xs
xsm
sm
md
lg

"สุนทร"เจอ 2 เด้ง ใบแดง-อาญา คดี"ยุทธตู้เย็น"ส่อถึงยุบพรรค

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แจกใบแดง "สุนทร วิลาวัลย์" พร้อมดำเนินคดีอาญา ด้าน"ยุทธตู้เย็น"เข้าชี้แจง ระบุถูกร้องทุจริตครั้งนี้เดิมพันสูง หวังยืมมือ กกต.ยุบ พปช. อ้างฝีมือคู่แข่งที่อยากจัดตั้งรัฐบาลวางกับดัก ประธานกกต. ชี้ความผิด 2 สถาน เป็นเรื่องเฉพาะตัว กับพรรค ถ้าผิดถึงขั้นถูกยุบ "ชัยยะ" อัดกลับกกต.ไม่เป็นธรรม ระบุมี กกต.คนหนึ่งไม่คืนสำนวนเชียงราย ทำให้ความลับรั่ว ด้านองค์กรปชต.ร้องร้องเพิกถอนเสนาะทั้งตระกูล พร้อมยุบพรรคประชาราช "ชวน"ไปรับใบรับรอง เจอม็อบเชียร์ยุทธตู้เย็น แจกกล้วย

วานนี้ ( 8 ม.ค.) ที่ประชุม กกต.ได้มีการพิจารณาสำนวนร้องเรียนคัดค้านการเลือกตั้ง กว่า 10 เรื่อง และรับฟังคำชี้แจงของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน โดยนายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ส่วนตัวไม่รู้สึกหนักใจ เพราะไม่ได้แบกก้อนหินไว้

ส่วนที่มีกระแสข่าวระบุว่า นายยงยุทธ ได้วิ่งเต้นเพื่อไม่ให้ตนเองได้รับใบแดงนั้น ไม่เชื่อว่ามีการวิ่งเต้น เพราะ เราเป็นผู้พิพากษามาก่อน ดังนั้นจะพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน และทุกคนก็มีความเห็นที่แตกต่างกัน เห็นได้จากการพิจารณาคดีมติที่ออกมามักไม่เป็นเอกฉันท์

นายสุเมธ ยังกล่าวถึง กรณีที่ กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 เสียง ทำให้ไม่สามารถสั่งเพิกถอนสิทธิเลืออกตั้งนายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี ว่าที่ ส.ส.เขต 1 จ.เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ได้ว่า การที่เราจะให้ใบแดงนั้น อยู่ที่พฤติกรรมเชื่อมโยง และเห็นว่าผู้ถูกร้องเรียนน่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย ซึ่งเหตุผลต่างๆจะอยู่ในคำวินิจฉัยของ กกต.

"ผมเรียนแล้วว่า เวลาจะวินิจฉัย เราคงให้เหตุผลอะไรไม่ได้ ถ้าเราพูดไปฝ่ายอื่นๆ ก็ต้องโต้แย้งได้เสมอ เหมือนการเขียนคำพิพากษา เวลาศาลตัดสินแล้ว ศาลจะไม่พูดเลยว่าที่ตัดสินไปมีเหตุผลเพราะอะไร ซึ่งเหตุผลทั้งหมดจะอยู่ในคำพิพากษา อย่างพวกผมก็อยู่ในคำวินิจฉัย ว่าทำไมผมถึงให้เหตุผลอย่างนั้น"

ส่วนอดีตว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์ 3 คน ของพรรคพลังประชาชนซึ่งถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะฟ้องศาลฎีกาว่า กกต. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ก็แล้วแต่ศาลจะมีความเห็นอย่างไร เราคงให้ความเห็นไม่ได้ ทั้งนี้หากเราเป็นผู้สมัคร เราก็ต้องต่อสู้ทุกหนทางเช่นเดียวกัน และหากศาลมีคำสั่งออกมาเช่นไร กกต. ก็จะปฏิบัติตาม แต่หากศาลรับคำฟ้อง และไม่ได้สั่งคุ้มครองชั่วคราว กกต.ก็จะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามปกติ

แจกใบแดง"สุนทร วิลาวัลย์"

หลังการประชุมกกต.ช่วงเช้า นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า กกต.ได้มีมติ 4 ต่อ 1 สั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมือง (ใบแดง) นายสุนทร วิลาวัลย์ ว่าที่ ส.ส.เขต1 ปราจีนบุรี พรรคมัชฌิมาธิปไตย เนื่องจากมีพฤติกรรมในการแจกทรัพย์สินที่เป็นความผิดตามมาตรา 53 (1) โดย กกต. 4 คน เห็นว่า หลักฐานที่มีอยู่สาวไปถึงนายสุนทร ส่วนนาย อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ให้ใบเหลือง เนื่องจากเห็นว่าหลักฐานที่ปรากฏสาวไม่ถึงเจ้าตัว จากนี้ กกต.จะส่งสำนวนการสั่งเพิกถอนสิทธิไปยังคณะกรรมการตรวจสอบของกฤษฎีกา ซึ่งจากที่เห็นการทำงานคณะกรรมการตรวจสอบฯ ในคำร้องกรณี บุรีรัมย์แล้วมั่นใจว่าการพิจารณาจะเร็ว ไม่มีปัญหากับการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร

"ยุทธตู้เย็น"อ้างมีขบวนการล้มพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนถึงเวลา 13.30 น. ที่กกต.เชิญนายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชนเข้าชี้แจง ปรากฏว่าบริเวณหน้าสำนักงานกกต. ได้มีประชาชนประมาณ 20 คน เดินทางมารอให้กำลังใจนายยงยุทธ มีการปราศรัยโจมตีการทำงานของกกต. จนเมื่อนาย ยงยุทธ เดินทางมาถึง ก็ได้แจ้งต่อผู้สื่อข่าวว่า ภายหลังการชี้แจงต่อกกต.แล้ว จะแถลงข่าวเปิดเผยถึงขั้นตอนและกระบวนการในการร้องคัดค้านครั้งนี้ โดยทีมงานที่มากับนายยงยุทธ ได้มีการเตรียมไวท์บอร์ด และแผ่นชาร์ตข้อมูล เพื่อประกอบการแถลงข่าวด้วย

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการชี้แจงต่อ กกต.และฝ่ายสืบสวนกว่า 3 ชั่วโมง นายยงยุทธ กลับให้ทีมงานเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เหลือเพียงการนั่งแถลง ระบุว่า ยังไม่ขอพูดถึงรายละเอียด เพราะกระบวนยังไม่เสร็จสิ้น รวมถึงต้องมีการสอบพยานเพิ่มเติม หากพูดไปจะกลายเป็นการกดดันกกต. โดยในวันนี้ ( 9 ม.ค.) จะเดินทางมาที่กกต.อีก หากกกต.มีมติอย่างไรก็จะแถลงข่าวอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการร้องคัดค้านตนครั้งนี้ เป็นขบวนการที่มีเดิมพันสูง เพราะหากตนผิด ก็จะมีการโยงไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เนื่องจากตนเป็นรองหัวหน้าพรรคคนที่ 1 ทำให้มีกระบวนการจัดฉากขึ้น

โดยเหตุการณ์ที่นำมาสู่การร้องคัดค้านตนนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. แต่กลับนำมาร้องในวันที่ 21 ธ.ค. พยานถูกกดดัน อิทธิพลหลายอย่าง โดยเจ้าหน้าที่บางคน รวมทั้งมีความพยายามเชื่อมต่อระหว่างเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการนำกำนันผู้ใหญ่บ้านเข้ามาในกทม. เพื่อมาขอพบตนที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ตนไม่ยอมพบ จนเมื่อเสร็จงานจึงลงไปพบปะด้วย หลังจากนั้นก็มีการโยงเหตุการณ์ต่างๆ จนทำให้ดูเหมือนว่า ตนเป็นผู้จัดการเรื่องนี้

"ที่ผ่านมา ฝ่ายที่ร้องพูดข้างเดียวโดยตลอด เรื่องนี้มีบางคนบงการอยู่เบื้องหลัง คนที่มีส่วนร่วมอาจจะไม่ได้รับประโยชน์ แต่คนได้รับประโยชน์อาจเป็นไอ้โม่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ร่วมแข่งขันจัดตั้งรัฐบาล มีการสร้างใบเสร็จเก็บเงิน มีการเรียกพนักงาน รวมไปถึง เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่ถูกระบุให้มาเป็นพยาน ปะติดปะต่อจนดูเหมือนว่าผมถูกล่อซื้อ ขอยืนยันว่าเป็นกับดักที่ล่อให้ผมไปตก ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ผมไม่ได้ลงพื้นที่เลย เพราะคิดว่าประชาชนเชื่อมั่นในนโยบายพรรคพลังประชาชน และมีคนขู่ว่า หากลงไปจะถูกยิงกบาล เลยมีการขึ้นมาจัดฉากกันที่ กทม. ซีดีที่นำมาเป็นหลักฐานก็เป็นการถ่ายคนละที่ แล้วนำมารวมกัน คนที่มาร้องก็เป็นสมาชิกพรรคการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ เคยเข้ารับการบำบัดยาเสพติด เป็นคนที่ไม่เคยมีอำนาจ แต่พอผมไปต่างประเทศคนๆ นี้ก็เริ่มเข้ามามีบทบาท ไปถามใครก็รู้ว่าเขาหาเสียงให้ใครอยู่" นายยงยุทธ กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อนายยงยุทธ กล่าวจบ ผู้สื่อข่าวพยายามที่จะสอบถามต่อถึงบรรยากาศและประเด็นที่ชี้แจงกับ กกต. รวมถึงกกต.เข้าประชุมครบทั้ง 5 คนหรือไม่ แต่นายยงยุทธ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยอ้างว่าเป็นการเสียมารยาท และหากรู้ผลแล้วไม่ว่าจะออกมาอย่างไร ก็จะแถลงข่าวให้ทราบถึงกระบวนการโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นบรรดาส.ส.ที่มาให้กำลังใจจึงพานายยงยุทธเดินทางกลับ

"ชัยยะ"ถอนตัวจากสำนวนเชียงราย

ภายหลังนายยงยุทธ แถลงเสร็จ พล.ต.ต. ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ก็ได้แถลงว่า ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนตกเป็นข่าวมาตลอดจึงขอชี้แจงถึงเหตุผลที่มาช่วยงานกกต. ว่า เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตนได้รับเชิญจากกกต.ให้มาชี้แจงต่อกกต.โดยด่วน ซึ่งไม่คิดว่ากกต.กำลังถกเรื่องความพร้อมในการสืบสวนสอบสวน โดยกกต.ให้สอบถามตนว่า ทางสันติบาลมีบุคลากรพอช่วยกกต.ได้หรือไม่ ซึ่งก็ได้ชี้แจงว่า มีบุคลากรมากเพียงพอ กกต.จึงมีมติให้ตำรวจสันติบาล 700 นาย มาช่วยกกต. โดยให้เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายเลือกตั้ง มีอำนาจสืบสวนสอบสวน และให้เก็บข้อมูลหลักฐานคู่ขนานไปกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของ กกต. เมื่อ กกต.ขอให้มาช่วย ก็ให้ความร่วมมือทุกด้าน

พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวต่อว่า สำนวนแรกที่สันติบาลได้รับมอบคือ กรณี จ.เพชรบูรณ์ และจ.มหาสารคาม เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ กกต.ได้มอบให้ดำเนินการต่อในส่วนของการทุจริตที่ จ.เชียงราย โดยได้ดำเนินการสืบสวนในเชิงรุก เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นก็ได้นำเรื่องเข้าเสนอที่ประชุม กกต. โดยสันติบาลเห็นว่า การกระทำทุจริต มีรูปแบบที่แตกต่างจากที่อื่น เพราะมีหน่วยราชการหลายแห่งเข้าไปเกี่ยวข้อง มีการกระทำเป็นกระบวนการ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของพยาน จึงได้ขอต่อที่ประชุมว่า ในการพิจารณาสำนวนนี้ขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุม ก่อนที่จะแจกสำเนาสำนวนการสอบสวนจำนวน 6 ชุดให้กับ กกต. 5 คน และเลขาธิการกกต. เมื่อตนชี้แจงเสร็จ กกต.ก็เห็นว่ามีมูลพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา และหลังนำเสนอแล้วก็ขอเก็บสำเนาสำนวนการสอบสวนคืนจากทุกคน แต่มี กกต.คนหนึ่งไม่คืน

ต่อมาในวันที่ 4 ม.ค. ก็มีคำสั่งจาก กกต.ให้ตนเข้าไปชี้แจงโดยระบุว่า มีการร้องเรียนจากหัวหน้าพรรคพลังประชาชนว่า ตนไม่มีอำนาจในการสอบสวน ไม่มีความรู้ และวางตัวไม่เป็นกลาง เนื่องจากรู้จักกับพรรคประชาธิปัตย์ และสื่อมวลชนบางคน ตนก็ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า ได้รับมอบอำนาจอย่างถูกต้องจาก กกต. และมีหนังสือส่งตัวตามขั้นตอนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกประการ

ส่วนที่ว่าไม่มีความรู้ ตนก็เป็นอนุกรรมการวินิจฉัยของกกต.มาเกือบ 1 ปีแล้ว และยังเป็นวิทยากรอบรมพนักงานสืบสวนอีก แต่กลับมาบอกว่าตนไม่เป็นกลาง จึงต้องขอความเป็นธรรม เพราะใช้หนังสือร้องเรียนฉบับเดียว แล้วมาขอให้ตนไม่เข้าร่วมรับฟังสำนวน ถามว่ารับได้ไหม ความเป็นธรรมอยู่ที่ใด ตนเป็นเพียงเก็บรวบรวมวัตถุดิบ ไม่ใช่เป็นตัวชี้ขาด แต่ถ้าหากเพื่อไม่ให้สังคมแตกแยก ตนพร้อมยุติบทบาท

"ตอนจะตั้งผม ด่วนอย่างไรผมก็มา เพราะตั้งใจจะมาพยุงองค์กรนี้ แต่ตอนนี้กลับเอาหนังสือแค่ฉบับเดียว ซึ่งไม่มีการตรวจสอบมาตัดสินผม ไม่ให้ผมเข้าร่วมรับฟังการชี้แจงสำนวนจ.เชียงราย ทั้งที่ผมมาครั้งนี้ได้รับมอบจาก ผบช.สอบสวนกลาง ผมก็ไม่ว่า แต่ผมก็ยังมีหน้าที่ต้องดูแลชุดสืบสวนที่มาจากสันติบาล และก็อยากจะถาม กกต.ว่าจะให้ผมยุติบทบาทชั่วคราว หรือจะถอดถอนผมออกจากตำแหน่งก็บอกมาเลย แต่ผมจะไม่ลาออกจากการเป็นอนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้าน เพราะเป็นคนละเรื่อง"

เมื่อถามถึงกรณีถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นกลาง เพราะสนิทแกนนำพันธมิตรฯ บางคน พล.ต.ต.ชัยยะ กล่าวว่า ตนเป็นตำรวจ มีเพื่อนพ้องน้องพี่ จะไม่ให้รู้จักใครได้อย่างไร ตนรู้จักกับใครไม่สำคัญ ต้องดูว่ารู้จักแล้วเป็นธรรมหรือไม่ ส่วนพันธมิตรฯ รู้จักหลายคน แต่ถ้าถามถึงความสนิทสนม บอกได้เลยว่า ตนก็สนิทสนมกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มาเป็นสิบๆ ปี สนิทขนาดที่ครั้งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม ถูกลอบทำร้ายต้องตามตนไปคุ้มครอง พาไปส่งถึงบ้าน อย่าเอาการเมืองมาโยงกับเรื่องการทำงาน ที่อ้างว่าสนิทแล้วมีอะไร อยากถามกลับไปว่า เพราะคุณกลัวความจริงจะถูกเปิดเผยใช่หรือไม่

พล.ต.ต.ชัยยะ ยังปฏิเสธที่จะตอบว่า ข่าวสำนวนทุจริต จ.เชียงรายรั่วไปถึงนายยงยุทธ จนสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้นั้น เป็นผลมาจากการที่กกต.คนหนึ่ง ไม่ยอมคืนสำนวนนี้ใช่หรือไม่ โดยระบุว่า เรื่องนี้ผมไม่ขอตอบ เช่นกับไม่ขอตอบว่า สำนวนที่รั่วไป จะมีผลให้คำชี้แจงของนายยงยุทธ มีน้ำหนักจนกกต. ต้องยกคำร้องหรือไม่

เมื่อถามว่า มติ กกต.ที่ให้สันติบาลเข้ามาช่วยงานสืบสวน มีกกต.เข้าประชุมครบ 5 คนหรือไม่ พล.ต.ต.ชัยยะ ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม พร้อมกับระบุว่า ให้ไปดูเอกสารมติ กกต.ว่าใครไม่เข้าร่วมประชุม พร้อมกับแจกเอกสารดังกล่าวให้สื่อมวลชน ซึ่งในเอกสารเป็นมติ กกต.วันที่ 18 ธ.ค. ระบุมี กกต.เข้าร่วมประชุม 4 คน ยกเว้นนายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ที่ท้ายมติบันทึกว่า ลาประชุมเนื่องจากป่วย

อย่างไรก็ตาม ในการเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายยงยุทธ ต่อกกต.ครั้งนี้ นายสมชัย ก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุม โดยเมื่อนายยงยุทธ ชี้แจงเสร็จสิ้นแล้ว นายสมชัย คิดว่าสำนวนที่จะพิจารณาต่อไปเป็นสำนวนของฝ่ายสืบสวนสอบสวนกกต. จึงได้เดินมาเพื่อจะเข้าห้องประชุม แต่กลับพบว่า สำนวนที่ที่ประชุมกำลังจะพิจารณา เป็นของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของสันติบาล นายสมชัย จึงเดินกลับไปยังห้องทำงาน เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.รับฟังคำชี้แจงของนายยงยุทธ แล้ว จะมีคำวินิจฉัยในวันเดียวกันหรือไม่ นายสมชัย กล่าวพร้อมกับชี้มือไปที่ห้องประชุมว่า เรื่องนี้ให้คนข้างในมาชี้แจง

คดี"ยงยุทธ"อาจถึงยุบพรรค

ด้าน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าวถึงกรณี พล.ต.ต.ชัยยะระบุว่า กกต.ขอให้ออกจากการเข้ามาดูแลสำนวนเชียงราย เพราะกระดาษใบเดียว ว่า ไม่ใช่ เพราะในวันที่ 4 ม.ค. ได้เชิญพล.ต.ต.ชัยยะ มาหารือกรณีมีหนังสือร้องเรียนเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อพล.ต.ต.ชัยยะได้พิจารณาแล้วก็ขอถอนตัวออกไปเอง เหมือนศาลที่เมื่อมีคนร้องเรียนว่าจะไม่เป็นธรรมในการพิจารณาคดีนี้ ก็จะขอถอนตัวไปเอง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า พล.ต.ต.ชัยยะ มีความผิดหรือเป็นไปตามหนังสือที่ร้องเรียนมา และตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. เป็นต้นมา พล.ต.ต.ชัยยะและตำรวจสันติบาล ก็จะไม่มายุ่งเกี่ยวกับสำนวนนี้อีก

เมื่อถามว่า พล.ต.ต.ชัยยะ ระบุว่าในการประชุมสำนวนเชียงราย มี กกต.คนหนึ่งไม่ยอมคืนสำนวนเมื่อฟังคำชี้แจงเสร็จ หมายถึงกกต.คนใด นายอภิชาต อึ้งไปพักหนึ่ง และกล่าวว่า ไม่ตอบให้ไปถามกกต.ท่านนั้นเอง สื่อถามครบทุกคนแล้วหรือยัง และพล.ต.ต.ชัยยะ ก็ไม่บอกชื่อใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตามการจะเก็บสำนวนไว้สามารถทำได้ เพราะกกต.อาจจะต้องการอ่านรายละเอียด

ส่วนการรับฟังคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของนายยงยุทธนั้น นายยงยุทธ ได้นำพยานมาชี้แจง 10 ปาก และจะมาสืบอีก 1 ปากในวันนี้ ( 9 ม.ค.) ทั้งนี้นายยงยุทธ ได้ขอดูวีซีดี และเทปที่ผู้ร้องนำมามอบให้เป็นหลักฐานซึ่ง กกต.ก็ได้อนุญาต ดังนั้นถ้าภายในวันนี้ นายยงยุทธชี้แจงครบถ้วนแล้ว ก็จะนำมาพิจารณาต่อได้ในวันเดียวกัน

นายอภิชาต กล่าวอีกว่าในการพิจารณาคดีของนายยงยุทธ จะมีการพิจารณา 2 ลักษณะ คือ ความผิดเฉพาะตัวของนายยงยุทธเอง และความผิดของพรรค ที่นายยงยุทธ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคมีการกระทำผิด ซึ่งมีการกล่าวหาว่า พรรคได้ให้ประโยชน์เพื่อจูงใจ หัวคะแนนกำนันผู้ใหญ่บ้านในจ.เชียงราย อย่างไรก็ตาม ตนอยากจะให้มีมติใปในคราวเดียวกันทั้ง 2 กรณีนี้ โดย กกต.คนอื่นต้องเห็นพ้องด้วยโดย หากมีมติให้ยุบพรรค กกต.ก็จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา สั่งยุบพรรคต่อไป

"สุนทร"เจอคดีอาญาด้วย

ส่วนที่ กกต.มีมติสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นายสุนทร วิลาวัลย์ ว่าที่ส.ส.เขต 1 ปราจีนบุรี แล้วมีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายสุนทร และหัวคะแนนที่กระทำผิดโดยการให้เงินเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และฟ้องร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้ง

สำหรับการพิจารณาของกกต.ในวันที่ 8 ม.ค. มีมติยกคำร้องสำนวนร้องคัดค้านทั้งสิ้น 10 สำนวน อาทิ เขต 1 สิงห์บุรี 2 สำนวน เขต 2 บุรีรัมย์ 1 สำนวน เขต 4 ขอนแก่น 1 สำนวน และกกต.ได้ยกคำร้องในส่วนของผู้สมัครที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง ประกอบด้วย สระบุรี 1 สำนวน ชัยนาท 2 สำนวน หนองคาย 1 สำนวน ทั้งนี้ ในส่วนของเขต 2 บุรีรัมย์ ยังเหลือคำร้องคัดค้านอีก 1 สำนวน ซึ่งเป็นสำนวนที่นาย เกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต.จังหวัดบุรีรัมย์ จะนำข้อมูลพยานหลักฐานมาให้กับกกต.กลางในวันที่ 9 ม.ค. อย่างไรก็ตามในวันนี้ ตนจะประชุมร่วมกับฝ่ายสืบสวนสอบสวน เพื่อตรวจสอบว่าขณะนี้สำนวนทุจริตยังค้างอยู่อีกเท่าใด แต่เบื้องต้นทราบว่ามีอีก 100 เรื่อง แต่ยังไม่ได้แยกว่า เป็นการร้องว่าที่ส.ส. หรือผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง จำนวนเท่าใด

ลุ้นเชือดว่าที่ ส.ส.บุรีรัมย์อีก

ด้าน นายเกษม วัฒนธรรม ประธาน กกต. บุรีรัมย์ กล่าวว่า ในวันนี้ จะนำข้อมูลพยานหลักฐานเกียวกับการร้องคัดค้านว่าที่ ส.ส. บุรีรัมย์ ที่ยังมีสำนวนค้างอยู่ มาเสนอต่อที่ประชุมกกต. โดยยืนยันว่าเป็นเรื่องที่มีมูลอย่างแน่นอน และขณะนี้ก็กำลังพยายามรวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วน พร้อมที่จะเสนอความเห็นของ กกต.จังหวัด ให้ กกต.กลาง พิจารณาให้ใบแดงใบเหลืองได้

"ผมไม่มีความกดดัน ไม่ว่าจะเป็นการขนม็อบ ขนประชาชนมากดดัน และการกระทำดังกล่าวถือเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง จึงไม่สนใจ มีหน้าที่อย่างไรก็ทำไปตามนั้น คนดีต้องอยู่ได้ในสังคม ต้องไม่ท้อแท้ เชื่อว่าในประเทศไทย คนดีมีอยู่เยอะ คนไม่ดีมีอยู่น้อย ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว"

ทั้งนี้ สำหรับจ.บุรีรัมย์ มีเขตเลือกตั้งทั้งสิ้น 4 เขต ขณะนี้ กกต. ประกาศรับรองไปแล้ว 2 เขต คือ เขต 3 และ 4 ส่วนเขต 1 นั้น กกต. ได้มีมติให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) ยกเขต และขณะนี้ เหลือเพียงเขต 2 ที่มีเรื่องร้องคัดค้านของนายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่ ส.ส. พรรคพลังประชาชน อีกเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ นายทรงศักดิ์ ถูกร้องคัดค้าน กรณีที่ปราศรัยใส่ร้าย ทำให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม

คมช.ส่ง"สมเจตน์"ลงพื้นที่บุรีรัมย์

เมื่อเวลา 07.30 น. วานนี้ ที่กองบัญชากองทัพบก พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง พล.อ. บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม เข้าร่วมรับประทานอาหารเช้า และหารือสถานการณ์ทางการเมืองกับสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช. กล่าวภายหลังการหารือว่า ตนไม่ได้เข้าร่วมประชุม แต่พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้เล่าถึงการหารือให้ฟังว่า เป็นการหารือถึงสถานการณ์การเมืองทั่วไป เช่น กรณี กกต. แจกใบเหลือง ใบแดง ให้กับว่าที่ส.ส. ซึ่งทุกคนมีความมั่นใจว่า กกต.สามารถรับมือเรื่องต่างๆ ได้ บนพื้นฐานของความสุจริต และยุติธรรมโดยไม่ได้สนใจและเป็นห่วงว่าจะมีใบเหลืองใบแดงกี่ใบ และเป็นของพรรคใดบ้าง ทั้งนี้ทางกกต.จะต้องมีการชี้แจงถึงรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้สังคมได้รับทราบ เพราะการจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องมีพยานหลักฐาน ซึ่งขณะนี้คมช.มีความมั่นใจในการทำงานของ กกต.ว่าจะเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม บนหลักฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวด้วยว่า ในช่วงบ่าย (8 ม.ค.)พล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงาน เลขาธิการ คมช. จะเดินทางไป จ.บุรีรัมย์ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ คมช.ไม่ได้ต้องการลงไปเพื่อเปิดประเด็นให้คนฮือฮา เพราะจะสังเกตได้ว่า ที่ผ่านมาที่เคยมีม็อบหรือมีสถานการณ์ความวุ่นวายในจ.บุรีรัมย์นั้น คมช.ไม่เคยลงไปในพื้นที่ แต่ที่ พล.อ.สมเจตน์ ลงไปเพราะสถานการณ์ต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว และเป็นห่วงว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีข้อมูลเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร จึงไปรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ว่ามีเรื่องราวอะไรบ้าง และในพื้นที่ต้องการให้ส่วนกลางช่วยเหลือสนับสนุนในเรื่องใดบ้าง ซึ่ง พล.อ.สมเจตน์ จะนำข้อมูลที่ได้มาแจ้งให้กับที่ประชุม คมช.ทราบ

ร้องเพิกถอนตระกูล"เทียนทอง"

นายอัมรินทร์ ยี่เฮง เลขาธิการองค์กรประชาธิปไตยภาคประชาชน ได้ยื่นเรื่องขอให้ กกต. มีมติเพิกถอนการประกาศรับรองผลนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช และส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 5 นายฐานิสร์ เทียนทอง นางสาวตรีนุช เทียนทอง และนายสรวงศ์ เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว พรรคประชาราช พร้อมทั้งขอให้ยุบพรรคประชาราช เนื่องจากส.ส.พรรคประชาราชทั้ง 3 คนมีพฤติกรรมผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยใช้วิชามารให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แจกเงินซื้อเสียง ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องร้องคัดค้านไปที่กกต.จังหวัดและส่วนกลางแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณา

"เด็กยุทธตู้เย็น"แจกกล้วย"ชวน"

วันเดียวกันนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 8 ได้เดินทางไปรับหนังสือรับรองการเป็นส.ส.ที่สำนักงาน กกต. เมื่อนายชวนรับหนังสือเรียบร้อยแล้ว ขณะรอรถมารับที่หน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ กลุ่มผู้ที่มาให้กำลังใจนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประมาณ 30 คน เมื่อเห็นนายชวน ก็ได้ตะโกนด่าออกมาว่า " เผด็จการ หน้าด้าน แพ้แล้วยังอยากจะมาตั้งรัฐบาลอีก เอากล้วยไปกินไป" พร้อมกับชู กล้วยน้ำว้าให้กับนายชวน ซึ่งนายชวน มีสีหน้าปกติ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้ยืนด่า และโห่ไล่นายชวน อยู่ประมาณ 5 นาที ก่อนรถนายชวน จะมา และขึ้นรถออกไปทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น