xs
xsm
sm
md
lg

“ยามฯ” ชี้ “อ้อ” กลับไทยหวังพลิกเกมช่วย “พลังแม้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คำนูณ สิทธิสมานสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
“ยามเฝ้าแผ่นดิน” มองเบื้องลึก “พจมาน” กลับไทย หวังเป็นไพ่ใบรองสุดท้ายพลิกเกมการเมืองของ พปช.ที่เริ่มจะไม่แน่นอน เผชิญทั้งคดียุบพรรค-ใบเหลืองใบแดง พร้อมเผยรองผู้การสันติบาลต้องแถลงขอความเป็นธรรม ถูกเรียกตัวไปช่วยงาน กกต.แต่กลับห้ามไม่ให้ฟังสอบสวนคดี “ยุทธ ตู้เย็น” ที่ทำเองมากับมือ จี้ ส.ส.ชาติไทยหากยังมีจุดยืนให้แสดงออกในวันโหวตนายกฯ

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย คำนูณ สิทธิสมาน, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย  คำนูณ สิทธิสมาน, จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และสโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2

รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 8 ม.ค. นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้ตั้งข้อสังเกตถึงการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ ว่า เป็นการตัดสินใจเดินทางกลับอย่างกระทันหัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีกำหนดเดินทางกลับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ตามคำบอกเล่าของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรือช้าสุดเดือนเมษายน ตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศไว้

การกลับมาของคุณหญิงพจมาน เชื่อว่าเป็นเพราะคนวางยุทธศาสตร์ของพรรคพลังประชาชน เริ่มเล็งเห็นความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เป็นลบมากว่าบวกต่อพรรคพลังประชาชน ภาพที่ปรากฏในวันนี้จริงอยู่ดูเหมือนเป็นการตีปีกของพรรคพลังประชาชน แต่ในลึกๆ เริ่มเห็นเค้าลางการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หากมองดูบรรยากาศหลังการเลือกตั้งที่ผ่านไป 15 วัน พรรคพลังประชาชนเหมือนจะชนะ แต่วันนี้กลับไม่รู้ว่าจะแพ้หรือไม่ การเมืองในวันข้างหน้ายังไม่มีความแน่นอน นอจากการแจกใบเหลืองใบแดงของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เปรียบเหมือนพระขรรค์ที่ฟันไปทีละแผล อาจจะส่งผลกระทบไม่รุนแรง แต่ยังมีคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่ม 1 ของพรรคฯ รวมทั้งการร้องเรียนคดีนอมินีโดยนายไชวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่ศาลฎีกากำลังพิจารณา คือประเด็นที่พรรคพลังประชาชนกำลังกลัวมากกว่า เนื่องจากอาจนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชนได้ ซึ่งจะเป็นเหมือนหอกโมขศักดิ์ที่ทำลายพรรคได้เลย

สถานการณ์ที่ยังขาดความแน่นอน เชื่อว่ากุนซือของพรรคจะต้องเตรียมการ พร้อมทั้งอ่านสถานการณ์เตรียมแผนรองรับ หากถึงขั้นยุบพรรค พรรคพลังประชาชนจะต้องใช้สิ่งที่มีค่าและทรงพลังมากที่สุด คือ ฐานมวลชนในภาคอีสาน และเหนือ ที่ถูกหล่อเลี้ยงไว้อย่างสม่ำเสมอ ขณะเดียวกันก็ต้องมีประเด็นให้มวลชนมีขวัญกำลังใจ ได้ตระหนักถึงชัยชนะ เลี้ยงเพื่อแปรผันเป็นม็อบ เพื่อสร้างฐานเสียงเตรียมการเลือกตั้งใหม่ เป็นการซ่อนไพ่ตามสถานการณ์ โดยไพ่ที่เด็ดขาดที่ขาดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นไพ่ใบสุดท้าย ซึ่งสถานการณ์คงไม่ยังถึงขั้นทิ้งลงมา

ดังนั้นหากอ่านแบบมองยุทธศาสตร์ทางการเมือง กุนซือของพรรคพลังประชาชนที่รู้สึกถึงสถานการณ์กำลังไม่เป็นไปตามแนวทางที่คาดไว้ จึงเดินเกมโดยใช้คุณหญิงพจมาน ให้เดินทางกลับมา ซึ่งมีแต่ได้กับได้ หากคุณหญิงพจมานไม่ได้รับความปลอดภัย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเข้าจับกุม จะเป็นบวกต่อพรรคพลังประชาชน ดังนั้นการกลับจึงไม่เป็นความลับ มีการติดต่อประสานงานไว้ล่วงหน้า เกิดกระแสโดยไม่ต้องจ้างคน อาศัยสื่อมวลชนที่ค่อนข้างเอนเอียงนำเสนอ การกลับมาของคุณหญิงพจมานจึงถือเป็นไพ่ใบรองสุดท้าย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ผู้ดำเนินรายการยังเชื่อว่า คดีของนายยงยุทธนั้นมีเดิมพันสูงมาก นายยงยุทธ มีตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน หากผิดก็อาจส่งผลกระทบไปที่พรรคโดยตรง ดังนั้นนายยงยุทธ จะต้องสู้เต็มที่แน่นอน อย่างไรก็ตามข้อเสียของนายยงยุทธ ที่อุตสาห์ไปร่ำเรียนต่อที่เมืองนอกหลังเกิดการรัฐประหาร คือเอาง่ายเข้าว่า เอาของฟรีเข้าไว้ก่อน เช่น การใช้รถตู้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เขาเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการ มาขนหัวคะแนน สมมุติพรรคพลังประชาชนถูกยุบจากใบแดงใบนี้ ก็อย่าไปโทษมือที่มองไม่เห็น คนที่ต้องถูกลงโทษก็คือนายยงยุทธ

** “พล.ต.ต.ชัยยะ” ขอความเป็นธรรม กกต.

ในช่วงที่ 2 ของรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึง พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ในฐานะหัวหน้าฝ่ายสืบสวนสอบสวนของ กกต.ได้แถลงข่าวขอความเป็นธรรมที่ กกต.ว่า เนื่องมาจาก พล.ต.ต.ชัยยะได้รับการติดต่อจาก กกต.ให้ไปช่วยงานในชุดสืบสวนสอบสวนมาเกือบปีแล้ว ซึ่งก็มีผลงานเป็นที่ชื่นชมของ กกต. จนต่อมา เมื่อมีการเสนอแผนปรับปรุงงานสืบสวนสอบสวนของ กกต.ปรากฏว่าแผนงานดังกล่าวไปติดอยู่ที่ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวน(ภายใต้การดูแลของนายสมชัย จึงประเสริฐ) ทำให้แผนงานไม่คืบหน้า ที่ประชุม กกต.จึงมีมติให้งานสืบสวนสอบสวนขึ้นต่อขึ้นต่อ กกต.กลางทั้ง 5 คน ไม่ต้องขึ้นกับ กกต.สืบสวนสอบสวนแค่ฝ่ายเดียว ต่อมาก็มีพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่าพล.ต.ต.ชัยยะมีความสนิทสนมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนสุดท้ายพล.ต.ต.ชัยยะโดยส่วนตัวก็ไม่ได้ทำหน้าที่ใน กกต. แต่งานที่ทำอยู่เป็นเรื่องของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล โดยขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการฯ

ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า ในวันนี้ (8 ม.ค.) พล.ต.ต.ชัยยะเดินทางไปที่ กกต.ในฐานะรอง ผู้บัญชาการสันติบาล แต่ปรากฏว่า ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมฟังการสอบสวนคดีทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วนพรรคพลังประชาชน ทั้งที่เป็นคนทำคดีนี้มาแต่ต้น ดังนั้นจึงรู้สึกว่าถูกกระทำสถานเดียว จึงได้ถือโอกาสแถลงขอความเป็นธรรม

หลังจากนั้น ผู้ดำเนินรายการได้เปิดเทปการแถลงของ พล.ต.ต.ชัยยะ ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า ตนได้รับการขอร้องให้มาช่วยงาน กกต.และเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา กกต.ได้เชิญเข้าไปหารือและมีมติขอให้ตำรวจสันติบาล 700 นายไปช่วย กกต. โดยให้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายเลือกตั้ง มีอำนาจสืบสวนสอบสวน และให้เก็บข้อมูลหลักฐานคู่ขนานไปกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของ กกต.เมื่อ กกต.ขอให้มาช่วย ก็ให้ความร่วมมือทุกด้าน

พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการทุจริตที่ จ.เชียงราย ได้ดำเนินการสืบสวนในเชิงรุก เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นก็ได้นำเรื่องเข้าเสนอที่ประชุม กกต. โดยสันติบาลเห็นว่า การกระทำทุจริต มีรูปแบบที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะมีหน่วยราชการหลายแห่งเข้าไปเกี่ยวข้อง มีการกระทำเป็นกระบวนการ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของพยาน จึงได้ขอต่อที่ประชุมว่าในการพิจารณาสำนวนนี้ขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม ก่อนที่จะแจกสำเนาสำนวนการสอบสวนจำนวน 6 ชุดให้กับ กกต. 5 คนและเลขาธิการ กกต. เมื่อชี้แจงเสร็จ กกต.ก็เห็นว่ามีมูลพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา และหลังนำเสนอแล้วก็ขอเก็บสำเนาสำนวนการสอบสวนคืนจากทุกคน แต่มี กกต.คนหนึ่งไม่ยอมคืน

ต่อมาในวันที่ 4 ม.ค. ก็มีคำสั่งจาก กกต.ให้ตนเข้าไปชี้แจงโดยระบุว่า มีการร้องเรียนจากนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่า ตนไม่มีอำนาจในการสอบสวน ไม่มีความรู้ และวางตัวไม่เป็นกลางเนื่องจากรู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ และสื่อมวลชนบางคน ตนก็ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าได้รับมอบอำนาจอย่างถูกต้องจาก กกต. และมีหนังสือส่งตัวตามขั้นตอนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกประการ ส่วนที่ว่าไม่มีความรู้ ตนก็เป็นอนุกรรมการวินิจฉัยของ กกต.มาเกือบ 1 ปีแล้วและยังเป็นวิทยากรอบรมพนักงานสืบสวนอีก แต่กลับมาบอกว่าตนไม่เป็นกลาง จึงต้องขอความเป็นธรรม เพราะใช้หนังสือร้องเรียนเพียงฉบับเดียว แล้วมาขอให้ตนไม่เข้าร่วมรับฟังสำนวนคดีที่เชียงราย ถามว่ารับได้ไหม ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน ตนเป็นเพียงเก็บรวบรวมวัตถุดิบ ไม่ใช่เป็นตัวชี้ขาด แต่ถ้าหากเพื่อไม่ให้สังคมแตกแยกตนพร้อมยุติบทบาท

พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า ตนเป็นตำรวจมาหลายสิบปี มีเพื่อนพ้องน้องพี่ จะไม่ให้รู้จักใครได้อย่างไร ตนรู้จักกับใครไม่สำคัญ ต้องดูว่ารู้จักแล้วเป็นธรรมหรือไม่ และการที่รู้จักใคร แล้วไม่ใช่ว่าจะเอนเอียงหรือไปขึ้นอยู่กับใคร

** ปลุก ส.ส.ชาติไทยแสดงจุดยืนวันโหวตนายกฯ

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่พรรคชาติไทยเปลี่ยนจุดยืนเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนว่า เมื่อดูจากปฏิกิริยาที่ออกมาทางสื่อต่างๆ พบว่า สร้างความเสียหายต่อพรรคชาติไทยอย่างมหาศาล ว่ากันว่าที่พรรคชาติไทยยอมกลืนน้ำลายตัวเองครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่แค่ได้ยินเสียงเคาะกะลาอย่างเดียว แต่มีคนพูดกันว่า มีการเอาตัวเลขมาล่อ กล่าวคือ จำนวน ส.ส.พรรคชาติไทยที่มี 37 คน เอา 20 คูณเข้าไป ส่วนที่ได้ใบแดงไป 2 ใบจะต้องคูณใหม่ด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ รวมทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะนายสมัคร สถานภาพค่อนข้างจะง่อนแง่น อาจจะเป็นนายกฯได้แต่ไม่ยืด

ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า หาก ส.ส.ในพรรคชาติไทยยังเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง อยากให้แสดงจุดยืนวันลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้เป็นสิทธิของส.ส.แต่ละคน นายบรรหารบงการไม่ได้ ไม่ถูกผูกพันโดยอาณัติใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้ายังมีสำนึกก็ขอให้แสดงออกในวันนั้น ซึ่งแม้จะยกมือให้คนอื่น แต่หัวหน้าพรรคก็ไล่ออกจากพรรคไม่ได้

ผู้ดำเนินรายการมองอีกว่า นายบรรหารน่าจะเห็นลางบอกเหตุ ตั้งแต่เดินหาเสียงแล้วตกคูน้ำ แล้วมังกรยักษ์ที่จะทำเป็นหอประวัติศาสตร์ไทย-จีนที่สุพรรณบุรีถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเสมือนการเตือนจากธรรมชาติว่า หนทางวิบัติรออยู่ข้างหน้า แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายบรรหารว่าจะเลือกทางเดินอย่างไร ทั้งที่ทางเลือกของบรรหารมีมากกว่าใครๆ ทางหนึ่งอาจไม่เป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายค้านแต่ได้รับความเคารพนับถือจากประชาชน อดีตเคยถูกเรียกขาน ถูกดูถูกอย่างไร คนจะลืมหมด

แต่นายบรรหารไปเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งก็เกิดอย่างความเสียหายอย่างที่ เริ่มตั้งแต่รายการนี้ ซึ่งนายบรรหารก็ดูประจำ ซึ่งได้สร้างความเจ็บปวดทั้ง 2 ฝ่าย ในบทความเรื่อง “บรรหาร...ผู้ทรยศ” ที่นำเสนอทางเว็บไซต์ ปรากฏว่ามีคนอ่านมากกว่า 7 หมื่นคน แสดงความเห็น 700 ความเห็น ซึ่งกว่า 90% ล้วนแต่สรรหาถ้อยคำมาต่อว่านายบรรหารทั้งสิ้น
สโรชา พรอุดมศักดิ์ผู้ดำเนินรายการ
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )



กำลังโหลดความคิดเห็น