“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ผิดหวัง “เติ้ง-เสนาะ-ประชัย” กรูเข้าร่วมรัฐบาล “พลังแม้ว” แค่ได้ยินเสียงเคาะกะลา ขณะ กกต.ยังแจกใบเหลือง-ใบแดงไม่เสร็จ อัด “บรรหาร” เพิ่งโดน “นพดล” ด่า แต่ยังกระสันจะร่วม ครม. เตือนจะทำให้ “ป๋าเปรม” กระอักกระอ่วน ที่อาจร่วมงานพิธีกับ “สมัคร” แถมทำให้ “หนูนา” ผิดหวัง ชี้เป็นเรื่องน่าสะอิดเอียนและน่าเศร้าของประเทศชาติ
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 4 มกราคม นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ นางจินดารัตน์ เจิรญชัยชนะ และนางสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงกรณีบรรยากาศความวุ่นวายบริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ว่า เป็นการชุมนุมที่ไม่มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ ในขณะนี้ ซึ่งเป็นห้วงเวลาของการร่วมถวายความอาลัย แด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
แม้กระทั้งพรรคการเมืองที่กำลังอยู่ในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล ก็ยังต้องประกาศหยุดกิจกรรมทางการเมือง แต่ก็ยังปรากฏภาพที่ไม่เหมาะสมขึ้นมาอีก การเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชนเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ต้องดูว่า ในขณะนี้มันสมควรหรือไม่ ที่สำคัญเป็นการชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับว่าที่ ส.ส.เขต 1 จังหวัดบุรีรัมย์ ทำไมนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน จึงไม่ออกมาตำหนิ ปล่อยให้นายกุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชนออกมาพูดหน้าตาเฉยว่า “ต้องยอมรับการแสดงออกของประชาชน”
ขณะเดียวกัน ผู้ดำเนินรายการยังรู้สึกผิดหวังกับบรรยากาศทางการเมืองหลังผ่านพ้นปลายปี 2550 เป็นต้นมา โดยเฉพาะท่าทีของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่ถูกคาดหมายให้เป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยวันนี้กลับเปลี่ยนแปลงท่าที หันไปตกปากรับคำร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ทั้งๆ ที่มีเสียงทักท้วงบอกให้ชะลอออกไปก่อน แต่นายบรรหาร ก็ยังไม่ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีกทั้งยังจะแถลงข่าวเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลเมื่อวันที่ 2 มกราคม แต่ด้วยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ กำหนดการดังกล่าวต้องเลื่อนออกไป คาดว่าจะแถลงข่าวอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 7 มกราคมนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่พรรคชาติไทย และพรรคเพื่อแผ่นดินเป็นพรรคใหญ่ มี ส.ส.รองลงมาจากพรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นทั้งสองพรรคจึงมีความสำคัญในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล จึงไม่เห็นด้วยที่ทั้งสองพรรคจะเร่งรีบ ควรจะสงวนท่าที หรืออย่างน้อยก็ควรรอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ให้เสร็จสิ้นก่อน สถานการณ์อย่างนี้ยืนอยู่ข้างนอกจะเหมาะสมที่สุด สมมุติหากว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน โดนใบแดงสัก 30 คน พรรคพลังประชาชนจะลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาทันที แต่นี่กลับชิงประกาศร่วมจัดตั้งกันก่อนรอผลสรุปจาก กกต.ดังนั้น กกต.จะแจกใบแดงให้กับว่าที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนสักกี่ใบก็ไม่มีความหมาย
“พรรคชาติไทยยังมีเวลาถึง 17-18 มกราคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ กกต.จะแจกใบเหลืองใบแดง การไม่รอทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคชาติไทยนั้น ถูกมองเป็นเพียงแค่ต้องการต่อรองทางการเมืองเท่านั้น ท่าทีของท่านบรรหาร หลังการเลือกตั้งนั้นดูดีมาก สามารถให้ความหวังไว้เนื้อเชื่อใจได้เลย แต่วันนี้วิธีคิดของท่านกลับเหมือนนักเลือกตั้งที่เราเห็นได้ทั่วๆไป ท่านไม่ยอมเปลี่ยนแนววิธีคิด สิ่งที่ท่านทำในอดีตจึงขัดกับสิ่งที่ทำในวันนี้เป็นอย่างมาก”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การด่วนเข้าไปโดยที่ยังไม่รอให้ผลการพิจารณาใบเหลืองใบแดงของ กกต.ออกมาชัดเจนก่อน ทำให้ความหวังของประชาชนที่จะเห็นผู้แทนฯ ที่ยึดมั่นในหลักการมากกว่าผู้แทนที่มุ่งแต่จะเข้าไปเป็นรัฐบาล ต้องหมดไป ทั้งที่เคยตั้งความหวังกับนายบรรหารไว้มาก
นอกจากนี้ การจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน ยังทำให้คนเข้าใจว่าท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของนายบรรหารก่อนหน้านี้ เป็นเพียงการต่อรองทางการเมืองเท่านั้น
ผู้ดำเนินรายการยังแสดงความผิดหวังต่อ นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่ประกาศเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนแน่นอนแล้ว ทั้งที่การกระทำดังกล่าวขัดแย้งกับที่นายเสนาะเคยพูด
ส่วน นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็น่าผิดหวังเช่นเดียวกัน และนึกไม่ออกว่าจะร่วมหอลงโรงกับพรรคพลังประชาชนได้อย่างไร หากดูจากคำแถลงของนายประชัยช่วงก่อนวันเลือกตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไปร่วมรัฐบาลกัน
ส่วนพรรครวมใจไทยชาติพัฒนานั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ไม่ค่อยผิดหวัง เพราะพรรคนี้ก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ขณะที่พรรคเพื่อแผ่นดินนั้น โดยส่วนตัวแม้จะไม่ชอบนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาการเลือกตั้งของพรรค แต่ในครั้งนี้ท่าทีของนายวัฒนาน่าไว้ใจมากที่สุด ส่วนจะมีกลุ่มงูเห่าภายในพรรคหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะคนอย่างว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี นั้น เคยอยู่กับพรรคไทยรักไทย เป็นคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องกลับไปอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากลุ่มของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งเป็นคนที่น่านับถือคงไม่ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า สำหรับพรรคชาติไทยนั้นถือว่ามีเสียงของตัวเองที่เป็นน้ำเป็นเนื้อ นายบรรหารนั้น ตั้งแต่เข้ามาเล่นการเมือง ที่ผ่านมามีภาพลักษณ์ไม่ค่อยดี เพียงแต่ช่วงหลังมีโอกาสปรับตัวมากขึ้น ตั้งแต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีและให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง หลังการเลือกตั้งปี 2548 ก็มีจุดยืนที่จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคไทยรักไทย เพื่อให้สภามีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง
แม้แต่ในช่วงหลังการปฏิวัติวันที่ 19 ก.ย. นายบรรหารก็ออกมาปกป้อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รวมทั้งปกป้องคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) จน พ.ต.ท.ทักษิณเหน็บแนมว่าเป็นโฆษก คมช.
“เขาพูดอย่างงั้น ก็ยังแรดไปหาเขา โดยส่วนตัวแล้วเรารู้สึกเสียใจมาก คิดว่านายบรรหารคงได้ดูรายการนี้ พวกเราดีใจที่มีนักการเมืองอย่างคุณบรรหารมาดูรายการเรา ตอนที่นายนพดล ปัทมะ ตอกหน้าเอา คุณกัญจนา(ศิลปอาชา) ต้องโทร.มาขอแก้ข่าว ท่านก็มาตอกหน้านายนพดลกลับ ไม่รู้ว่านี่จะเป็นละครหรือเปล่า”
** เตือน “เติ้ง” จะโดนดูถูก
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า การตั้งรัฐบาลครั้งนี้ นายบรรหารน่าจะรู้ว่าใครเป็นคนตั้ง จากภาพที่เห็น นายบรรหารถูกนายนพดลตอกหน้าเอา พ.ต.ท.ทักษิณต่อว่าเอา แล้วนายบรรหารก็ดูโกรธ แล้วก็ยังจะไปร่วมรัฐบาลกับเขา และถ้าไปร่วมรัฐบาลจริงๆ ก็คงจะถูกนายสมัครตอกหน้าเอาอีกครั้ง
นอกจากนี้ เงื่อนไข 5 ข้อที่พรรคชาติไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดินตั้งขึ้นมาเพื่อร่วมรัฐบาลนั้น ยังไม่มีการตอบรับจากพรรคพลังประชาชนสักข้อ มีแต่การปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล แล้วทั้ง 2 พรรคนี้ยังจะเข้าร่วมได้อย่างไร
“ถ้าไปร่วมรัฐบาล คุณบรรหารจะโดนดูถูก คุณไม่มีค่าอะไรหรอก นอกจากไปสร้างความชอบธรรมให้เขา ไปเป็นฝีพาย พายเรือให้...นั่ง”ผู้ดำเนินรายการกล่าว
หลังจากนั้น ผู้ดำเนินรายการได้เปิดเทปคำให้สัมภาษณ์ของบรรหารในที่ต่างๆ โดยเฉพาะ คำพูดที่ว่า จะไม่ทำให้คนที่นับถือมา 30 ปี ต้องผิดหวัง และจะนับถือตลอดไป รวมทั้งคำพูดที่บอกว่า ไม่เชื่อคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่เป็นคนพูดวันนี้อย่างพรุ่งนี้อย่าง นอกจากนี้นายบรรหารยังได้ย้ำหลายครั้งก่อนวันเลือกตั้งว่า ยังมีจุดยืนเดิมในการเป็นพันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน
โดยเฉพาะคำพูดเมื่อวันที่ 7 พ.ย.50 นายบรรหารบอกว่า ถ้าพรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็จะไม่เข้าร่วมอย่างแน่นอน เพราะถ้าร่วม ประชาชนจะประณาม ดังนั้นพรรคชาติไทยจะไม่ร่วมอย่างแน่นอน
ผู้ดำเนินรายการยังได้กล่าวถึงตอนที่นายบรรหารไปหาเสียงที่ภาคอีสานและไปชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้ถูกต่อว่า นายบรรหารก็รีบโทรศัพท์มาชี้แจงว่ายังยืนยันท่าทีเดิม แต่ที่ทำไปอย่างนั้นก็เพื่อแย่งคะแนนจากพรรคพลังประชาชนที่ได้รับความนิยมสูงในภาคอีสาน พร้อมกับยืนยันว่า ไม่มีทางไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนอย่างเด็ดขาด เพราะไม่อยากทำกับลูก(นางสาวกัญจนา ศิลปอาชา)อย่างนั้น
“สโลแกนของพรรคชาติไทยที่ว่า “สัจจะกตัญญู” ตอนนี้จะเป็น “ตระบัตสัตย์-อกตัญญู” หรือเปล่า คุณกัญจนาจะผิดหวังหรือเปล่า จากที่เคยบอกว่าภูมิใจในตัวพ่อ ท่านไม่อายประชาชนหรือ จึงน่าจับตาว่า บั้นปลายของการเมืองนักการเมืองที่มีอายุมาก จะจบลงในฐานะพระเอกหรือผู้ร้ายดี”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า ตอนนี้นายบรรหารและลูกพรรคหลายคนก็ได้เป็น ส.ส.อยู่แล้ว ทำไมต้องอยากไปเป็นรัฐบาล หรือว่า กลัวจะอดอยากปากแห้ง เหมือนที่เคยพูด หรือว่านายบรรหารอยากจะให้ลูกหลานจดจำว่าเป็น”ปลาไหล” ทำให้สิ่งที่นางสาวกัญจนาต่อสู้มาต้องสูญเปล่า ซึ่งในช่วงหาเสียงนั้น นางสาวกัญจนาช่วยในเรื่องภาพลักษณ์ของพรรคชาติไทยได้มาก นายบรรหารไม่สงสารลูกสาวบ้างหรือ
** เตือนความจำ “ป๋าเหนาะ” เคยสาบานหน้าวัดพระแก้ว
สำหรับ นายเสนาะ เทียนทอง นั้นเคยสาบานต่อหน้าวัดพระแก้วว่าไม่เคยขออะไรจาก พ.ต.ท.ทักษิณแม้แต่สลึงเดียว แต่วันก่อนนี้เพิ่งให้ภรรยาไปนั่งแถลงข่าวจับมือตั้งรัฐบาลกับนายสมัคร ทั้งที่เคยพูดหลายครั้งว่าไม่สามารถร่วมงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณได้อีก เพราะเป็นคนไม่มีสัจจะ หาความร่ำรวยให้ตัวเอง 3-5 หมื่นล้าน แต่ทำให้ประเทศเสียหายเป็นล้านล้านบาท ตอนออกมาจากพรรคไทยรักไทย ก็ถึงกับเขียนจดหมายขอโทษประชาชนที่เคยหลังผิดจนทำให้ประเทศเราประสบชะตากรรมทุกวันนี้ ทั้งยังเคยพูดว่าคงถอยไม่ได้แล้ว เพราะถ้าถอยก็เป็นหมาแล้ว
เมื่อวันที่ 13 ก.ย.50 นายเสนาะย้ำว่า พร้อมเป็นพันธมิตรกับอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน และไม่เคยหักหลังใคร พร้อมเป็นพันธมิตรกับทุกกลุ่ม ยกเว้นพรรคพลังประชาชนที่เป็นนอมินีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะได้ประกาศยืนอยู่คนละฝั่งแล้ว ตนต้องรักษาสัจจะ แต่มาวันนี้ ในทางที่ไม่เปิดเผย นายเสนาะกลับชวนใครต่อใครเดินทางไปฮ่องกง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังสำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยคิดว่าจะเป็นหลักให้กับบ้านเมือง
** “ประชัย” ลืมคำ “ไม่ร่วมงานกับนอมินี”
สำหรับนายประชัยนั้น เคยบอกว่าถ้าใครเป็นนอมินีให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณก็ทำงานด้วยไม่ได้ อย่างนายสมัคร ที่ประกาศตัวว่าเป็นนอมินีนั้น ร่วมงานกันไม่ได้แน่นอน ตนจะร่วมงานได้กับคนที่เขาไม่ได้รับคำสั่ง และไม่มีประวัติด่างพร้อย ไม่รับออร์เดอร์หรือคำสั่งจากเมืองนอก
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า คนเหล่านี้เมื่อถึงเวลาจะเข้าร่วมรัฐบาล ก็จะมีข้ออ้างอยู่ดี เช่น อยากเห็นการเมืองมีเสถียรภาพ ให้การเมืองเดินหน้าไปได้ แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่า ถึงไม่เข้าร่วมรัฐบาล การเมืองก็เดินไปได้อยู่ดี เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาล หรือไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายค้าน แต่ยืนอยู่ข้างนอก อะไรที่ควรหนุนก็หนุน ที่ควรค้านก็ค้าน
“แต่นี่อะไรก็ยังไม่ชัด ท่านก็วิ่งแรดๆ เข้าไปหา เหมือนเขาเคาะกะลา ก็วิ่งกรูเข้าไป 6-7 ตัว เหมือนแย่งข้าว เพราะเชื่อว่าทุกคนเข้าไปก็หวังจะประโยชน์ทั้งนั้น ขณะที่คนที่เคาะกะลา เขาก็อยากจะเอาของดีๆ ไว้กับตัวเอง”
ผู้ดำเนินรายการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.50 พ.ต.ท.ทักษิณพูดที่ฮ่องกงว่า รัฐบาลของพรรคพลังประชาชนจะมี 315 เสียง แสดงว่าเขารู้กันมาตั้งนานแล้วว่า พรรคการเมืองเหล่านี้จะเข้าร่วม ซึ่งอาจจะมีการคุยกันไว้ก่อนแล้ว แต่ตอนเคาะกะลา ก็วิ่งกรูกันเข้าไปก่อน เผื่อจะได้ตำแหน่งดีๆ
**พรรคเล็กร่วม รบ.ได้แค่เศษกระดูก
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า ความจริง พรรคการเมืองเล็กๆ ที่มี 4-5 เสียง สามารถทำอะไรในสภาผู้แทนราษฎรได้มากมาย หากเข้าไปเป็นรัฐบาลก็จะได้แค่ตำแหน่งกระจอกๆ แต่ถ้าอยู่ข้างนอกก็จะสามารถธำรงศักดิ์ศรีไว้ได้ในฐานะฝ่ายค้านที่มีจุดยืน เปรียบเทียบกับการเข้าไปร่วมรัฐบาลแล้วได้อะไรบ้าง นอกจากได้เศษเนื้อ หรือได้แค่กระดูก
แต่ปัญหาคือ นักการเมืองเราไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง สภาพนักการเมืองปัจจุบันยังเอื้อให้นักการเมืองหน้าเก่าๆ ไม่เกิน 3 พันคนได้มีบทบาท ต่อให้เอารัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดจากอเมมิกาหรือที่ไหนมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์
อย่างไรก็ตาม การรีบเข้าไปร่วมรัฐบาลโดยไม่รอใบเหลืองใบแดง เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจต่อรอง มันช่วยกลั่นกรองให้เห็นว่าใครคือของจริง ใครคือของปลอม ใครทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง มันพิสูจน์ได้ตอนจัดตั้งรัฐบาลว่าใครคือของจริงที่ยืนอยู่กับสัจจะ และยืนข้างประโยชน์ของชาติ
** “หมัก” ไม่หยุดลามปาม “ป๋า” - “บรรหาร” ทนได้อย่างไร
ผู้ดำเนินรายการ ยังชี้ให้นายบรรหารเห็นอีกว่า การที่นายบรรหารอ้างว่าจะไม่ทรยศผู้ใหญ่ที่นับถือมา 30 ปี ใครๆ ก็นึกถึงภาพ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทั้งนั้น นายบรรหารจะนึกถึงภาพหรือไม่ว่าหากเข้าร่วมรัฐบาลแล้วนายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีพระราชพิธีหรือรัฐพิธีมากมายที่นายสมัครอาจะต้องยืนอยู่ใกล้ประธานองคมนตรี แล้วประธานองคมนตรีจะรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องไปยืนใกล้กับคนที่ออกมากล่าวหาท่านอย่างเสียหาย
นายสมัคร เคยพูดถึง พล.อ.เปรมในทางลบมาตลอด ทั้งตอนหาเสียงก็พูดที่วงเวียนใหญ่ ล่าสุดในวันแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาล ก็ยังอุตส่าห์พูดถึงหนังสือที่ชื่อ “ก้อนกรวดในรองพระบาท” โยงไปถึงว่ามีคนนอกระบบที่มาบงการการเมืองในขณะนี้
หนังสือที่ชื่อ “ก้อนกรวดในรองพระบาท” นั้น เป็นบทความที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของกลุ่มผู้ที่สนับสนุน เช่น เว็บไฮ-ทักษิณ เนื้อหาเป็นการโจมตี พล.อ.เปรมทั้งสิ้นว่ามีพฤติกรรมที่ทำให้ราชบัลลังก์เสียหาย บทความนี้ทำเป็นหนังสือเล่มบ้าง ใบปลิวบ้าง แจกจ่ายไปทั่วภาคอีสาน จึงอยากถามนายบรรหารว่าจะนึกภาพออกไหมหากไปร่วมรัฐบาลกับคนที่คิดกับประธานองคมนตรีอย่างนี้ มันจะเกิดสภาวะกระอักกระอ่วนขึ้นในบ้านเมืองขนาดไหน อย่างไร นึกไม่ออกจริงๆ นายบรรหารทนให้ภาพนั้นเกิดขึ้นได้หรือ
“ผมยอมรับว่าผมทำไม่ได้ ในสิ่งที่พวกท่านทำ ไอ้ความรู้สึกสะอิดสะเอียนมันเหลือที่จะกล่าว คือทำไมล่ะ เป็น ส.ส.อย่างเดียวมันจะตายหรืออย่างไร
“เป็น ส.ส. เป็นปากเสียงแทนประชาชน ยืนหยัดในหลักการ ถ้ายืนอยู่ตรงนี้แล้วสุดท้ายขั้วประชาธิปัตย์มันเป็นรัฐบาลไม่ได้ เราก็เป็นฝ่ายค้าน มันจะตายเหรอ มันจะลงแดงตายเหรอ ผมไม่เข้าใจนะ แล้วนี่ก็คือผมว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสะอิดสะเอียน แล้วก็น่าโศกเศร้าอย่างยิ่งของประเทศชาติ เราจะยุบสภาฯ กันอีกกี่ครั้ง เราจะมีรัฐธรรมนูญกันอีกกี่ฉบับ เราจะมีกฎหมายเลือกตั้ง ที่เข้มงวดสักเพียงไหน ถ้าเรามีนักการเมืองพันธุ์เหล่านี้อยู่”
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า สำหรับนักการเมืองที่จะหาคำสวยๆ มาอธิบายเรื่องการเข้าร่วม โดยที่ตัวเองตระบัดสัตย์ โกหก ผิดสัจจะ แล้วก็แสดงความอกตัญญูของตัวเองไม่ว่าใครก็ตาม อย่าพยายามจะหาคำสวยๆ มาอธิบายอะไร บอกไปเลยว่า ต้องการเข้าร่วมรัฐบาลอยากได้ตำแหน่งอะไรก็ว่าไป อย่าไปทำอย่างอื่นเลย มันดูถูกประชาชน ว่าประชาชนที่เขารับข้อมูลข่าวสาร เขาตามไม่ทัน
**จับตา “วัฒนา” เพื่อตัวเองหรือ เพื่อ “แผ่นดิน”
ช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงนายวัฒนา อัศวเหม ว่า อยู่ช่วงโค้งสำคัญในการเปลี่ยนขั้วอำนาจเป็นครั้งที่ 2 จากที่เคยอยู่ในช่วงปลายปี 2540 โดยตอนนั้นนายวัฒนาอยู่ในกลุ่มงูเห่าที่ทำให้นายชวน หลีกภัยได้เป็นรัฐบาล ขณะนี้ก็อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ นายวัฒนาถูกดำเนินคดีอยู่ก็จริง แต่ท่าทีในช่วงนี้ กลับเป็นหลักให้พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งนายวัฒนาลงเงินไปไม่น้อย เพราะฉะนั้นถ้าจะทำเพื่อแผ่นดินแล้ว ต้องทำให้ตลอดทาง และต้องจับตาว่านายวัฒนา จะมองประโยชน์ตัวเองหรือเปล่า แต่ตอนนี้ถือว่ายืนหลักสำคัญมากกว่านายบรรหาร นายเสนาะ และนายประชัย
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1
( 56 k ) | ( 256 K )
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2
( 56 k ) | ( 256 K )