xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” จวก “ทีไอทีวี” ใช้คลื่นรัฐเพื่อตัวเองทิ้งทวน - เชื่อการเมืองจบฉาก 18 ม.ค.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ติงคนทีไอทีวีใช้คลื่นสาธารณะเพื่อประโยชน์ตัวเองจนนาทีสุดท้าย ตัดภาพสัมภาษณ์งานพระราชพิธีพระศพไปถ่ายทอดสดแถลงการณ์โจมตีกรมประชาฯ ชี้เป็นผลงาน “สุรยุทธ์” อยากเท่ไปรับปากช่วยคนไอทีวีแต่แรกจนเกิดปัญหาตามมา เผยสถานการณ์ภายใน กกต.ขัดแย้งหนัก เหลือ กกต.เชื่อถือได้ไม่เกิน 3 คน แต่เชื่อทุกอย่างจะจบลง 18 ม.ค.นี้ หลังศาลชี้ขาดคดีเลือกตั้งโมฆะ-พปช.เป็นนอมิมี

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ  ช่วงที่ 2

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 15 ม.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ เป็นผู้ดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่คนร้ายลอบวางระเบิด และซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 34 ร้อย ร.2923 ขณะออกลาดตระเวนในพื้นที่ ม.4 บ.รือเปาะ ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต 8 นาย

สำหรับปัญหาความไม่สงบใน จ.ชายแดนภาคใต้นั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ในอดีต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยใช้มาตรการความรุนแรงลงไปใน 3 จ.ชายแดนภาคใต้นานนับปี จนทำให้มีการร้องเรียนเรื่องการถูกอุ้มฆ่า ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กล้าลงภาคใต้ จนกระทั่งมาวันนี้ ทหารเสียชีวิต 8 นาย มีคนถามว่าแล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯ คนปัจจุบันไปไหน ทำไมไม่ลงพื้นที่

“เวลาพนักงานทีไอทีวีไปร้องเรียน นายกฯ ออกไปรับเรื่องทุกครั้ง แต่ในกรณีที่คนจน หรือ ร.ส.พ.ไปร้องเรียน พล.อ.สุรยุทธ์ กลับให้ตัวแทนออกรับเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี ร.ส.พ. พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่เคยสนใจที่จะให้เขาเหล่านั้นกลับมาทำงาน แต่กรณีทีไอทีวีนายกฯ กลับให้ความสนใจเป็นพิเศษ ถึงกับตกปากรับคำว่าจะให้พนักงานทีไอทีวีกลับเข้าทำงาน โดยไม่สนใจว่าจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ทั้งๆ ที่ทีไอทีวีเป็นบริษัทเอกชนที่มีกลุ่มชินคอร์ปเข้าไปเกี่ยวข้อง เมื่อมีปัญหาก็โยนให้ปลัดสำนักนายกฯ กับอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์รับไป จึงคิดว่านายกฯ อยากเท่เพียงอย่างเดียว แต่ไม่รับผิดชอบ”

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า มีคำถามเกิดขึ้นว่า ทำไมบริษัทเอกชนเหล่านั้นจึงสำคัญว่าคลื่นดังกล่าวเป็นคลื่นของตัวเอง และน่าเห็นใจบางคนในทีไอทีวีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อมันเป็นคลื่นของชาติซึ่งมีประชาชนเป็นเจ้าของ อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐได้มีการแจ้งไปทางทีไอทีวีก่อนล่วงหน้าแล้ว 7 เดือน ว่าจะเปลี่ยนผ่านเป็นทีวีสาธารณะ การให้หยุดออกอากาศเมื่อเที่ยงคืนวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงไม่ได้เป็นการหักดิบแต่อย่างใด

“ต้องทบทวนในอดีตเมื่อครั้งมีคำสั่งให้ปิดสถานีไอทีวี ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือ พนักงานไอทีวีใช้คลื่นความถี่ซึ่งเป็นของประชาชน ปลุกระดมให้ชาวบ้านช่วยสนับสนุน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ ในช่วงก่อนปิดสถานี 10 นาที เป็นรายการทไวไลท์โชว์ ซึ่งมีการสัมภาษณ์เกี่ยวกับงานพระราชพิธีพระศพของพระพี่นางฯ แต่อยู่ดีๆ ภาพก็ตัดกลับเข้าสู่รายการพิเศษ โดยมีผู้ดำเนินรายการของทีไอทีวี โจมตีกรมประชาสัมพันธ์ พร้อมเปิดมิวสิควีดีโอ เพื่อให้ประชาชนเห็นการทำงานที่เหนื่อยยากของทีไอทีวี หลังจากนั้นก็ตัดภาพกลับไปยังรายการทไวไลท์โชว์อีกครั้ง จนท้ายที่สุดกรมประชาสัมพันธ์ต้องตัดสินใจตัดสัญญาณภาพเมื่อเวลา 24.08 น. ทั้งๆ รายการซึ่งอธิบายเกี่ยวกับงานพระราชพิธีดังกล่าวยังไม่จบ”

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า เมื่อเทียบกับกรณีของไอทีวี น่าเสียดายที่คนจากองค์การฟอกหนัง หรือ ร.ส.พ. รวมทั้งไทยเดินเรือทะเล ทำไมถึงไม่ได้รับสิทธิ์ให้กลับเข้าทำงาน ทั้งๆ ที่เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ที่สำคัญคือความไม่เด็ดขาดของ พล.อ.สุรยุทธ์ เพราะจริงๆ แล้วถ้าวันที่จะมีการปิดสถานีไอทีวีในครั้งแรก ก็สามารถปิดได้ แล้วนำคนที่มีความสามารถเข้าไปดำเนินการต่อ แต่นายกฯ ไม่ทำ กลับไปรับปากว่าจะรับเข้าทำงานหมด

มาวันนี้ ครม.มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายทีวีสาธารณะ 5 คน ซึ่งเมื่อเลือกได้แล้ว กรรมการทั้ง 5 คน ได้ประชุมกัน ซึ่งท้ายที่สุดได้มีมติให้พนักงานทีไอทีวี และบุคลที่สนใจจะทำงานทีวีสาธารณะ สามารถไปสมัครงานได้ในวันที่ 16 - 19 ม.ค.นี้ ที่กรมประชาสัมพันธ์

“วันนี้ดีใจที่มีการเริ่มต้นใหม่ รวมทั้งจะมีการคัดสรรพนักงานให้เข้าไปร่วมงานในรัฐ ดังนั้นเลิกพูดเสียทีเถิดว่าเอเอสทีวี มีส่วนเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการนโยบายฯ เพราะคณะกรรมการฯ ทั้ง 5 ท่าน ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องอันใดกับเอเอสทีวีเลย เราเป็นเหมือนสื่อนอกคอก ซึ่งถ้าคนที่รับฟังรายการเรามีใจเป็นธรรม ก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าความจริงคืออะไร

**วันเปลี่ยน กกต.บางคนเปลี่ยน

ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงข่าวความขัดแย้งใน กกต.ซึ่งทำให้เกิดความไม่สบายใจ ก่อนหน้านี้เคยมีความเชื่อว่า กกต.ทั้ง 5 คนนั้น เชื่อใจได้ถึง 4 คน แต่ขณะนี้ กกต.ที่เชื่อใจได้อาจเหลือแค่ 3 หรือ 2 เนื่องจากเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน อาจจะเป็นเพราะวิธีคิดเปลี่ยนไปหรือได้ข้อมูลใหม่มาก็ตาม แต่น้ำเสียงของ กกต.บางคนได้เปลี่ยนไป ทำให้ กกต.ที่เราไม่ไว้ใจนั้นเพิ่มจำนวนขึ้นจาก 1 อาจเป็น 2 หรือ 3 จึงขอภาวนาว่าข่าวดังกล่าวจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ในช่วงนี้ คงต้องให้กำลังใจแก่นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองมากเป็นพิเศษ เพราะเหมือนกับถูกกดดันค่อนข้างมาก จนบางครั้งให้สัมภาษณ์หลุดออกมา เพราะเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา

“เชื่อว่า ขณะนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งใน กกต.รุนแรงมาก ทั้งในเชิงการวินิจฉัย และการบริหาร บางทีก็หักกันซึ่งๆ หน้า ไม่เข้าประชุมเฉยๆ ด่ากันในห้องประชุม หรือเอาสำนวนออกไปดื้อๆ ทั้งที่มีมติแล้วว่าเป็นเอกสารลับต้องเอาคืน ซึ่งถ้าฝ่าฝืนมติเอาออกไปแบบนี้ คนที่เอาออกไปก็ถือว่าผิด แล้วบังเอิญพอเอาออกไป แล้วเป็นข่าวในวันรุ่งขึ้นต่อมาพยานหาย มีการถอนฟ้อง จนกระทั่งมีการเจรจาขอดูเอกสารทั้งหมด แล้วก็ออกมาโต้แย้งอย่างเป็นกระบวนการได้” ผู้ดำเนินรายการกล่าว

นายปานเทพ ยังได้แสดงเอกสารเป็นบันทึกข้อความที่ลงนามโดย พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ซึ่งได้รายงานถึงผลการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนต่างๆ ในช่วงการเลือกตั้ง โดยในช่วงวันที่ 24 พ.ย. – 24 ธ.ค.50 มีเหตุร้องเรียนที่รับแจ้ง 1,030 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ 352 เรื่อง ส่วนที่ตรวจสอบแล้วพบว่ามีข้อมูลไม่เพียงพอจึงให้ยกคำร้อง 678 เรื่อง

ต่อมาในช่วงวันที่ 11-18 ธ.ค.ใกล้ถึงโค้งท้ายของการเลือกตั้ง มีเรื่องร้องเรียนรับแจ้งเข้ามา 273 เรื่อง แต่เมื่อตรวจสอบ ได้ตัดไป 200 กว่าเรื่อง วันที่ 19-21 ธ.ค. มีเรื่องร้องเรียนรับแจ้ง 181 เรื่อง แต่เมื่อพิจารณาแล้วตัดไป 105 เรื่อง ซึ่งมีข้อน่าสงสัยว่าเรื่องร้องเรียนถูกตัดออกไปง่ายๆ จำนวนมากได้อย่างไร และนี่เป็นการตรวจสอบก่อนที่ตำรวจสันติบาลจะเข้าไปช่วยงาน กกต.

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า กรณีที่ตำรวตจสันติบาลเข้าไปช่วยงานด้านการสืบสวนสอบสวนของ กกต.นั้น ถ้า กกต.ไม่มัวหลงไปกับการร้องเรียนของอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่กลัวถูกคุกคาม ย่อมไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญว่าตำรวจคนนั้นจะรู้จักใคร หรือถ้ารู้จักนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสนธิก็ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นคนธรรมดาเท่านั้น และหากจะยึดหลักว่าถ้ารู้จักใครแล้วห้ามมาทำ ก็ไม่ต้องเอามนุษย์ถ้ำมาทำหรือ เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ที่พยานหลักฐานและสำนวนว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ต่างหาก

**เชื่อทุกอย่างจบฉาก 18 ม.ค.

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการมองถึงสถานการณ์อึมครึมทางการเมืองขณะนี้ว่า ทุกอย่างจะจบในวันที่ 18 ม.ค.นี้ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เนื่องจากกรณีที่พรรความหวังใหม่ยื่นร้องต่อศาลฎีกาว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 15 – 16 ธ.ค.50 ผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งจะทำให้การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 23 ธ.ค.เป็นโมฆะ ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในเวลา 15.00 น. วันที่ 18 ม.ค. ก่อนที่จะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกวันที่ 21 ม.ค.

นอกจากนี้ยังมีคดีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นร้องต่อศาลฎีกาให้การเลือกตั้งล่วงหน้าเป็นโมฆะเช่นเดียวกับพรรคความหวังใหม่ และมีอีกประเด็นสำคัญคือยื่นร้องว่าพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีให้กับพรรคไทยรักไทย การส่ง ส.ส.ลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค.จึงถือว่าไม่ถูกต้องทั้งหมด ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน (18 ม.ค.) เวลา 16.00 น. ซึ่งเชื่อว่าบรรทัดฐานของผู้พิพากษาทั้ง 2 คณะ น่าจะตรงกัน

คำพิพากษาในวันที่ 18 ม.ค.จะเป็นบริบทที่จบในฉากที่ 1 ไม่ว่าเรื่องนอมินี หรือการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ถ้าศาลบอกว่าไม่ผิดก็เดินหน้าต่อ แต่ถ้าผิดก็ต้องมีคนรับผิดชอบ โดยอาจจะถึงขั้นยุบพรรคพลังประชาชน แต่ไม่ว่าจะออกทางไหน เชื่อว่าทุกคนคงยอมรับ

ในช่วงท้าย ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีนายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคชาติไทยอ้างว่า นายวิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 3 พรรคชาติไทย ขอถอนคำร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งของนาย ยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชนออกไปเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ว่า ถ้าเช่นนั้น หากมีเรื่องรัฐมนตรีของพรรคชาติไทยโกง ก็จะปล่อยให้โกงไป ไม่เกี่ยวกับพรรคใช่หรือไม่

คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )


กำลังโหลดความคิดเห็น