห็นว่า ไม่ใช่คดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ศาลฎีกาฯจึงไม่มีอำนาจวินิจฉัย แต่เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเกมจึงยังไม่จบ
กรณีดังกล่าวอาจจะนำไปสู่ขั้นตอนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เชื่อว่านายไชยวัฒน์ จะเดินหน้าเพื่อนำความถูกต้องกลับคืนมาแน่ เรื่องต่างๆ เหล่านี้ต้องได้รับการพิสูจน์ ขณะเดียวกันก็ต้องขอแสดงความเคารพและชื่นชมกับบทบาทของนายไชยวัฒน์ โดยเฉพาะการลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแลกกับการเดินหน้าฟ้องร้องหวังให้คดีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ เมื่อนำกรณีของนายไชยวัฒน์ ไปเทียบเคียงกับกรณีนายวิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคชาติไทย จ.เชียงราย ถอนคำร้องคัดค้านการรับรองผลการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนแล้ว จะเห็นว่าพรรคการเมืองทั้ง 2 พรรค แสดงออกต่างกัน โดยของพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีการประกาศอย่างชัดเจนว่า การยื่นร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้นไม่ใช่แนวทางของพรรค ซึ่งทำให้นายไชยวัฒน์ต้องลาออกเพื่อไปต่อสู้เพื่อความถูกต้องในแนวทางของตัวเอง แต่กรณีของนายวิจิตร พรรคชาติไทยกลับปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวกับพรรค เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้สมัคร โดยไม่สนใจเรื่องความถูกผิด ทั้งที่ในข้อเท็จจริงแล้วพรรคมีบทบาทสูงมากต่อตัวผู้สมัคร
**เหน็บ ปชป.ห่วงตัวเอง-ลืมความถูกต้อง
ผู้ดำเนินรายการ เชื่อว่า การที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ สั่งให้นายไชยวัฒน์ ถอนฟ้องในประเด็นการเลือกตั้ง เป็นโมฆะนั้น คงเป็นเพราะกลัวประชาชนจะมองพรรคในแง่ร้าย หาว่าทำให้ต้องเลือกตั้งใหม่ ซึ่งแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ไม่อยากเสี่ยงที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ อาจเป็นเพราะกลัวจะได้ส.ส.น้อยลงกว่าเดิม หรือกลัวจะไม่มีเงินทุนใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ เมื่อเทียบกับพรรคพลังประชาชนที่มีทุนอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะไม่ต้องการขัดแย้งกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาให้ความเป็นธรรม เหมือนอย่างที่เคยโดนมาแล้วในยุค กกต. 3 หนา ดังนั้นการกระทำของนายไชยวัฒน์ จึงโดนต่อต้านมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่เป็นการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และทำให้มองว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นที่เห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าของพรรคมากกว่าความถูกต้อง
**เชื่อ พปช.สกัดเด็กสายตรง “คมช.” นั่งกลาโหมแน่
ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงการเตรียมแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล 6 พรรค โดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ ในวันที่ 19 ม.ค.ว่า เป็นการประกาศจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่สนใบเหลือง-ใบแดง ของ กกต. ประเทศไทยกำลังจะมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งทำให้น่าสงสัยว่าถ้านายกรัฐมนตรีต้องร่วมงานพิธีการกับประธานองคมนตรี นายสมัครจะแสดงออกอย่างไร
จากนั้นผู้ดำเนินรายการ ได้เปิดเทปบันทึกรายการ “เช้าวันนี้..ที่เมืองไทย” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) เมื่อต้นปี 2549 ซึ่งนายสมัครได้ต่อว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กรณีปาฐกถาแนะนำให้รัฐบาลยึดแนวทางพระราชดำรัส โดยผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ระหกระเหินหลังจากถูก ททบ.5 เขี่ยทิ้งด้วยข้อหาการจาบจ้วงประธานองคมนตรี กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งอาจขั้วรัฐมนตรีว่าการกระรทวงกลาโหมอีกด้วย
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่มีข่าวว่าจะมาเป็น รมว.กลาโหม สายตรงจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็เชื่อว่าอาจจะไม่ได้นั่งในตำแหน่งดังกล่าว เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่ในพรรคพลังประชาชนไม่ยอม ที่สำคัญพรรคพลังประชาชนยังอ้างความชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นเชื่อว่าประเทศกำลังจะหันไปอีกด้านหนึ่งอย่างสุดขั้ว ขณะที่การวางบุคลากรโดยมีเป้าหมายของพรรคพลังประชาชน ก็ไม่แตกต่างไปจากการแบ่งเค้กแย่งเก้าอี้อย่างเมามันของนักการเมือง
**คาใจ กกต.ปล่อยผี “ยงยุทธ”
ผู้ดำเนินรายการ ยังรู้สึกผิดหวังต่อการทำหน้าที่ของ กกต.ที่ประกาศรับรอง ส.ส.เพิ่มอีก 29 คน ทั้งๆ ที่หลายคนยังมีเรื่องร้องเรียนค้างอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมองว่า กกต.กำลังหลงมายาคติ ไม่สนผลกระทบที่ตามมา รู้สึกผิดหวังอย่างแรง กับการคาดหวังจะเห็นการทำหน้าที่อย่างสุจริตเที่ยงธรรม ถือว่าการทำงานของ กกต.นั้นล้มเหลว โดยเฉพาะการปล่อยให้นายยงยุทธ ติยะไพรัช เข้าสภาโดยที่ยังสอบสวนไม่เสร็จนั้นเป็นเรื่องที่คาใจมาก
ทำไมต้องรีบรับรองนายยงยุทธ หรือเห็นว่า นายยงยุทธเป็นบุคคลสำคัญต่อพรรคพลังประชาชน ทำให้ กกต.จำเป็นต้องประกาศรับรอง กกต.ใช้บรรทัดฐานอะไร หรือเห็นแนวโน้มว่าพรรคพลังประชาชนจะได้เป็นรัฐบาล ก็เลยต้องปล่อยไปก่อน ไม่เช่นนั้นพรรคประชาชนจะตั้งรัฐบาลไม่ได้
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )